30 พ.ค. 2022 เวลา 00:56 • นิยาย เรื่องสั้น
บทที่ 4
เราเปิดดูได้ไหมครับ” ลูกมาแนวอยากรู้ ยิ่งแม่ของเขาบอกไม่เคยเห็น
“ พ่อต้องมีความลับหรืออะไรสักอย่างแน่ๆครับแม่ เปิดเลยครับ” ลูกบิ้วอารมณ์อยากดูมาก
“มันไม่ดีหรอกลูก ทุกคนมีเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น บางเรื่องเราอยากให้คนหรือโลกรู้ แต่บางเรื่องเราอาจอยากเก็บเรื่องนั้นสำหรับเราคนเดียวที่รู้ก็ได้”แม่สอนลูกเธอ
“ แต่นี่ของพ่ออะแม่” แนวอยากรู้มาเต็มร้อย
“ถึงจะของพ่อ หรือของลูก สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนควรมีคือการเคารพให้เกียรติกันและกันนะลูก”
“ครับแม่” เสียงเริ่มอ่อยลงเพราะความอยากรู้ถูกสอนโดยแม่ของเขา จ๋อยเล็กๆ ซึมหน่อยๆ
“ญาติคนไข้คะ เดี๋ยวตามไปที่ห้องพักฟื้นได้แล้วนะคะ คนไข้อาการดีขึ้น ทางคุณหมอเจ้าของไข้เห็นควรว่าให้ไปอยู่ที่ห้องพักฟื้นแล้วค่ะ” นางพยาบาลคนเดิม
เดินออกมาบอก
“ไปลูกไป รีบไปดูพ่อกัน” ทั้งแม่ลูกรีบเดินกันไปที่ห้องพักฟื้น
พลันสองแม่ลูกเปิดประตูห้องเข้าไป ภาพที่เห็นคือผู้ชายที่ตื่นเช้าออกไปทำงานไปส่งลูก กลับมาตอนค่ำของทุกวัน คนที่เป็น superhero ของครอบครัว วันนี้อยู่ในสภาพของคนไข้นอนบนเตียงมีสายน้ำเกลือห้อยโยง
“พ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ”ลูกกับน้ำเสียงที่เป็นห่วง
“คุณเป็นไงบ้าง” ภรรยาเขาถามตามมา
“ตอนนี้คนไข้คงต้องพักฟื้นและพักผ่อนก่อนนะคะ อาจยังไม่สามารถพูดคุยอะไรได้มาก อยากให้คนไข้พักผ่อนให้มากๆก่อนอาการจะได้ดีขึ้นค่ะ”
“ค่ะ ค่ะ ครับ ครับ” สองแม่ลูกตอบรับกับสิ่งที่พยาบาลบอกมา
“เดี๋ยวแม่ลงไปซื้อของข้างล่างก่อนนะ เราอยู่เฝ้าพ่อนะ มีอะไรรีบโทรบอกแม่นะลูก”
“ครับแม่”
ลูกชายเขาก็นั่งอยู่ข้างๆเตียงเฝ้าพ่อ แล้วความอยากรู้ก็เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง ความสงสัยในสมุดจดเล่มเล็กเล่มนั้นเกิดขึ้นมาในหัวเขาอีกครั้ง
แต่คำที่แม่เขาบอกว่าคนเราต้องให้ความเคารพและให้เกียรติในเรื่องส่วนตัวก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา ความสับสนเริ่มเกิดขึ้น ระหว่างความอยากรู้กับสิ่งที่แม่สอน
“โอ้ย เอายังไงดี” ความคิดในสมองเขาเริ่มขัดแย้งกัน
“เอาหวะ เปิดดูดีกว่า ตอนนี้ก็ไม่มีใครเห็น”
“อย่านะ ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ของส่วนตัวคนอื่น ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตเราไม่ควรทำ”
“เปิดไปเหอะ ไม่มีใครรู้”
“ อย่านะ ถึงไม่มีใครรู้แต่ตัวเรารู้และมันจะติดตัวเราไปตลอดชีวิต”
เขาเริ่มสับสนไปมาระหว่างขาวกับดำ
เสียงประตูห้องเปิดเข้ามา เขาหันไปมองตามเสียงเปิดประตู
“ พ่อเป็นไงบ้าง” แม่เขาถาม
“ เหมือนเดิมครับแม่” เขาตอบแม่เขาพลันคิดในใจ ดีนะที่ไม่เปิด ถ้าเปิดแม่กลับมาโดนด่าเละแน่
“ ทำไมดูหน้าตื่นๆอะลูก”
“ไม่นี่ครับแม่ ปกติดี”
“อย่ามาโกหกแม่เลย แม่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก รู้จักเราดี” แม่เริ่มสังเกตและจับทาง
“ไม่นะครับแม่ ไม่มี ไม่มีจริงๆ” เขาตอบยืนยันแม่ไป
“แม่ให้โอกาสเราหนึ่งครั้ง ให้เราพูดความจริงหรือสิ่งที่อยากพูดกับแม่ แต่เพียงครั้งเดียวนะ ถ้าหลังจากนั้นต่อให้ลูกมาพูดอะไรถึงจะเป็นเรื่องจริง แม่ก็จะไม่เชื่อแล้วนะ” แม่เริ่มเสียงจริงจัง
“ ครับแม่ ผม ผม…”
“แม่รอฟังอยู่นะ เราพร้อมจะบอกหรือยัง ถ้าแม่ลุกขึ้นแปลว่าเราเลือกที่จะไม่บอกแล้วนะ”
“ครับแม่ ครับ ผม ผม..ตอนแม่ไม่อยู่ ผมกะจะแอบเปิดสมุดจดของพ่อออกมาดูอะครับ”สีหน้าและแววตาของเขาดูเศร้าๆ เพราะกลัวถูกแม่เขาตำหนิ
“ แม่ดีใจ ที่ลูกกล้ายอมรับและพูดความจริง จำไว้นะลูก คนเราถ้าโกหกเราจะต้องจำคำโกหกของเราตลอดชีวิต แต่ถ้าเราพูดความจริงให้พูดกี่ครั้งๆมันก็จะเหมือนกัน ถ้าเรากล้าทำในสิ่งไหนเราก็ต้องกล้าที่จะยอมรับในสิ่งนั้น นั่นคือสิ่งที่แม่อยากบอกและสอนเรา เพราะเราจะต้องเติบโตไปอยู่ในสังคมและโลกของความจริง”
“ครับแม่” ลูกตอบแม่เขาและเข้าไปกอดแม่
“แม่ๆ” เสียงเบาๆที่มากระทบข้างหู สามีของเธอเรียกเธอ
“จ๊ะพ่อ เป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่อครับ พ่อเป็นอย่างไรบ้าง”
“เสียงไอ พ่อดีขึ้นแล้ว” พ่อบอกแม่กับลูกเขา
“อย่าเพิ่งพูดเยอะนะคุณ ค่อยๆไม่ต้องรีบนะ” ภรรยารู้นิสัยสามีเธอดีว่าเป็นคนแอบดื้อ
เขาพยักหน้า แล้วมองมาที่ภรรยาและลูกเขา
“แม่ แม่เอาถุงที่พ่อติดตัวเป็นประจำมาด้วยไหม”
“เอามาค่ะ แหมคุณพอดีขึ้น แทนที่จะคิดถึงฉัน นี่กลายเป็นนึกถึงถุงใบโปรดของคุณก่อนเลยนะ” ภรรยาเขากระเซ้าเย้าแหย่
“ใช่ครับพ่อ ผมเห็นด้วยกับแม่เลย” ลูกเขาพูดไปอมยิ้มไป เพราะเห็นพ่ออาการดีขึ้นเขาก็ดีใจ
“ เออ เดี๋ยวคุณช่วยหยิบสมุดจดเล่มเล็กในถุงให้ฉันหน่อย”
แม่ก็หยิบถุงที่เอาติดตัวมาจากบ้านแล้วเอื้อมมือลงไปหยิบสมุดเล่มเล็กที่สามีเธอบอกขึ้นมา
“ เล่มเล็กนี้นะ”
“มีอยู่เล่มเดียวแหละแม่”
ลูกชายนั่งมองการสนทนาระหว่างพ่อและแม่ของเขา และมีความอยากรู้อยากเห็นว่าในสมุดเล่มเล็กนั้นมีอะไรอยู่
“ทำไมเราทำหน้าเหมือนอยากรู้มากอะลูก ว่าในสมุดเล่มนี้มีอะไร”พ่อย้อนถามลูกชายเขา
“ เปล่านะครับพ่อ ผมไม่ได้อยากรู้”
“พ่อเลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็ก ทำไมพ่อจะไม่รู้จักเรา อย่ามาเนียนกับพ่อเลย555”
”มาลูก มาเอาสมุดของพ่อที่เราอยากรู้ไปเปิดอ่านดู ในเมื่อเราอยากรู้ให้เราได้รู้ได้อ่านด้วยตัวเราเอง พ่ออนุญาต”
“ จริงหรอครับพ่อ”
“จริงดิ พ่ออนุญาต แต่มีข้อแม้ต้องอ่านให้จบนะ ทำได้ไหม”
“สบายมากครับพ่อ เรื่องแค่นี้”
“ลูกรับปากแล้วนะ แม่เป็นพยานนะ”
“ครับผม” แต่ในใจเขาก็แอบสงสัยทำไมต้องอ่านให้จบ แต่อีกทีเอาน่า เราก็อยากรู้ในสมุดเล่มนี้มีอะไรหว่า ทำไมพ่อถึงเอาติดตัวตลอดเวลาในถุงที่พ่อถือไปไหนมาไหนด้วย
ทั้งสายตาของพ่อและแม่มองมาที่เขา จนเขารู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศแบบนี้ พ่อนอนอยู่บนเตียงโดยมีแม่อยู่ข้างๆ
“ เอาหวะ ไหนๆก็ไหนๆ จะได้หายข้อสงสัยของเรา” เขาพูดกับตัวเองในใจ
แต่อีกใจก็กลัวๆเหมือนกับตอนนี้ไม่อยากรู้แล้ว คำถามที่คิดก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งว่า ทำไมพ่อถึงบอกว่าถ้าจะเปิดอ่านต้องอ่านให้จบ
“ทำไมหละลูก ทำไมดูเหมือนยังลังเล ในเมื่อตอนแรกเห็นเราอยากรู้ว่าในสมุดนั้นมีอะไร” พ่อทักขึ้นมา
“ เปล่าครับพ่อ คือ คือ ผม..”
“ในเมื่อเราเลือกตัดสินใจแล้ว นั่นคือสิ่งที่เราเลือกแล้ว ดังนั้นลูกไม่จำเป็นต้องลังเล” พ่อบอกเขา
“ ครับพ่อ”
“คุณตอนนี้เป็นอย่างไงบ้าง ดีขึ้นไหม มีอาการอะไรหรือเปล่า” แม่คุยกับพ่อเขา เพื่อเป็นการไม่ทำให้ลูกรู้สึกลังเลหรือเกร็ง แต่ทั้งสองคนก็ยังคงแอบมองลูกเขาเป็นระยะๆ
“เอาหละ จะเริ่มเปิดแล้วนะ แรกเริ่มจากความอยากรู้ของเรา ตอนนี้เราตัดสินใจแล้ว พ่อก็อนุญาตแล้ว เราจะกลัวอะไรในเมื่อเราเลือกแล้ว” เขาพูดปลุกเร้าความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง
สมุดจดเล่มเล็กๆที่หาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องเขียนทั่วไป ก็มีความเก่าตามสภาพที่ใช้เขียนมานาน ถูกเปิดขึ้น”
(ติดตามตอนจบบทสรุปในบทที่ 5 ในสมุดเล่มเล็กของพ่อมีอะไรที่ซ่อนอยู่ หรือมีความลับอะไรสมุดเล่มนี้ถึงต้องติดตัวพ่อเขาตลอด พรุ่งนี้ 31/5 เวลา 20.00 น.) เพราะความสุขอยู่รอบตัวเราเสมอ…#บ๊อบบี้บอกไว้นะฮาฟ #เพื่อนกันวันละโพส
โฆษณา