30 พ.ค. 2022 เวลา 06:13 • นิยาย เรื่องสั้น
Gen.Bunchon - บัญชร ชวาลศิลป์
24 พฤษภาคม เวลา 11:59 น. ·
“กว่าจะเป็นนายร้อย” (97)
“กางเกงในสีแดง (5)”
...... “กูนุ่งกางเกงในแล้วนะตัวเอง” มันกัดฟันบอกผมขณะรอรถเมล์ที่ป้ายสะพานควายในวันจันทร์ถัดมา......
“เอ้ามึงจะเอาแบบไหน มีสองแบบ” ผมยื่นกางเกงในแบบโบราณผ่าข้างให้อีนอง
มันดู มันรับไปดูอย่างค่อนข้างตื่นเต้นระคนอายนิด ๆ จากสายตาของม่วยสาวเจ้าของร้านที่จับตามองเราเลือกสินค้าของเธออยู่
“แล้วมันต่างกันอย่างไรวะแบบซิปกับแบบกระดุม” อีนองกระซิบถามพลางหลบตาม่ายสาวอย่างว้าวุ่น
“อ้าว...แบบซิปมันก็สะดวกกว่าชีวะ พอเสียบเข้าช่องปั้บ เนี่ยอย่างเงี้ย ก็รูดแผล็บ
เลย...เร็วดี”
“งั้นกูเอาแบบนี้ดีกว่า...เออว่าแต่ตัวละเท่าไหร่” อีนองอยากได้เสียจนเกือบลืมถามราคา
ผมหันไปถามม่วยให้ พอทราบราคาก็บอกมันทั้งราคาของแบบ กระดุม 3 เม็ด และแบบซิปทันสมัยสุดยอดกางเกงในชาย อีนองพอได้ยินราคา ก็จึงทําท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนับนิ้วมืออยู่ไปมาสลับกับการส่ายหัวเป็นระยะ ๆ แล้วบอกผม
เพื่อให้แจ้งต่อไปยังม่วยเจ้าของร้านว่า
“เอาแบบกระดุมตัวนึง”
ผมเกาหัวแกรกถามว่า
“แล้วถึงจะใส่ไปโรงเรียนได้ทุกวันยังไงเพราะมันต้องซักเหมือนกัน เอาสักสองตัวชีวะอย่างน้อยขยันซักเอาหน่อย”
อีนองพยักหน้าแล้วบอกต่อว่า
“มึงช่วยต่อราคาหน่อยชีวะ ตัวละ 4 บาท สองตัว 7 แล้วกัน”
ผมหันหน้าไปทําหน้าที่ล่ามกับอาหมวย ต่อรองราคาให้ อาหมวยพยักหน้าหัวเราะคิกคักแล้วบอกให้อีนองเลือกสี ผมหันมาบอกมันต่อ
อีนองเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วชี้ไปที่กางเกงในสีแดง
“เอาสีแดงนั่นแหละ สองตัวเลยนะ”...
“กูนุ่งกางเกงในแล้วนะตัวเอง” มันกัดฟันบอกผมขณะรอรถเมล์ที่ป้ายสะพานควายในวันจันทร์ถัดมา
“เออดี..” ผมกัดฟันตอบแบบสํารวม แล้วพลอยโล่งอกที่ต่อไปนี้คงไม่ต้องสยิวไปกับรอยสัมผัสด้านหลังเวลาเบียดกันบนรถเมล์อีก
เรื่องทำท่าจะจบลงแค่นี้...
เวลาล่วงเลยไปสักเดือนหนึ่งเห็นจะได้ พวกเราเหล่านักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่
1 ต่างก็ถูกซ่อมกันหนักขึ้นตามลําดับ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้พร้อมสําหรับการเป็นทหารที่ดีของชาติในอนาคต ผู้หมวด ผู้กอง รุ่นพี่ปีสอง ฯลฯ บอกพวกผมอย่างนั้น
“เอ้า เตะฉากปาย...เตะฉากนะ...ไม่ใช่เต้นระบําปลายเท้า ยกเท้าสูงเข้าไว้ สูงไว้ เอ้า..หนึ่ง สอง สาม สี่ ซ้าย ขวา ซ้าย...”
เสียงพี่ภาสนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 2 ซึ่งทําหน้าที่ในการปรับปรุงลักษณะ
ทหารของพวกเรา แหกปากออกคําสั่งให้พวกเราทําตามท่ามกลางความระอุอ้าวของแดดกลางเดือนพฤษภาคม
มีศัพท์ใหม่อีกแล้ว... “เตะฉาก”
คําว่า “เตะฉาก” มิได้หมายความว่าเป็นการยกเท้าไปทําลายฉากหนังฉากละครหรือว่าฉากที่ใครเขาจัดไว้รับเจ้านาย รวมทั้งมิได้หมายความว่า เที่ยวไป “เตะ” ชาวบ้านแล้วก็หลบ “ฉาก” หนีไปแบบที่ตํารวจบางคนเขาชอบประพฤติหรอกครับ
แต่มันหมายถึงกิริยาประเภทหนึ่งของกระบวนการปรับปรุงลักษณะทหารว่าด้วย “การเดิน” ต่างหาก
การเตะฉากคงกระทําคล้ายคลึงกับท่าสวนสนามของทหารหรือลูกเสือทั่ว ๆ ไปนั่นเอง เพียงแต่ว่าแทนที่จะยกเท้าให้เหนือพื้นพสุธาประมาณ 1 คืบแบบที่คุณเคยเห็นหรือเคยถูกฝึกมา การ “เตะฉาก” ก็ให้ยกเท้าสูงจากพื้นดินจนได้มุมฉาก
ง่าย ๆ ก็คือว่าเหวี่ยงเท้าให้สุดแรงเกิดให้เท้าขวาสูงไปจนได้ฉากกับเท้าซ้าย แล้วจึงลดเท้าขวาลงตบพื้นดังป้าบบะเริ่ม ต่อจากนั้นก็สลับยกเท้าซ้ายไปตั้งฉากกับเท้าขวาในลักษณะเดียวกันบ้าง
ครับ...สลับกันไปสลับกันมาอยู่อย่างนั้นแหละจนกว่าเขาจะสั่งให้หยุด
แน่นอนครับ โดนเข้าไปสักร้อยเมตรก็หน้ามืดแล้ว แต่เคล็ดลับที่พวกเราค้นพบก็
พอทําให้บรรเทาความเหนื่อยยากลงไปได้บ้าง กล่าวคือจะต้องพยายามออกแรงเหวี่ยงเท้าให้แรงที่สุดไปข้างหน้า เพราะแรงเหวี่ยงจะทําให้กล้ามเนื้อของเราทํางานน้อยลง ไม่ต้องออกแรงยกเท้าขึ้นไปให้มากนัก
“เอ้า ซ้าย ขวา ซ้าย...ปรี๊ด ปรี้ ปรี๊ด...”
เสียงหลังนี้เป่านกหวีด ครับ ไม่ใช่ว่าพี่ภาสเธอจะแหกปากร้องแทนเสียงนกหวีด.
โฆษณา