1 มิ.ย. 2022 เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
รู้หรือไม่? ดอกเบี้ยเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน
ถึงแม้เราจะเรียกว่าดอกเบี้ยเหมือนกัน แต่ดอกเบี้ยก็มีหลายประเภทที่มีวิธีการคิดและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากเราเข้าใจการทำงานของมันเราก็จะสามารถเลือกใช้หรือจัดการดอกเบี้ยให้เหมาะกับประเภทหนี้ที่เรามีได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด
แถมหนี้บางประเภทเราสามารถโปะเงินก้อนได้อีกด้วย ซึ่งหากเราเลือกโปะได้อย่างถูกวิธีก็จะทำให้เราเสียดอกเบี้ยน้อยลงและหมดหนี้ได้เร็วขึ้นอีกด้วย
1
  • ดอกเบี้ยมีวิธีคิด 2 แบบ คือ “แบบคงที่” และ “แบบลดต้นลดดอก”
วิธีการคิดดอกเบี้ยแบบแรก เราจะเรียกว่า “ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate)” โดยดอกเบี้ยแบบนี้จะคิดดอกเบี้ยรวมตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นการจ่ายในแต่ละงวดนั้นจะเป็นการจ่ายให้กับดอกเบี้ยที่คิดจากหนี้สินทั้งหมดแล้ว โดยแต่ละงวดที่จ่ายนั้นจะจ่ายเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน ซึ่งดอกเบี้ยแบบคงที่ ส่วนมากมักจะพบได้ในสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อมอเตอร์ไซค์
ดอกเบี้ยแบบที่สองเรียกว่า “ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)” จะเป็นการคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นที่เหลืออยู่ สำหรับดอกเบี้ยประเภทนี้ ยิ่งเงินต้นเหลือน้อยก็จะเสียดอกเบี้ยน้อยลง เวลามีเงินเหลือหรือได้โบนัสมา คนจึงนิยมนำเงินมาโปะดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก เพราะจะช่วยให้ภาระดอกเบี้ยต่อเดือนนั้นลดลง แถมทำให้หนี้หมดเร็วขึ้น โดยดอกเบี้ยแบบนี้จะพบในสินเชื่อบ้าน คอนโด และสินเชื่อบุคคล
  • ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ย
หากเรากู้เงิน 100,000 บาทมาด้วย “ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate)” ที่อัตราดอกเบี้ย 5% ผ่อน 60 งวด หรือ 5 ปี ดอกเบี้ยจะถูกเริ่มคิดตั้งแต่วันแรกที่เริ่มกู้เลย คือ 120,000 x 5% x 5 ปี รวมเป็นยอดดอกเบี้ย 30,000 บาท หรือตก งวดละ 500 บาท ทำให้ยอดหนี้ทั้งหมดกลายเป็น 150,000 บาท และจะต้องผ่อนงวดละ 2,500 บาท
ในขณะที่ “ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)” นั้น ต่างกัน โดยทุกครั้งที่เราชำระค่างวดเงินจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
  • 1.
    จ่ายชำระดอกเบี้ย
  • 2.
    จ่ายชำระเงินต้น
1
เมื่อคำนวณจากโจทย์เดียวกัน กู้เงิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 5% ระยะยาว 5 ปี เช่นกัน แต่จะแตกต่างกันที่วิธีการคิดดอกเบี้ยจากแบบคงที่เป็นแบบลดต้นลดดอกแทน
สมมติว่า ถ้าเราจ่ายค่างวด 2,500 บาทเท่ากัน เงินเราจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ก็คือ “เงินต้น” และ “ดอกเบี้ย” ในเดือนแรกเราจะถูกคิดดอกเบี้ยเท่ากับ 416.67 บาท (100,000 x 5%/12) ซึ่งแปลว่าส่วนที่เหลืออีก 2,083.33 บาทจะถูกนำไปหักกับเงินต้นนั่นเอง
พอเข้าคำนวณงวดที่สอง เงินต้นเราจะเหลือ 97,916.67 บาท เราก็จะถูกคิดดอกเบี้ยเท่ากับ 408 บาท (97,916.67 x 5%/12) เราจะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยจะถูกคิดน้อยลง แล้วถ้าเราจ่ายค่างวดเท่าเดิม ก็แปลว่าเงินเราจะถูกไปลดเงินต้นเพิ่มเติมนั่นเอง
เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมหลาย ๆ คนจึงนิยมโปะหนี้บ้านเวลามีเงินสดหรือเงินก้อนเหลือใช้ ซึ่งวิธีนี้จะใช้กับดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) เท่านั้น เพราะถ้าเรานำเงินไปโปะหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) นั้น ต่อให้ยอดหนี้ลดลงแต่ตัวดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงตาม สุดท้ายต้องจ่ายเงินเท่าเดิมหรือใกล้เคียงอยู่ดี
ดังนั้น การที่เราเห็นดอกเบี้ยที่ต่ำอาจจะไม่ได้หมายความว่าเราเสียดอกเบี้ยน้อยเสมอไป เราจะต้องดูเสมอว่าวิธีการคิดดอกเบี้ยนั้นเป็นแบบไหนกันแน่ เราจะได้คำนวณหาต้นทุนเรื่องดอกเบี้ย รวมถึงเพื่อเป็นการประเมินและตัดสินใจได้ว่าหนี้ประเภทไหนควรโปะหรือปิดหนี้มากกว่ากัน
โฆษณา