Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
รักษ์...อักษรา
•
ติดตาม
2 มิ.ย. 2022 เวลา 13:52 • นิยาย เรื่องสั้น
ยินเพลงเศร้า…รานรักร้าว…
โอ้เจ้า “ลาวดวงเดือน” อินถึงเรื่อง “มะเมี๊ยะ”
เคยไหม…เวลาฟังเพลงที่มีท่วงทำนองเนื้อหาที่้มันสะเทือนใจ…หากจินตนาการไปตามเพลงแล้วอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าน้ำตามันพาลจะไหล…
ยิ่งเป็นเพลงที่ฟังแล้วมันช่างเหมือนหรือคล้ายกับชีวิตจริงของเราเหลือเกินก็ยิ่งอินเข้าไปใหญ่ บางทีถึงกับสะอื้นไห้…
เพราะเพลงคือศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งสามารถเข้าถึงอารมณ์เราได้ง่าย ตรงมาตรงไป ไม่ต้องตีความให้ยุ่งยากซับซ้อน
แต่ปัจจุบันท่วงนำนองและเนื้อหาเพลงเปลี่ยนไปมาก หนักไปทางสนุกสนานเข้าไว้ คนในวัยค่อนข้างเก่า(แก่)อย่างผมยอมรับว่าบางทีก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง บางทีหัวจะปวด(ขอยืมศัพท์วัยรุ่นมาใช้ซะหน่อย)
แต่เราก็ไม่ว่ากัน สังคมจะอยู่ได้อย่างสงบสุขก็ต้องยอมรับในอัตลักษณ์ของกันและกัน เมื่อยุคสมัยมันเปลี่ยน ก็ต้องหยวนๆกันไป
แต่ถ้าจะให้ผมไปเต้นเย้วๆโย่วๆอย่างลูกหลานวัยรุ่นก็คงจะขอบ๊ายบาย ไม่ใช่ไรหรอก…ไม่ใช่รังเกียจรังงอน แต่กลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน…
เอาล่ะ…อารัมภบทให้หมั่นไส้กันพอหอมปากหอมคอละ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า…
สมัยก่อน เพลงรักร้าวรันทด สะเทือนใจมีมากโขอยู่ แต่ผมจะขอยกเอาเพลงที่เป็น "ตำนานรัก" อันมีตัวตนซึ่งตอนท้ายจบลงด้วย "โศกนาฏกรรม" มากล่าว
เป็นบทเพลงอันมี "ประวัติศาสตร์" เรื่องราวให้ชนรุ่นหลังสามารถสืบค้นได้ จนผมอยากจะบอกว่านั่นคือ "ลมหายใจแห่งชีวิต" ที่มีความลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าการเป็นแค่ "เพลงๆหนึ่ง"
"ลาวดวงเดือน" และ "มะเมี๊ยะ" คือ 2 บทเพลงที่ขอเอ่ยถึง
ภาพวาดมะเมี๊ยะในจินตนาการ
เริ่มกันที่ตำนานเพลง "ลาวดวงเดือน" อันมีที่มาที่ไปสุดแสนเศร้าก่อน
ย้อนไปช่วงเวลาหนึ่งในอดีต ประมาณ พ.ศ.2446 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามรกฎ เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษมาใหม่ๆ ได้ทรงเสด็จขึ้นไปเที่ยวนครเชียงใหม่ อันเป็นนครแห่งศูนย์กลางวัฒนธรรมล้านนาสมัยนั้น
พระยานริศราชกิจเป็นข้าหลวงใหญ่อยู่ประจำมลฑลพายัพ ได้จัดการรับเสด็จต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติ โดยเจ้าหลวงอินทวโรรสสุริยะวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้จัดการรับเสด็จอย่างประเพณีชาวเหนือโดยแท้ โดยให้ประทับในคุ้มหลวงและเสวยพระกระยาหารแบบขันโตก มีการแสดงละครและดนตรีในคุ้มนี้ด้วย ในงานต้อนรับเสด็จครั้งนี้ เจ้าอินทวโรรสและเจ้าแม่ทิพยเนตรได้ชวนเชิญพระญาติวงศ์มาร่วมรับเสด็จโดยพร้อมเพรียงกัน
ในบรรดาพระญาติวงศ์เจ้านายเชียงใหม่ ปรากฎว่ามีเจ้าราชสัมพันธวงศ์และเจ้าหญิงคำย่น พร้อมด้วยธิดาองค์โต นามว่า เจ้าหญิงชมชื่น อายุเพิ่งย่างเข้า 16 ปี มาร่วมในงานนี้ด้วย
เจ้าหญิงชมชื่น
เจ้าหญิงชมชื่นงามทั้งรูป งามทั้งกิริยา สมกับเป็นกุลสตรี จนพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เจ้าชายหนุ่มอายุ 21 ปี บังเกิดความสนพระทัยในดรุณีแน่งน้อย อายุ 16 ปีนี้มาก กล่าวกันว่า เมื่อพระองค์ได้เห็นเจ้าหญิงชมชื่นก็ถึงกับทรงตะลึงในความงามอันน่าพิศวงจนเกิดความพิสมัยขึ้นในพระทัย เหมือนกับชายหนุ่มที่พบรักครั้งแรก แต่ศรรักก็ปักทรวงจนยากจะถอดถอนเสียแล้ว!
ในวันต่อมา พระยานริศราชกิจ ข้าหลวงมลฑลพายัพ เป็นผู้นำพระองค์ไปเยี่ยมเจ้าราชสัมพันธวงศ์ถึงคุ้มหน้าวัดบ้านปิง หลังจากนั้นเจ้าหญิงชมชื่นจึงได้มีโอกาสต้อนรับเจ้าชายหนุ่มนักเรียนนอกผู้สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษพระองค์นี้หลายครั้งหลายหน
นานวันเข้าพระองค์เจ้าชายเพ็ญก็ยิ่งเกิดความปฏิพัทธ์หลงใหลในเจ้าหญิงชมชื่นเป็นยิ่งนัก จึงโปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเฒ่าแก่เจรจาสู่ขอเจ้าหญิงชมชื่น ให้เป็นหม่อมของพระองค์
1
แต่การเจรจาสู่ขอกลับได้รับการทัดทานจากเจ้าราชสัมพันธวงศ์ โดยขอผัดผ่อนให้เจ้าหญิงชมชื่นอายุครบ 18 ปีเสียก่อน และตามขนบธรรมเนียมประเพณีของราชสกุลนั้น พระเจ้าลูกเธอพระองค์ใดจะทำการอภิเษกสมรส จะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระมหากษัตริย์เสียก่อน เพื่อจะได้รับเป็นสะใภ้หลวงได้รับยศและตำแหน่งตามฐานะ (หากถวายเจ้าหญิงชมชื่นให้ในตอนนั้นเจ้าหญิงก็จะตกอยู่ในฐานะภรรยาน้อยหรือนางบำเรอเท่านั้น)
เฒ่าแก่ข้าหลวงใหญ่ยอมจำนนต่อเหตุผลของเจ้าสัมพันธวงศ์ นำความผิดหวังกลับมาทูลให้พระองค์ชายทราบ ฝ่ายพระองค์เจ้าชายฯ เองก็มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วโดยผู้ใหญ่จัดหาให้ การปฏิเสธดังกล่าวจากฝ่ายหญิงก็เลยทำให้ความรักของทั้งคู่กลายเป็นหมัน
ไม่มีการติดต่อใดๆกันอีกเลย เพราะเหตุนั้น พระองค์ชายก็ได้รับความผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เพราะเมื่อจะมีรักครั้งแรกทั้งทีก็มีกรรมบันดาลขัดขวางไม่ให้รักสมหวัง ความทุกข์โศกใดจะเทียมเทียบเปรียบปาน จึงเสด็จกลับกรุงเทพด้วยความร้าวรานพระทัย ปล่อยให้เชียงใหม่เป็นนครแห่งความรักและความหลังของพระองค์
ครั้นถึงกรุงเทพ เรื่องการสู่ขอเจ้าหญิงเมืองเหนือได้แพร่สะพัดไปในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด เจ้านายชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์ทรงทัดทานอย่างหนักหน่วง โดยอ้างเหตุผลต่างๆ นานา แน่นอนว่าสาเหตุที่ผู้ใหญ่ทางพระองค์ชายนั้นไม่ยอมให้มีการเสกสมรสกับเจ้าหญิงเมืองเหนือเป็นเพราะเรื่องทางการเมือง!!
ในสมัยนั้นหัวเมืองทางเหนือมีสัมพันธ์กับทั้งสยามและพม่า เป็นความสัมพันธ์ที่สยามมองว่ามีเหตุผลเคลือบแคลงและไม่วางใจ จึงเป็นอันว่าความรักของพระองค์ประสบความผิดหวังอย่างสิ้นเชิงทุกประการ
จากนั้นพระองค์จึงทรงเสกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงวรรณวิลัย (กฤดากร) พระธิดาในกรมพระนเรศรวรฤทธิ์ ส่วนทางด้านเจ้าหญิงชมชื่นเองก็สมรสกับเจ้าน้อยสิงห์คำ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นไปตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ของทั้งสอง หากแต่ในใจลึกๆแล้ว ทั้งสองพระองค์ยังคงระลึกถึงกันไม่เสื่อมคลาย…
คราใดที่สายลมเหนือพัดมาจากเชียงใหม่…พระองค์ก็ยิ่งทรงสลดรันทดพระทัย จึงทรงระบายความรักความอาลัยลงในพระนิพนธ์ "ลาวดวงเดือน" เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเจ้าหญิงผู้เป็นดั่งเจ้าหัวใจของพระองค์…
กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ผู้ประพันธ์เพลง "ลาวดวงเดือน"
นับจากนั้นเป็นต้นมา "ลาวดวงเดือน" ก็เป็นเพลงที่จะขาดไม่ได้เลยตลอดชั่วชีวิตของพระองค์ท่าน
กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงมีอารมณ์อ่อนไหวละเอียดอ่อน ประกอบกับพระวรกายไม่ค่อยสมบูรณ์แข็งแรงเท่าไรนัก อีกทั้งทรงหมกมุ่นกับหน้าที่การงานเพื่อจะให้ลืมความหลังอันแสนเศร้าของพระองค์ที่ฝังใจอยู่ตลอดเวลา
นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระชนม์ชีพของพระองค์สั้นจนเกินไป พระองค์สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 ด้วยพระชันษา 28 ปีเท่านั้น
และเมื่อข่าวการสิ้นชีพของท่านชายไปถึงภาคเหนือ เจ้าหญิงชมชื่น ก็เกิดอาการซึมเศร้าและตรอมใจ เพราะความรักของเจ้าหญิงที่มีต่อพระองค์ชายเองก็ไม่เคยจางหายไปจากหัวใจดวงน้อยๆของเจ้าหญิงเช่นกัน
หนึ่งปีต่อมา…เจ้าหญิงชมชื่นก็สิ้นชีพลงเช่นกัน ด้วยชันษา 23 ปีเท่านั้น
นั่นคือที่มาแห่งตำนานเพลง "ลาวดวงเดือน" อันแสนเศร้า…
ต่อมาก็ถึงเพลง "มะเมี๊ยะ" เพลงนี้ดังมากในสมัยก่อนจากศิลปินล้านนา จรัล มโนเพ็ชร กับ สุนทรี เวชานนท์ บอกตรงๆเพลงนี้แหละเมื่อผมฟังจบน้ำตาลูกผู้ชายมันพาลจะไหล…
เรื่องราวความรักที่ต่างเชื้อชาติ ระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" และ "มะเมี๊ยะ" อันกลายมาเป็นตำนานรักที่จบลงอย่างโศกสลด และได้รับการกล่าวขานมาถึงปัจจุบัน ถูกบันทึกเรื่องราวโดย "เจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่" อดีตพระคู่หมั้นคนแรกของเจ้าน้อยศุขเกษมที่ถอนหมั้นไป และถูกถ่ายทอดโดยตรงจาก "เจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่" พระชายาของเจ้าน้อยศุขเกษม
เจ้าน้อยศุขเกษมถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียน St. Patrick's School โรงเรียนกินนอนชายซึ่งเป็นคาธอลิคในเมืองเมาะละแหม่ง ตั้งแต่วัย 15 ปีจนกระทั่งกาลผ่านไปจนถึงวัย 19 ก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวตลาดไดวอขวิ่น ซึ่งเป็นตลาดห่างจากบ้านพักไปไม่ไกลนัก
เจ้าน้อยศุขเกษม
จนได้พบและหลงรักสาวน้อยหน้าตาสวยงามน่ารักวัย 15 ปี นาม "มะเมี๊ยะ" (ภาษาพม่าแปลว่ามรกต) สาวมะเมี๊ยะ ขายบุหรี่เซเล็ก (ภาษาพม่าแปลว่ายามวน) ก็รักหนุ่มน้อยจากเชียงใหม่เช่นกัน
เมื่อความรักเพิ่มพูนกลายเป็นความมุ่งมั่นและความผูกมัด วันหนึ่ง ทั้งสองก็ชวนกันขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ไจ้ตาหล่านอันเป็นที่เคารพสูงสุดของชาวเมือง และสาบานว่าจะครองรักกันไปตราบสิ้นลม
ถ้าผู้ใดผิดคำสาบานก็ขอให้มีอันเป็นไป จนกระทั่งเมื่อเจ้าศุขเกษมอายุได้ 20 ปีก็กลับบ้านพร้อมกับมะเมี๊ยะวัย 16 ที่ปลอมตนเป็นชายร่วมเดินทางมาด้วย
แต่แล้วเจ้าศุขเกษมได้พบว่าผู้เป็นพ่อและแม่ได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวล ลูกเจ้านายในเชียงใหม่ไว้รอท่าแล้ว และครั้นทราบว่าลูกชายรักและได้สามัญชนชาวพม่าเป็นเมีย วิกฤตการเมืองก็เกิดขึ้นทันที!!
เจ้านายในเชียงใหม่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หนุ่มสาวแยกทางกัน และผลักดันให้มะเมี๊ยะต้องกลับเมืองเมาะละแหม่งเพียงสถานเดียว เจ้าราชบุตรไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องส่งตัวมะเมี๊ยะกลับพม่า เพื่อแสดงให้สยามเห็นว่าแม้ตนเองได้ทำผิดที่ส่งลูกชายไปเรียนที่พม่า แต่ต่อจากนี้ไป ล้านนาจะต้องไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับพม่าอีก สัมพันธ์รักระหว่างลูกชายกับสาวพม่าจะต้องยุติอย่างเด็ดขาด!!!
เมื่อบังคับส่งมะเมี๊ยะกลับพม่าโดยเจ้าน้อยสัญญาว่าอีก 3 เดือนจะไปรับมะเมี๊ยะกลับ ทั้งคู่สาบานกันไว้ว่าจะไม่รักใครอื่น หากใครผิดคำสาบานขอให้อายุสั้น
"ตอนนั้นมะเมี๊ยะโพกผมไว้พอจะไปก็ก้มลงกราบเท้าเจ้าน้อยที่ประตูเมือง ชาวบ้านออกมามุงกันทั้งเมืองเพราะได้ยินว่ามะเมี๊ยะงามขนาด พอกราบเสร็จ ก็เอาผ้าโพกผมออกแล้วสยายผมเอามาเช็ดเท้าเจ้าน้อย จงรักภักดีบูชาสามีสุดชีวิต แล้วก็กอดขาร้องไห้ เจ้าน้อยเองก็ร้องทำเอาคนที่มามุงร้องไห้ไปทั้งเมืองด้วยความสงสารความรักของทั้งคู่ "
1
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าฉากความรักและความอาลัยระหว่าง 2 หนุ่มสาวในตอนเช้าวันหนึ่งของเดือนเมษายน พ.ศ. 2446 จะโศกเศร้าสะเทือนใจจนใครต่อใครที่พบเห็นและร้องไห้ตามเพียงใดก็ตาม แต่เรื่องจริงเรื่องนี้ก็ต้องจบลงเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องของกรรมเวร ไม่ใช่ศักดินาที่ต่างกันระหว่างคนรักทั้งสอง และไม่ใช่เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างกัน หรือเรื่องประเพณี แต่มันเป็นปัญหาเรื่องการเมือง!!!
การเมืองที่สยามกำลังกำหนดเส้นทางเดินของล้านนา และเจ้าราชบุตรเลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมจำนน การเมืองที่พ่อส่งลูกไปเรียน ด้วยหวังว่าลูกจะมีความรู้ในเรื่องภาษาอังกฤษ สถานการณ์การเมืองในพม่าและนโยบายของอังกฤษ เพื่อลูกจะได้กลับมามีบทบาทในล้านนาต่อไป
เป็นที่รู้กันที่เชียงใหม่ว่าหลังจากที่มะเมี๊ยะถูกพรากจากเจ้าน้อยศุขเกษม เธอก็ไปรอชายคนรักที่เมืองเมาะละแหม่ง ไม่ได้รักใครอีก หลังจากนั้น เธอได้กลับมาที่เมืองเชียงใหม่อีกครั้งเพื่อมาพบเจ้าน้อยศุขเกษม
ในตอนนั้น เจ้าน้อยแต่งงานแล้วกับเจ้าหญิงบัวชุม ซึ่งดำเนินการโดยเจ้าดารารัศมีและพิธีสมรสจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเจ้าน้อยทราบว่ามะเมี๊ยะมารอพบที่บ้านเชียงใหม่เพื่อร่ำลา เจ้าน้อยศุขเกษมไม่ยอมออกมาพบ แม้ว่ามะเมี๊ยะจะรออยู่นานแสนนาน โดยที่เจ้าน้อยได้ฝากเงินให้ 800 บาทและแหวนทับทิมที่ระลึกวงหนึ่ง หลังจากนั้น มะเมี๊ยะก็กลับมาบวชชีที่วัดใหญ่ในเมืองเมาะละแหม่งจนสิ้นชีวิต
ว่ากันว่า ณ วันนั้น เจ้าน้อยศุขเกษมคงจะรู้สึกผิดและเจ็บปวดอย่างที่สุด จึงไม่อาจทำใจออกมาพบหญิงคนรักได้ จึงได้แต่ฝากของที่ระลึกให้…
แม้เจ้าน้อยศุขเกษมจะสิ้นชีวิตอีก 10 ปีหลังจากการพลัดพรากในปี 2446 และมะเมี๊ยะจะสิ้นชีวิตอีก 59 ปีหลังจากนั้น แต่กล่าวสำหรับเจ้าน้อยศุขเกษมชีวิตของเขาจบสิ้นแล้วตั้งแต่ปีนั้น ปีที่เขาถูกการเมืองทำลายความรักและเขาได้ละเมิดคำสัญญาที่เขามีไว้กับหญิงสาวที่เขารัก 10 ปี
หลังจากนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกายที่เดินไปมา กายที่คอยแต่ดื่มสุรา ดื่มเพื่อที่จะลืมอดีต ดื่มจนทำให้กายนั้นหยุดทำงานก่อนวัยอันควร
แม้เจ้าน้อยศุขเกษมจะเสียชีวิตด้วยพิษสุรา และมะเมี๊ยะจะเสียชีวิตด้วยโรคชรา แต่ความรักของเขาไม่เคยสิ้นสุด ชีวิตของเขาทั้งสองได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นในวัยหนุ่มสาว วัยที่ผู้ใหญ่หลายคนคิดว่าเป็นวัยที่รักง่าย ลืมง่าย คิดว่าแยกพวกเขาออกจากกันไม่นานก็ลืมกันไปเอง วัยหนุ่มสาวและความรักที่การเมืองระหว่างสยามกับล้านนาคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่มีความสำคัญใด ๆ
สุดท้าย…ความรักอันยิ่งใหญ่นั้นก็ยืนยงจนเจ้านายล้านนาไม่ว่าจะอยู่ที่เชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ ก็ตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าเจ้าน้อยศุขเกษมจะรักมะเมี๊ยะ และมีใจให้หญิงสาวคนนั้นเพียงผู้เดียวอย่างเหนียวแน่นถึงเพียงนั้น และก็คงไม่มีใครคิดว่าสาวน้อยชาวพม่าคนนั้นจะมีหัวใจเพียงดวงเดียวมอบให้แก่ชายหนุ่มชาวเชียงใหม่ และเธอได้พิสูจน์ให้เห็นตลอดชีวิตอันยาวนานของเธอ
เรื่องราวโศกนาฎกรรมแห่งรักของเจ้าชายล้านนา และสาวมะเมี๊ยะ จึงกลายเป็นที่เลื่องลือและกล่าวขานกันมาจนถึงปัจจุบัน
ขอส่งท้ายเนื้อเพลงท่อนที่ทำให้ชายอกสามศอกอย่างผมถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่…
"มะเมี๊ยะตรอมใจ อาลัย…ขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยาย…ผมลง เช็ดบาทบาทา…ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้…
เจ้าชายก็ตรอมใจตาย…มะเมี๊ยะเลยไปบวชชี ความรักมักเป็นฉะนี้…แลเฮย…"
ด้วยจิตคารวะ
1
ศาสตรา สุมาลยศักดิ์/เรียบเรียง-รีไรต์
ภาพ/gotoknow-pantip-bloggang-วิกิพีเดีย
1 บันทึก
4
4
1
1
4
4
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย