5 มิ.ย. 2022 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์
ฟัง "พจนา ดุริยพันธุ์" เล่าบ้านดนตรีดุริยประณีตแห่งบางลำพู
บทความโดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
บ้านดนตรี “ดุริยประณีต” ตั้งอยู่ใกล้กับวัดสังเวชวิศยาราม เดิมหน้าบ้านเป็นลำคลองเก่ามาก่อนสร้างกรุงเทพฯ ภายหลังถูกถมทำเป็นถนนลำพู หรือ สามเสน ๑ ในปัจจุบัน
วัดบางลำพู (วัดสังเวชวิศยาราม) แต่เดิมหันหน้าวัดเข้าออกผ่านคลองเก่านี้ลงแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อขุดคลองเมืองหรือคลองบางลำพู-โอ่งอ่างขึ้นก็เปลี่ยนทิศกลับหลังหันหน้าวัดเข้าสู่คลองเมือง ทำให้ลำคลองเก่าดั้งเดิมตื้นเขินไปเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์  ทุกวันนี้บ้านดุริยประณีตก็ยังตั้งอยู่ที่เดิมจากเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และยังคงสืบทอดและถ่ายทอดวิชาดนตรีไทยให้แก่เยาวชนและผู้สนใจดังปณิธานของบรรพบุรุษสืบทอดกันมา
คุณพจนา  ดุริยพันธุ์ บุตรชายของครูเหนี่ยวและครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์
คุณพจนา ดุริยพันธุ์ บุตรชายของครูเหนี่ยวและครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์ นักร้องนักขับเสภาชั้นครูแห่งกรุงรัตนโกสินทร์พูดคุยถึงความเป็นมาและเป็นอยู่ของบ้านดนตรีดุริยประณีตตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
ได้รับทราบข้อมูลจากกลุ่มตระกูลนักดนตรีไทยแห่งบางลำพูที่ทำให้เข้าใจความสำคัญของชุมชนบางลำพู ชุมชนย่านเก่าในกรุงเทพฯ ที่กำลังหายใจรวยรินเพราะความเป็นชุมชนสูญสลายไป ในขณะที่คนแปลกหน้าผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวเข้ามามีบทบาทแทนคนท้องถิ่น
ฟังพจนา ดุริยพันธุ์เล่าเรื่องราวบ้านดนตรีแห่งบางลำพู
บ้านดุริยประณีตในอดีตเป็นเรือนชั้นเดียว สภาพแวดล้อมช่วงสิบปีก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่จดจำได้เหมือนกับชนบทริมคลองทั่วไป ข้างหน้าบ้านเป็นคลองและแถบไหล่คลองจะมีแผ่นคอนกรีตขนาดราว ๘๐ เซนติเมตรวางไว้ให้เดินริมคลองจนกระทั่งไปออกถนนสามเสน รถยนต์เข้าไม่ได้เพราะมีห้องแถวไม้ขวางยาวตลอด ซึ่งเว้นช่องไว้ใต้ห้องหนึ่งสำหรับคนเดินลอดเข้าออกเท่านั้น
เมื่อคลองแห้งดินแข็งได้ถมพื้นที่เทคอนกรีตเป็นถนนพื้นบ้าน เคยสูงจากพื้นดินเดิมเกือบ ๒ เมตร จากหน้าบ้านไปเป็นสะพานไม้ระแนงตียาวยกสูงพ้นน้ำที่ท่วมขัง อ้อมวัดสังเวชไปออกสะพานฮงอุทิศ
ฤดูน้ำหลากผูกเรือมาดไว้ขนส่งเครื่องดนตรี ๒-๓ ลำ  หน้าแล้งวิ่งเล่นใต้ถุนบ้านได้ ใช้ทำกิจกรรมทำเครื่องดนตรีต่างๆ หลังถูกถมทำถนน ๒ ครั้ง เหลือพื้นบ้านสูงจากพื้นดินไม่ถึงเมตร ใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกต่อไป ครั้งหลังถมราว พ.ศ. ๒๔๙๕-๙๖ ตัดถนนใหม่กว้างราว ๓-๔ เมตร เป็นคอนกรีตที่เห็นปัจจุบัน
เมื่อเล่าถึงต้นตระกูลทางสายบิดา กล่าวว่า “ครูโนรี ดุริยะพันธ์” เป็นปู่ของครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ ผู้เป็นพ่อของพจนา ดุริยพันธุ์ ทำปี่พาทย์อยู่ข้างวัดทองนพคุณ เรียกกันว่าวงบางลำพูล่าง และเคยอยู่ในวังบางขุนพรหมยุคแรกๆ  มีครูแช่ม สุนทรวาทิน  ขณะบรรดาศักดิ์ที่ขุนเสนาะดุริยางค์ เป็นครูผู้ดูแลและจัดหานักดนตรีเข้าไปร่วมวง
หลังเกษียณราชการ พระยาเสนาะดุริยางค์เดินทางไปสอนให้บ้านปี่พาทย์เอกชน ๒ แห่ง ช่วงเช้าสอนที่บ้านบางลำพู หลังกินข้าวกลางวันแล้วลงเรือแจวเดินทางไปที่บ้านปี่พาทย์บางลำพูล่างของครูโนรี เมื่อครูเหนี่ยวอายุได้ ๑๐ ปี เห็นแววดีจึงขอจากครูโนรีไปสอนทางร้องใหม่ซึ่งท่านคิดปฏิรูปโดยให้ความสำคัญที่การสอดใส่อารมณ์ มีชีวิตชีวาและความไพเราะ มากกว่าร้องเอื้อนทำนองเชิงเล่าความอย่างที่ร้องมาแต่โบราณ
หลังจากครูโนรี ดุริยะพันธ์ ถึงแก่กรรม รวมทั้งลูกๆ ล้วนอายุสั้น วงดนตรีบางลำพูล่างถึงกาลยุติกิจการลงและขายเครื่องดนตรีทั้งหมด ครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ ผู้เป็นลูกชายครูเนื่องหลานปู่ครูโนรี ถอนตัวออกจากบ้านข้างวัดทองนพคุณข้ามฝั่งมาแต่งงานเป็นเขยเข้าบ้านดุริยประณีตกับ แช่ม ดุริยประณีต ที่บ้านบางลำพูซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสำนักพระยาเสนาะดุริยางค์ด้วยกัน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระราชทานนามสกุล “ดูรยประณีต” ให้ครูศุขเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ข้าราชการกรมมหรสพ ปี่พาทย์หลวง หลายนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วยเป็นภาษาสันสกฤตเป็น “ดูรย” ต่อมาเปลี่ยนเป็นบาลีว่า “ดุริย” เกือบทั้งสิ้น
บางท่านให้ความเห็นว่าแรกๆ ผู้ใหญ่บางท่านเห็นว่าคำ “ดูรย” เป็นสันสกฤตที่พราหมณ์ใช้ ผู้คนไม่เข้าใจเท่าคำว่า “ดุริย” ที่เป็นบาลีในพุทธศาสนาจึงได้ขอพระราชทานแก้ไขให้เป็นตามนิยมโดยความหมายไม่เปลี่ยน คนเข้าใจง่าย ภายหลังโปรดเกล้าฯ อนุญาตผู้ที่ได้รับพระราชทานนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วย “ดูรย” ถึงกล้าเปลี่ยนเป็น “ดุริย” ตามกันมา เช่น ดุริยประณีต ดุริยางกูร ดุริยประกิจ ฯลฯ
นายศุขผู้เป็นตารับราชการสังกัดกรมพิณพาทย์มหาดเล็กใต้ความดูแลของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร)
ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ปี ๒๔๔๖ ถึงปี ๒๔๕๔ ต้องโอนย้ายมายังกรมมหรสพที่ตั้งขึ้นใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่ตีระนาดเอกสลับกับพระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) ขุนฉลาดวงฆ้อง (ส่าน ดูรยาชีวะ) และตีระนาดทุ้มเหล็กเมื่อมีการแสดงละครดึกดำบรรพ์เหมือนครั้งอยู่วังบ้านหม้อ
ครูศุขเป็นผู้สร้างบ้านดุริยประณีตหลังนี้ แถบนี้มีหลายบ้านหลายตระกูลที่เป็นนักดนตรีและขุนนาง เช่น พระยานรรัตนราชมานิต (โต มานิตยกุล) ผู้เคยดูแลกรมปี่พาทย์หลวงในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนเจ้าพระยาเทเวศร์ฯ ส่วนบ้านที่ติดกับบ้านดุริยประณีตที่เพิ่งขายไปกลายเป็นทาวน์เฮาส์ คือบ้านของนายคล้อย เชยเกษ เป็นเครือญาติและเป็นครูปี่ชวากลองแขกของวังหน้ากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
เมื่อพระยานรรัตนราชมานิตมีบ้านเรือนอยู่บางลำพูทำให้แถวนี้มีนักดนตรีเข้ามาอยู่มาก และมีครูเครื่องสายจำนวนไม่น้อยอยู่บริเวณวัดใหม่อมตรส เช่น ครูมนตรี ตราโมท และกลุ่มนักดนตรีกรมมหรสพที่ได้รับราชทินนามสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่กันที่บางลำพูหลายสิบคนเพราะใกล้ที่ทำการกรมมหรสพ ที่วังจันท์ (คุรุสภาในปัจจุบัน)
เมื่อนายคล้อย เชยเกษ อยู่กินกับ นางลิ้นจี่ ซึ่งค้าขายข้าวสารขึ้นล่องกรุงเทพฯ-ปากน้ำโพ-ตาคลี แต่ชอบละครรำจนต่อมาตั้งคณะละครนอกละครชาตรีขึ้นมาโรงหนึ่ง ทั้งรำเองเล่นเอง พอขาขึ้นเรือว่างก็ขนคณะละครไปรับงานตามวัดสองฝั่งลำน้ำเจ้าพระยา ภายหลังเลิกค้าข้าวสาร มีบุตรีคือ “นางแถม” ซึ่งเป็นยายของพจนา ดุริยพันธุ์ จึงเป็นลูกจีนค้าข้าวสารรู้เรื่องกิจการค้าขายและเป็นละครรำวังเจ้าเจ็กด้วย
แม่แถมมีน้องชายอีกคนหนึ่งชื่อ ชิต เชยเกษ สืบทอดวงปี่พาทย์คณะเชยเกษของนายคล้อยสืบมา ส่วนคุณตาศุข ดุริยประณีต นอกจากเป็นคนปี่พาทย์แล้วยังมีฝีมือทางช่างทำเครื่องดนตรีด้วย
ละครวังเจ้าเจ็กเป็นคณะละครที่เปิดโรงแสดงในวังกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ซึ่งหม่อมเจ้าเจ็ก นพวงศ์ เป็นพระโอรสลำดับ ๗ ซึ่งรับสืบทอดวังจากกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นหนึ่งในผู้สร้างวัดตรีทศเทพ โรงละครนี้อยู่บริเวณตลาดนานา บางลำพู สถานที่ซึ่งเคยเป็นท้องพระโรงวังของกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส
ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ครูศุขยังทำงานอยู่ที่วังบ้านหม้อ ช่วงค่ำหารายได้พิเศษรับตีระนาดตามโรงละครแถวบางลำพู ถึงพบรักคุณยายแถมซึ่งเป็นละครรำตัวพระสังข์ทองของวังเจ้าเจ็ก และแต่งงานอยู่กินกันต่อมาปลูกเรือนสร้างครอบครัวที่นี่ตลอดมา ไม่ได้ย้ายไปที่ไหนอีก
แม่ลิ้นจี่มีทั้งคณะละคร มีวงปี่พาทย์ของครูคล้อยผู้สามี ได้คนระนาดของตนเองเพิ่มอีกคนหนึ่งคือนายศุขลูกเขย รับงานแสดงทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมือง มีหลานสาวที่เกิดจากนางแถมก็เป็นละครกันทั้งบ้าน ต้องเล่นต้องเป็นลูกคู่ร้องละครของแม่ลิ้นจี่มาตั้งแต่จำความได้ ลูกชายอีก ๓ คน คือ “โชติ-ชื้น-ชั้น” เก่งทางปี่พาทย์ทั้งหมดเป็นศิษย์เรียนกับพระยาเสนาะดุริยางค์
“ครูโชติ” ทั้งเป่าปี่ ตีเครื่องหนังขับเสภา “ครูชื้น” ตีระนาดเอกยุคนั้นไม่มีใครเทียบ แต่งเพลงไว้จำนวนไม่น้อย “ครูชั้น” เป็นคนฆ้องวงที่เก่งพอตัว ได้เพลงมากกับเขียนโน้ตสากลได้ ทั้งสามท่านมีฝีมือชั้นนำพร้อมประชันได้เสมอ
“พจนา ดุริยพันธุ์” เล่าว่าบ้านดุริยประณีตมีชื่อเสียงในเรื่องประชันเพราะมีลูกชาย ๓ คนเป็นหลัก คนปี่ คนฆ้อง คนระนาด แล้วก็ลูกผู้หญิง ๕ คนเป็นนักร้อง ทั้งเล่นปี่พาทย์ได้มาช่วยประกอบเป็นคณะที่แข็งแกร่ง ประชันได้ทั่วประเทศ มีชื่อเสียงมากตรงนี้ พอมีชื่อเสียง คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่ชอบประชันแถบอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง ก็นิยมส่งคนมาเรียนที่บ้านดุริยประณีตจนมาถึงชั้นลูกๆ ได้กลายเป็นครูสอนให้ต่อมา
การประชันขันแข่งสมัยก่อนถือว่าสร้างงานศิลปะขึ้นมาใหม่ เช่น สมัย พ.ศ. ๒๔๖๖ มีการประชันที่วังบางขุนพรหม กำหนดเพลงที่จะเล่นคือเพลงพม่าห้าท่อน ห้ามซ้ำกับทางเดิมที่เคยมีอยู่ พระยาเสนาะฯ ต้องไปแปลงแต่งอัตราสามชั้นใหม่ เถาใหม่ เป็นทางของพระยาเสนาะ หลวงประดิษฐ์ไพเราะก็ทำทางของท่าน เรียกทางบ้านบาตร
ส่วนจางวางทั่ว ทำทางฝั่งธนคือทางวัดกัลยาณ์ แล้วมาบรรเลงหน้าพระที่นั่งเพลงเดียวกัน ทำนองเดียวกัน แต่แต่งแต้มระบายสีไม่เหมือนกัน สร้างอารมณ์ลูกเล่นต่างกัน เพลงพม่าห้าท่อนจึงมีเพิ่มเป็น ๓ ทางใหม่ ภายหลังมีครูอื่นๆ มาแต่งกันเป็นทางที่สี่ ทางที่ห้า เฉพาะบ้านดุริยประณีตทำกันประมาณ ๖-๗ ทาง นั่นเป็นส่วนดีของการประชันวงในสมัยก่อน
แต่การประชันของชาวบ้านจะไม่มีแบบแผนเช่นนี้ เล่นกันแบบลูกทุ่งคือใช้ชั้นเชิงเกทับกันด้วยเพลง ส่งเพลงเริ่มแต่เพลงง่ายก่อน และพยายามหาเพลงที่วงตรงข้ามเล่นไม่ได้ ถ้าเล่นได้ก็เล่นทับ พอเล่นทับวงนั้นสลับเป็นวงตั้งบ้างก็เล่นขึ้นมาอีกเพลงเพื่อให้อีกวงทับกันดูว่าจะบรรเลงได้ไหม จะแพ้กันเป็นเพลงๆ ไป และประชันสู้กันอย่างน้อยสองวันสองคืนขึ้นไป
ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ มาสู้กันดึกๆ เพลงเดี่ยว ระนาดต่อระนาด ฆ้องกับฆ้อง ทุ้มกับทุ้ม ต่างคนต่างมาพัฒนาฝีมือ ทำเพลงใหม่ขึ้นมา นี่คือสิ่งที่ดีของการประชัน แต่ที่ไม่ค่อยดีนักคือ นักดนตรีไทยนิสัยค่อนข้างไม่ค่อยยอมแพ้ ต้องมาวัดศักดิ์ศรีเอาเป็นเอาตายกันวิธีตัดสินมีหลายแบบ ถ้าเป็นประชันกันในวังจะมีกรรมการเป็นเชื้อพระวงศ์ มีครูผู้ใหญ่เก่งๆ นับสิบคนให้คะแนน
แต่ถ้าต่างจังหวัดจะมีอยู่สองสามแบบ คือ หนึ่งเอากรรมการมาจากกรมศิลปากรนั่งฟังแล้วให้ชี้ขาด อีกอย่างหนึ่งคือตั้งกระถางเหมือนทอดกฐินแล้วมีธงสองสีปักไว้ พอเล่นเพลงจบคนที่ฟังก็ไปปักธงให้ฝ่ายที่ตนชอบหรือเห็นว่าเล่นดีกว่า สุดท้ายก็มานับสีธง สีไหนมากกว่าก็ชนะ ซึ่งวงชนะจะได้รับค่าจ้างมากกว่าตามที่ตกลงกัน
มาช่วงหลังจะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว แพ้ชนะกันด้วยความรู้ เพราะคนปี่พาทย์จะรู้กันเองว่า เล่นเพลงนี้ได้ไหม ถ้าวงนี้ตั้งมาแล้ววงนั้นเล่นไม่ได้ก็แพ้ ๑ เพลง หรือบรรเลงเพลงหนึ่งแล้วอีกวงเลี่ยงไปเล่นเพลงอื่นก็แพ้ ๑ เพลงเช่นกัน
แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องมาสู้กันที่เดี่ยวระนาดเอก รุ่งสางแล้วยังไม่รู้แพ้รู้ชนะก็ต้องวัดความไหวเร็วกันที่เดี่ยวเพลงเชิดต่อตัวอย่างที่เห็นในหนังเรื่องโหมโรงนั่นเอง เพราะระนาดเอกถือว่าเป็นแม่ทัพ
ย้อนมาที่เพลงพม่าห้าท่อน เมื่อวงจางวางทั่วบรรเลงที่วังบางขุนพรหมแล้วก็จะนำไปสอนในสำนัก ถ่ายทอดต่อมารุ่นลูก เช่น ครูเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล ส่งต่อไล่เรียงมารุ่นหลาน รุ่นศิษย์จะได้กันไปไม่หวงเพลง บ้านพาทยโกศลเป็นบ้านดนตรีที่เปิดกว้างมากส่วนพม่าห้าท่อนทางพระยาเสนาะดุริยางค์ก็จะถ่ายทอดตกมาสู่รุ่นลูกครูศุข รุ่นหลานและศิษย์หาในบ้านเช่นกัน
นักดนตรีบ้านหนึ่งก็อาจเป็นลูกศิษย์ครูหลายบ้านอย่างครูชื้น ลูกชายคนที่สองของบ้านดุริยประณีต อยู่ในกองปี่พาทย์และโขนหลวง รัชกาลที่ ๗ มาแต่ปี ๒๔๖๙ เป็นศิษย์พระยาเสนาะดุริยางค์ ตีระนาดเก่งมาก ไหวจัด
แต่เมื่อหลวงประดิษฐไพเราะมาเป็นหัวหน้างานกองปี่พาทย์และโขนหลวง ครูชื้นก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงประดิษฐไพเราะด้วย พอถึงเวลาที่สำนักบ้านบาตรมีงานไหว้ครู บ้านดุริยประณีตทั้งวงก็ต้องไปบรรเลงถวายมือให้ที่นั่นด้วยความเคารพในฐานะท่านเป็นครู
คุณยายแถมมีความคิดกว้างไกล ในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพลงมอญยังไม่ดัง แต่เมื่อมีงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถมีปี่พาทย์มอญ นำเอาเครื่องดนตรีปิดทองสวยงามมาตั้ง เจ้านายหลายองค์ชอบเครื่องมอญซึ่งแต่เดิมคนมอญเล่น ทำให้เป็นที่นิยมเจ้านายหลายๆ วังจึงอยากมีปี่พาทย์มอญในงานศพบ้าง เพราะมีเชื้อมอญ
คุณยายแถมจึงส่งลูกชาย ๓ คนไปเรียนที่ปากเกร็ดไปอยู่ไปกินนอนบ้านครูเพลงมอญเหมือนที่ส่งมาเรียนบ้านดุริยประณีต ครูชื้นไปอยู่ปากเกร็ดกินนอนอยู่ที่นั่น ไปเรียนหลายบ้าน  ส่วนครูชั้นเรียนกับมอญสามโคก ครูโชตินี่ไปเรียนกับมอญพระประแดง บางกระดี่ ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. ๒๔๗๑-๗๒
ครูโชติ ครูชื้น ครูชั้น
เพลงมอญแม้ทำนองคล้ายกันแต่มือที่ตีต่างกัน ลูกสามคนได้มาสามทาง ครูโชติแต่งงานกับภรรยาท่านเป็นคนมอญพระประแดง ครูชื้นแต่งงานกับแม่มณเฑียรเป็นมอญรำทางปากเกร็ด  แม้ได้เพลงมาเยอะแต่ไม่ได้หยุดแค่นั้น
ทั้งสามท่านเก่งมาก เพลงมอญสมัยก่อนไม่มีการร้องมีแต่บรรเลงดนตรี ครูโชติ ครูชื้น ครูชั้น แต่งทางร้องเพลงขึ้นมา ปี่พาทย์มอญที่เคยประโคมศพ ประโคมยาม ครูโชติกับครูชื้นแต่งทางร้องใส่ในเพลงเป็นเพลงดาวกระจ่าง เพลงบางนางเกร็ง ให้ทางคนมอญเขียนเนื้อร้องภาษามอญให้ ต่อมาจึงเอาเนื้อภาษาไทยใส่ราวปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ก็แต่งตับลาวแก่นท้าวตัดนิ้ว จากเรื่องราชาธิราชเป็นเพลงมอญ ถือว่าเป็นคนริเริ่มเอาทางร้องเข้าไปใส่ในเพลงมอญ
บ้านนี้จึงรับงานปี่พาทย์มอญได้มากกว่าแห่งอื่น ถือว่ามีรายได้สูงมากในช่วงเวลานั้น แม่แถมผู้เป็นนักบริหารมืออาชีพ กล้าได้กล้าเสีย ส่วนที่เหลือเก็บหอมรอมริบด้วยการลงทุนซื้อบ้านซื้อที่ดิน ซื้อเพชรทองในช่วงที่ธนาคารยังไม่มีบทบาทหรือเป็นที่นิยมน่าเชื่อถือ
คุณตาศุขเมื่อรู้จักกับพระยาเสนาะดุริยางค์ ซึ่งเป็นผู้ที่เก่งมากในการทำเครื่องดนตรีด้วย สามารถกลึงปี่ได้เอง ทำรางทำผืนระนาดเสียงดี จึงได้ความรู้จากพระยาเสนาะในเรื่องนี้และนำมาฝึกฝนสร้างเครื่องดนตรีด้วยฝีมือทำงานไม้ละเอียดประณีต
ต่อมาจ้างช่างชาวจีนเป็นลูกมือ เพราะรู้ว่าต้องโค้งแบบนี้ ต้องบางขนาดนี้ เสียงถึงจะอุ้มดีจึงทำขาย ผลิต ซ่อมให้พ่อตาอยู่ก่อน ภายหลังจึงตั้งโรงงานผลิตเองในปี ๒๔๖๑ มีคนรอจองคิวถึงขั้นผูกเรือหน้าบ้านรอซื้อกันทีเดียว
ส่วนร้านดุริยบรรณตรงสี่แยกคอกวัวเปิดปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เริ่มจำหน่ายเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย พวกซอ จะเข้ ขิม หย่อง คันชัก ขายเครื่องปี่พาทย์บ้าง ช่วงเวลาหลังจากนั้นใกล้เคียงกันครูศุข ดุริยประณีต ผลิตเครื่องปี่พาทย์ขายที่บ้าน เช่น ระนาด ฆ้อง กลอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นสุดยอดเพราะหูเทียบเสียงของครูศุขแม่นยำที่สุด ไม่มีเพี้ยน
ถ่วงด้วยตะกั่วคือเอาผงตะกั่วมาผสมขี้ผึ้งแล้วค่อยๆ ปาดไล่ระดับเสียง ต้องรู้จักใส่ เวลาสร้างเครื่องดนตรีรางระนาดที่เราเห็นมันเหมือนกับตรงๆ จะมีกระพุ้งแล้วตรงนี้มันจะอุ้มเสียงได้ดีระนาดมโหรีก็ต้องอุ้มเสียงลักษณะหนึ่ง ระนาดประชันที่ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยสำหรับตีไม้แข็งต้องถากเกลาอีกอย่างหนึ่ง
เครื่องปี่พาทย์ของพวกนี้ซื้อครั้งเดียวแล้วใช้ได้ตลอดอายุ หลังจากนั้นมาราว ๒๐ ปี ความต้องการเริ่มอิ่มตัวเลยเลิกผลิตเหลืองานช่างเล็กๆ น้อยๆ และเลิกไป “วิมล อังสุนันทวิวัฒน์” เขียนถึงร้านขายเครื่องดนตรีไทย “ร้านดุริยบรรณ” ว่าเป็นสัญลักษณ์ของพื้นบ้านดนตรีหรือชุมชน
คนดนตรีไทยของบางลำพู กล่าวถึง “ปราณี (ดุริยางกูร) พุ่มพวง” ทายาทรุ่นสุดท้ายที่สืบทอดกิจการเล่าว่า ร้านกำเนิด “สาย ดุริยางกูร” ซึ่งสืบเชื้อสายจาก “ครูมีแขก” ต้นตระกูลดุริยางกูร ผู้เป็นบรมครูทางดนตรีไทยโดยเฉพาะปี่และซอสามสาย ได้รับราชการเป็นครูปี่พาทย์ในกรมปี่พาทย์ฝ่ายพระบวรราชวังหรือวังหน้าเป็นพระประดิษฐ์ไพเราะ
ครูมีแขกมีบุตรชายชื่อ “ถึก” มีความสามารถในการสีซอด้วง แต่ไม่ได้รับราชการ ต่อมานายถึกมีบุตรชายชื่อ “สาย” มีความสามารถในซอด้วงและซอสามสายและไม่ได้รับราชการเช่นกัน นายสายได้ก่อตั้ง “ร้านดุริยบรรณ” ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗  ซึ่งเป็นชื่อที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงพระกรุณาตั้งชื่อประทาน
เป็นร้านที่ขายทั้งหนังสือและเครื่องดนตรี เน้นการผลิตเครื่องดนตรีที่มีคุณภาพ ประมาณปลายรัชกาลที่ ๖ นายสายได้ร่วมมือกับ “ขุนเจริญดนตรีกาล” (นายดาบเจริญ โลหิตโยธิน) คิดโน้ตตัวเลขบันทึกเพลงไทยแทนนิ้วซอ นิ้วจะเข้ และขลุ่ย พิมพ์ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ใช้ชื่อว่า “เลขา สังคีตย์” ได้รับความนิยมมาก
กิจการตกทอดมาถึงยุคของ “เปี่ยมศรี” ผู้เป็นมารดาของ “ปราณี” ได้พัฒนาร้านจนเฟื่องฟูสูงสุด โดยมีหลานชายช่วยที่โรงงาน ทางร้านได้ฝึกฝนช่างจนชำนาญหลายคน ร้านดุริยบรรณจะขายปลีก หน้าร้านและขายส่ง โดยมีคนมารับไปขาย หรือส่งขายไปตามโรงเรียนทั่วประเทศ กิจการรุ่งเรืองมาโดยลำดับ
จนกระทั่ง “เปี่ยมศรี” ถึงแก่กรรมไม่นานก็เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ทางร้านขาดทุนมาโดยตลอด จึงตัดสินใจขายร้านบริเวณสี่แยกคอกวัวแล้วย้ายกิจการไปอยู่แยกถนนสุโขทัย หลังจากนั้นไม่นานก็ปิดกิจการถาวร
การทำเครื่องดนตรีของกรมมหรสพในรัชกาลที่ ๖ ก็จะมีพระยาวิสุกรรมศิลป์ประสิทธิ์ (น้อย ศิลปี) เป็นวิศวกรที่เก่งเรื่องการก่อสร้างคุมการผลิตจึงเป็นเครื่องดนตรีชั้นเลิศ ของชาวบ้านความประณีตตามแต่จะคิดทำ แต่ของคุณตาศุขมีคุณภาพสูงมีเสียงอุ้มนุ่มนวลซึ่งขึ้นอยู่กับตอนขุดให้มีปริมาตรอุ้มเสียงอย่างไรเป็นความสามารถเฉพาะตัว
ช่างทำจะเข้เก่งต้องที่เขาบางทราย ชลบุรี จนลูกหลานปัจจุบันก็ยังอยู่ ทั้งขิมและอื่นๆ สืบทอดส่งต่อกัน แม้แต่บ้านดุริยประณีตในยุคก่อนๆ ก็ต้องไปซื้อเครื่องสายถึงที่นั่น  คุณสมชัย ชำพาลี ทำอยู่ในบริเวณวัดยาง ก่อนถึงสามแยกไฟฉาย มีโรงงานใหญ่ที่กาญจนบุรี เคยมาเรียนรู้อยู่ที่นี่แล้วไปทำขายจนร่ำรวย
ส่วนขลุ่ย “บ้านลาว” ยังอยู่ได้ ขลุ่ยปี่ทำขายกันทั่วไป แต่ถ้านักดนตรีไทยที่ฝีมือเยี่ยมแล้วกลึงเองหมด ครูรุ่นเก่าจะใช้เท้าเหยียบคันชักสายรอกเครื่องกลึงมือ ปี่ขลุ่ยที่ทำจากงาหรือไม้ชิงชันจะคว้านข้างในขนาดไหน จะเทียบเสียงนิ้วไหน จะวางจะเพี้ยนตรงไหน คนเล่นดนตรีจะเก่งกว่าช่างทั่วไปมาก อย่างครูเทียบ คงลายทอง ท่านทำเองหมด แม้กระทั่งลูกชาย ครูปี๊ป คงลายทอง  ยังกลึงปี่เอง  เป็นงานช่างที่ได้รับสืบทอดมา
“ลูกฆ้อง” ต้องใช้ทองม้าล่อ เป็นโลหะสำริดที่ทำจากทองแดงผสมกับดีบุกในอัตราส่วนเฉพาะทำมาจากเมืองจีน คนจีนใช้โลหะแบบนี้มาตีเป็นฉาบ ม้าล่อ คนไทยนำมาหลอมต่อ เทหล่อเป็นลูกกลมๆ แล้วมาตีไล่ให้เป็นรูปทรง เป็นลูกฆ้อง ความหนาบางต้องใช้ความชำนาญจึงจะได้เสียงที่ต้องการ ซึ่งไม่ใช้วิธีหล่อสำเร็จรูปเพราะเสียงจะไม่น่าฟัง
แหล่งที่ผลิตเช่นบ้านอยู่ด้านหลังรั้วติดกันเป็นโรงงานตีลูกฆ้องชื่อ “แม่พูน” ปัจจุบันย้ายไปแล้ว ส่วนแถวบ้านเนินมีของ “จ่าผูก” ตรงสถานีรถไฟบางกอกน้อย อีกแห่งคือวัดแจ้งแถวกุฎีจีน แต่ขายไม่ได้มากนักเพราะลูกฆ้อง ๑๖ ลูกเดี๋ยวนี้ราคาหลายหมื่นบาท
“พจนา ดุริยพันธุ์” เล่าว่าวัดสังเวชวิศยารามเป็นวัดมหานิกาย ส่วนวัดสามพระยาเป็นวัดมหานิกายแปลงเป็นกึ่งธรรมยุต สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
เจ้านายที่พัฒนาพระองค์แรกคือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระสนมของท่านเชื้อสายเขมรเป็นรูปชีไม่สึกอยู่ที่นี่ วัดบางลำพูหรือวัดสังเวชนี้เป็นวัดประจำตระกูลดุริยประณีตมาแต่เดิม ลูกผู้ชายบวชที่วัดนี้ทั้งนั้นแต่นำอัฐิไปไว้วัดสามพระยา เพราะรักใคร่เคารพนับถือสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ (ฟื้น) องค์ก่อน
บริเวณบางขุนพรหมเรียกว่าบ้านลาน เพราะมีชาวมอญสองคนชื่อ ตรุษ ได้รับพระราชทินนามเป็น หลวงวิสุทธิโยธามาตย์ และ สารท ได้รับพระราชทินนามว่า ขุนพรหม ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ผูกขาดค้าใบลานจนกระทั่งน้องชายชื่อสารทหรือขุนพรหมตาย ผู้เป็นพี่ก็เลยถวายที่ดินและบ้านทั้งหมดของขุนพรหมอยู่เหนือปากคลองวัดสามพระยาถวายขึ้นสร้างวัด เดิมชื่อ วัดสารท แล้วเปลี่ยนเป็นชื่อ วัดบางขุนพรหม
พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ มีพระยาสามคนซึ่งเป็นหลานบูรณะวัดขึ้นมาใหม่และน้อมเกล้าฯ ถวายจึงพระราชทานนามว่า วัดสามพระยา
บริเวณถนนวัดสามพระยาในปัจจุบัน เคยเป็นคลองขนาดพอๆ กับคลองหน้าวัดบางลำพูเดิม ทอดลงแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านบ้านเจ้าพระยารามราฆพที่บริเวณท่าเกษม ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนบริเวณริมคลองเป็นบ้านของพระยาพายัพพิริยกิจ (เป้า จารุเสถียร) บิดาของจอมพลประภาส จารุเสถียร ปัจจุบันบ้านหลังนี้ยังคงอยู่ ซึ่งคลองวัดสามพระยาถูกถมกลายเป็นถนนคือ สามเสน ๕ ภายหลังสามเสน ๑ นานหลายปี
ครูสุเทพ วงศ์กำแหง ก็อยู่ตรงตรอกกลางถนนนี้ เดิมมีต้นไทรขวางคลอง เข้าไปข้างในอยู่ซ้ายมือ ท่านอยู่ในนี้มาตั้งแต่สมัยที่ดังเพลงรักคุณเข้าแล้ว เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกันคือ รงค์ วงษ์สวรรค์ มาแต่งงานกับลูกคหบดีค้าลอตเตอรีรายใหญ่ในสมัยนั้นอยู่ปากซอยและเป็นช่างภาพอยู่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีครั้งเยาว์วัยอยู่ถนนพระอาทิตย์ เพราะวังเดิมของพระองค์เจ้าคำรบเป็นที่ตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในทุกวันนี้ เมื่อเกษียณจากอธิบดีกรมตำรวจก็ยังอยู่แถวซอยรามบุตรีส่วนครู ป.ชื่นประโยชน์ นักแต่งเพลง อยู่ข้างวัดเอี่ยมวรนุช  นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเล็กคุณพ่อท่านก็อยู่ที่นี่ ต่อมาคุณยายแถมก็ซื้อบ้านหลังนั้นเก็บไว้อีกเช่นกัน
“บ้านดนตรี” ครบวงจรต้องมีครูผู้ใหญ่ มีนักดนตรีเก่งๆ อยู่ มีที่กินอยู่หลับนอนเหมือนกับครอบครัว คนที่เข้ามาเรียนบางคนก็มีพื้นฐาน บางคนไม่มีพื้นฐานมาเลยก็มาเริ่มต้น จากเพลงสาธุการ รัวสามลา เข้าม่าน จนครบเพลงโหมโรง ครูจะมองเห็นว่าคนนี้มีแววอะไรแล้วแต่พรสวรรค์ บางครั้งคนที่เป็นหัวหน้าวงปี่พาทย์ไปประชันเห็นคนระนาดฝีมือดีก็เอามาเป็นศิษย์ที่บ้านก็มี
สมัยก่อนเรียกครูสอนปี่พาทย์ว่าพ่อแม่ หมายถึง “พ่อครูแม่ครู” เพราะเคารพครูบาอาจารย์ที่สอนและเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจนโต ถือเป็นบุพการีต่อจากพ่อแม่ที่ให้กำเนิด ระบบเลี้ยงดูมายุติลงเมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น หลังจากนั้นการมาอยู่กินเป็นสำนักดนตรีแบบเดิมก็ค่อยๆ หมดลงไป
เมื่อลิเกเป็นที่นิยม วิกพระยาเพชรปาณี เริ่มแรกเป็นลิเกทรงเครื่อง ท่านย้ายมาหลายแห่ง แรกๆ เล่นอยู่ตรงเฉลิมกรุง พาหุรัด แล้วย้ายมาแถวป้อมมหากาฬ ซึ่งเคยมีโรงละครอยู่แล้ว เป็นโรงละครของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ชื่อ “พิมานเนรมิต” อยู่ก่อน เมื่อถูกไฟไหม้แล้วจึงมาตั้งต้นใหม่ที่โรงละครปรีดาลัย แสดงละครร้อง เช่น สาวเครือฟ้า ตุ๊กตายอดรัก ขวดแก้วเจียรนัย ฯลฯ
ส่วนลิเกมีหลายคณะ เช่น นายเลื่อน ตาเหล่ หมื่นสุขสำเริงสรวง ก่อนรุ่นหอมหวล ซึ่งคณะหอมหวลมาเล่นเป็นที่นิยมภายหลังน้ำท่วมใหญ่ พ.ศ. ๒๔๘๕ มีวิกลิเกทั้งสองฝั่งคลองบางลำพู ซึ่งบ้านดุริยประณีตก็ทำลิเกด้วย บริเวณตลาดทุเรียนมีลิเกเป็นหลัก ส่วนโรงหนังบุษยพรรณเดิมเป็นของโรงละครวังเจ้าเจ็ก ภายหลังจึงเป็นพื้นที่ของตลาดนานา
แม่จิตต์หรือครูสุดจิตต์  ดุริยประณีต
สมัยก่อนละครร้องที่แม่จิตต์หรือครูสุดจิตต์ ดุริยประณีต นำมาเล่นยุคหลังถือว่าดังมาก ตั้งแต่ริมคลองบางลำพูทั้งหมดจนกระทั่งถึงเทเวศร์ มีโรงละครร้องเยอะมาก ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่โรงหนังศรีบางลำพู อยู่ตลาดทุเรียน กับที่โรงหนังบุศยพรรณเดิมก็เป็นโรงละคร และบริเวณปั๊มน้ำมันที่อยู่ตรงข้ามตรอกไก่แจ้ติดกับพิพิธบางลำพูเคยเป็นโรงละครที่แม่บุนนาคเปิดแสดงชื่อ ฉันทสำเริง
เจ้าของที่เขาสร้างโรงละครมาใครจะมาเช่าเล่นก็ได้ นาครบันเทิงก็มีโรงละครของตนเอง คณะแม่ชม้อยก็ไปเช่า  หมุนเวียนเช่าโรงเล่นกันไปตามบ้านสำนักดนตรีต่างๆ ก็ปรับตัวกัน หันไปเล่นเป็นละครร้อง เป็นลิเก เป็นละครชาตรี ละครนอก เป็นเพลงเหมือนกัน เพลงทำนองเดียวกัน ก็สามารถเล่นได้ทั้งหมด ส่วนละครเวทียุคหลังเป็นโรงละครเวทีอย่าง “ศาลาเฉลิมไทย” ซึ่งมาฟื้นกันใหม่หลังสงครามโลกปี พ.ศ. ๒๔๘๙
หลังจากสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามมาถึงสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกอยู่พักหนึ่งก็ยกเลิกหมดประกาศฯ ทั้ง ๑๒ ฉบับ เพลงไทยชื่อต่างด้าวเพลงลาว เพลงเขมร ถูกเลิกไป ๕๙ เพลงถึงยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ราวช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๔-๘๖ ชาวดนตรีถือเป็นยุคมืด ความเป็นรัฐนิยมมีผลกระทบมาก ดนตรีชาวบ้านเดือดร้อนมหาศาล ถูกจำกัดไปเล่นที่ไหนก็ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ใบอนุญาตจากกรมศิลปากร ปี่พาทย์ชาวบ้านจะเดือดร้อนหมดเพราะถูกห้ามเล่นถ้าไม่มีบัตรศิลปิน เมื่ออยู่ที่บ้านบรรเลงเล่นได้ทุกอย่าง แต่เมื่อในเจ้าสังกัดคือกรมศิลปากรให้เล่นอะไรก็ต้องเล่น
เมื่อตั้งกรมศิลปากรใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ พอปี พ.ศ. ๒๔๗๙ หลวงวิจิตรวาทการมาเป็นอธิบดีกรมศิลปากรก็สร้างละครปลุกใจมากมาย ให้ครูมนตรี ตราโมท ช่วยแต่งเพลง ให้ครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ ร้องเพลงปลุกใจและต้องไปบรรเลงให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฟัง นักดนตรีต่อต้านไม่ได้ แต่ละครชาวบ้านเหนื่อยเพราะเขาต้องอยู่ด้วยตัวเขาเอง ปรับตัวยากกว่า ของเราไม่ค่อยเดือดร้อนอะไร
คุณตาศุข ดุริยประณีต มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม  คนเลยมองว่ารอดได้เพราะมีเส้นสาย  บ้านเดิมอยู่ที่เดียวกันตรงบริเวณย่านบ้านลุ่ม นนทบุรี เชิงสะพานพระรามหก ที่บ้านลุ่มที่ตาศุขเคยอยู่เมื่อเด็กก็มีสำนักปี่พาทย์วงครูหงส์อยู่ที่นั่น
ผู้นำในยุคต่อมาอย่างเช่น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ จอมพลผิน ชุณหะวัณ นายควง อภัยวงษ์ เป็นคนที่ชอบดนตรีไทย ชอบโขนละคร มีแต่ช่วยสนับสนุน คุณชาติชายเองก็ยังถึงยุคแม่สุดจิตต์ ดุริยประณีต ก็ไปเล่นดนตรีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่คุณพ่อ จึงดูเหมือนเป็นกลุ่มที่มีเส้นมีสาย
บ้านดุริยประณีตไม่ค่อยเดือดร้อนนัก การออกบัตรประจำตัวศิลปินต้องผ่านกรมศิลปากร ที่บ้านดุริยประณีตมี โชติ ชื้น ชั้น เชื่อม แช่ม อยู่กรมศิลปากร บ้านบาตรของคุณครูหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นข้าราชการกรมศิลปากรหลายคน ก็ยังพอช่วยดูแลได้บ้างเหมือนกับเส้นสายเกี่ยวไว้เป็นครึ่งหลวงครึ่งราษฎร์ ทางบ้านจางวางทั่ว  พาทยโกศล ก็มีเช่นกัน แต่บ้านปี่พาทย์เล็กๆ เรียบร้อยหมด
คุณจำนง  รังสิกุล ผู้อำนวยการฝ่ายจัดรายการ ช่อง ๔ บางขุนพรหม
เมื่อเปิดสถานีโทรทัศน์แห่งแรกเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เริ่มแพร่ภาพสถานีช่อง ๔ บางขุนพรหม ผู้นำคือนายจำนง รังสิกุล เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดรายการ ได้นำเอาศิลปะดนตรีไทยเข้าไปแสดง ให้เวลามาก
มีรายการ “เพลินเพลงนฤพนธ์” โดยให้นฤพนธ์ ดุริยพันธุ์ ขับร้องนำแล้วเอาวัยรุ่นมาร้องเพลงไทย สร้างละครนาฏศิลป์สัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ ครูสัมพันธ์ พันธุ์มณี หัวหน้าคณะเก่งเรื่องรำและสอน ครูสุรางค์ ดุริยพันธุ์ ดูแลเรื่องสอนขับร้องให้กับดารารุ่นใหม่ ครูสุพจน์ โตสง่า เข้าไปเป็นนักดนตรีไทยประจำวงช่อง ๔ บางขุนพรหม เป็นต้น
ดนตรีไทยและละครไทยแพร่ภาพทางโทรทัศน์ทุกวัน ดนตรีลูกทุ่ง ลูกกรุงเกิดที่ทีวีช่อง ๔ บางขุนพรหมนี้ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ สร้างคนรุ่นใหม่ สายเพลงดนตรีไทยสากลเริ่มต้นมาจากละครเวทีของเฉลิมไทย
จนเริ่มมีโทรทัศน์สีซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยน เพราะนโยบายการเมืองไม่เอา  ยุบช่อง ๔ บางขุนพรหม ยุบบริษัทไทยโทรทัศน์ ไปตั้งองค์กรใหม่ ช่อง ๙ อ.ส.ม.ท. ดนตรีและนาฏศิลป์ที่กำลังพัฒนาก็หมดพื้นที่ไปจากสังคมไทย แหล่งนักดนตรีและแหล่งบันเทิงของบางลำพูก็หายไปด้วย
สมัยก่อนนักดนตรีจะมีแหล่งที่มาจับกลุ่มกันยามว่าง ครูตายไป ลูกหลานโตขึ้นก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น พอกรมประชาสัมพันธ์ถูกเผาปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ย้ายออกไปอีกบรรยากาศและสภาพแวดล้อมยิ่งเปลี่ยนไปมาก
ในครอบครัวดนตรี เช่น ตระกูลดุริยประณีต บุตรหลานในปัจจุบันส่วนใหญ่มีอาชีพการงานอื่นที่ดี รับราชการก็มี ที่ทำอาชีพดนตรีจริงๆ มีราว ๒๐ กว่าคน เวลาที่รวมญาติในช่วงไหว้ครูก็จะมากันครบทุกคนถือเป็นครอบครัวใหญ่ มีนามสกุล ดุริยประณีต ดุริยพันธุ์ เขียววิจิตร พิณพาทย์ รุ่งเรือง ชุ่มชูศาสตร์ เวลารวมญาติน่าจะถึงกว่า ๑๐๐ คน หากเป็นลูกผู้หญิงเขยมักแต่งเข้าบ้านและเป็นนักดนตรีด้วย
เมื่อพื้นที่คับแคบก็ไปซื้อที่เช่าที่ปลูกบ้านขยับขยายอยู่ใกล้ๆ ในละแวกนี้  ขณะนี้มีสามสี่บ้านอยู่ใกล้ๆ กัน เชื่อมกันด้วยดนตรีเพราะอายุ ๘-๙ ขวบถูกจับไหว้ครูหัดปี่พาทย์กันแล้วทุกคน เป็นวัฒนธรรมในตระกูลอย่างหนึ่ง
แนวคิดของบ้านดุริยประณีตเปลี่ยนเพราะครูสุดจิตต์  ดุริยประณีต หลังจากคุณยายแถมตาย ครูสุดจิตต์ดูแลแทนสมัยก่อนยังเน้นหนักทางประชันปี่พาทย์ เมื่อได้เห็นพระจริยวัตรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ บ่อยครั้งก็ประทับใจ ท่านทรงโปรดทรงสนับสนุนดนตรีไทยด้วยน้ำพระหทัยแท้จริง ก็เลยเบนเข็มลดบทบาทจากบ้านปี่พาทย์ประชัน หันมาส่งเสริมการเผยแพร่และสอนแทนเพื่อให้ผู้คนหันมาสนใจขับร้องบรรเลงดนตรีไทยให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
ท่านกล่าวว่า “ประชันก็แค่นั้น เก่งกาจเอาชนะกันแค่วงสองวง รู้กันวงแคบๆ คนอื่นก็ไม่มีใครได้เข้าร่วมนัก เราเปลี่ยนเสียใหม่ไม่ดีหรือ เอาคนที่เขาหันมาสนใจดนตรีไทยเข้าไว้มากๆ จะได้กว้างกว่าที่เราจะประชันอย่างที่เป็นอยู่” เบนเข็มมาเปิดสอนที่นี่ เพลงที่เคยเก็บไว้เป็นไม้เด็ดไม้ตายก็เปิดหมด ใครอยากได้เข้ามาก็ให้
บ้านปี่พาทย์เป็นวัฒนธรรมแข็ง ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ พอเปิดตรงนี้ก็กล้าเดินเข้ามาขอความรู้แลกเปลี่ยนกัน เพลงละครร้องสูญไปเกือบหมดแล้ว แม่จิตต์ก็ฟื้นขึ้นมานับพันเพลง ทั้งเป็นกรรมการของราชบัณฑิตยสภาด้วย
หลังจากครูสุดจิตต์ ดุริยประณีตเสียไป มูลนิธิดุริยประณีตก็มีลูกสาวคือ ชยันตี อนันตกุล สืบต่อแทน กิจกรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีพี่น้องลูกหลานมาช่วยกันเปิดสอนดนตรีไทยทุกวันเสาร์ และสอนรำทุกวันอาทิตย์ เด็กมาเรียนที่นี่เดือนละ ๕๐๐ บาท ไม่มีก็ไม่ต้องจ่ายขอให้มาเรียน
พยายามทำกิจกรรมให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาชุมชนเก่าไว้ ทุกคนมีอาชีพเลี้ยงตัวกันอยู่พอสมควรแต่จะรักษาสิ่งที่เป็นทรัพย์สมบัติอันเป็นสัญลักษณ์บางลำพู
อยากให้บ้านดนตรีไทยยังอยู่บางลำพูให้ได้ บ้านเครือญาติเพื่อนพ้องอื่นๆ ตอนนี้กลายเป็นเกสต์เฮาส์ไปหมด เมื่อก่อนมีแค่ถนนข้าวสารลามมาซอยรามบุตรี แล้วข้ามมาฝั่งนี้หมดแล้ว ไม่มีการควบคุมและการจัดการที่ดี จิตใจของเขามันไม่ได้มามีจิตใจที่เห็นอกเห็นใจระหว่างกัน เขาก็ทำการค้ากันไป เอาเงินไว้ก่อน ที่ดินแถวนี้ส่วนใหญ่จะขาย บ้านแม่พูนที่ตีลูกฆ้องพื้นที่แปลงเล็กประมาณ ๓๐ ตารางวา ซื้อกันถึง ๑๘-๑๙ ล้าน
แต่บ้านดนตรีไทยคือบ้านบางลำพูหลังนี้ต้องอยู่ให้ได้ เพื่อนที่เดือดร้อนอยู่คือที่วัดกัลยาณ์ บ้านจางวางทั่วกำลังจะถูกรื้อเพราะเป็นที่วัดก็ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร
“พจนา ดุริยพันธุ์” สรุปว่า ทำอย่างไรบ้านดุริยประณีตจะอยู่ให้ได้สักใกล้ ๑๕๐ ปีเป็นอย่างน้อย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ตอนนี้ ๑๑๑ ปีแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ยังมีลูกหลานเชื้อสายตรงเก่งหลายคน อย่างน้อยคงรักษาได้อีก ๓๐-๔๐ ปี หากไม่ขายที่ดินก็อยู่ได้
เราต้องมีวัฒนธรรมดนตรี ในสภาพแวดล้อมอันเป็นสัญลักษณ์ของย่านบางลำพูที่ค่อยๆ ลบเลือนไป เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักกันว่าใครเป็นใคร ย่านบางลำพู ตลาด โรงมหรสพ หรืออะไรก็ตามที่คนเคยกินเที่ยวเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มี ไม่เหลืออะไรเลย
คนย่านเก่า : จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ  วิริยะพันธุ์ ฉ.๑๑๐ (เม.ย.-มิ.ย.๕๙)
#บ้านดุริยประณีต
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
Official Web : https://siamdesa.org
โฆษณา