6 ก.ย. 2022 เวลา 22:16 • การศึกษา
กรรมของคนหลงอำนาจ
สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหมือนดอกไม้ แต่เดิมเราเคยเห็นมันยังเป็นต้นเล็ก ๆ ไม่นานก็เจริญเติบโตขึ้น แตกใบแผ่กิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกช่อให้ความสดชื่นแก่ทุกชีวิต
ครั้นไม่นานดอกไม้ที่เคยดูสวยสดงดงามนั้น ก็ต้องเหี่ยวแห้งร่วงโรยไปตามกาลเวลา สังขารร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน ถูกความแก่ ความเจ็บ ความตายคืบคลานเข้ามาในชีวิตเรา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกอนุวินาที โดยที่ตัวเราเองสังเกตไม่ออก เมื่อเวลาผ่านไป ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๖๐ ปี จึงจะรู้สึกตัวว่าสังขารของเราเสื่อมลง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องไปสู่ความเสื่อมสลาย
ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาทในชีวิต ให้วันเวลาของชีวิตผ่านไปด้วยการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้
มีเนื้อความที่กล่าวไว้ใน มัจฉริยสูตร ว่า
“คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ดีแต่ว่าคนอื่น ทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้ทานอยู่ คนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก ถ้าหากถึงความเป็นมนุษย์ ก็เกิดในสกุลคนยากจน ซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความร่าเริงและความสนุกสนานได้โดยยาก คนพาลเหล่านั้นประสงค์สิ่งใดจากผู้อื่น เขาย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้นสมความปรารถนา นั่นเป็นผลในภพนี้ และภพหน้าก็ยังไปทุคติอีกด้วย”
พิจารณาดูเถิด เราเกิดมาแต่ละชาติเราไม่ได้นำอะไรติดตัวมาเลย มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่ติดตัวเรามา ใครสั่งสมบุญเอาไว้มาก บุญนั้นก็จะกลั่นกลายมาเป็นสมบัติรอคอยให้เรามีใช้จ่ายได้อย่างสะดวกสบาย มีรูปกายที่แข็งแรง ไม่พิกลพิการ ไม่เจ็บป่วยไข้ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถรู้แจ้งแทงตลอดในความรู้ของครูอาจารย์ได้อย่างง่ายดาย
แต่บางคนสั่งสมบุญเอาไว้น้อย แถมยังขัดขวางการทำความดีของคนอื่น อีกทั้งยังทำบาปอกุศลเอาไว้มาก เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องยากจนแสนเข็ญ แม้จะหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ก็ไม่มี ชีวิตที่เกิดมาดูเหมือนจะมารับใช้กรรมอย่างเดียว ครั้นเป็นอย่างนี้โอกาสที่จะสั่งสมบุญก็มีน้อยลงไป เส้นทางไปสู่สวรรค์ก็จะหาไม่เจอ แล้วโอกาสที่จะได้ปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาพระนิพพานนั้นก็ไม่ต้องพูดถึง
ส่วนพวกเราทั้งหลายได้โอกาสดี ๆ อย่างนี้มาแล้วก็อย่าประมาท ให้รีบขวนขวายสั่งสมบุญให้กับตนเองให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก่อนที่โอกาสทองของชีวิตจะผ่านเลยไป แล้วเราจะไม่ต้องมาเสียใจภายหลังกัน
ดังเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยอดีต มีพระราชาทรงพระนามว่าปิงคละ ในสุรัฏฐประเทศ ได้เสด็จไปเฝ้าพระเจ้าโมริยธรรมาโศกพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เสด็จมาถึงที่มีเปีอกตม ช่วงขณะเวลาเที่ยงวันซึ่งเป็นเวลาที่อากาศร้อน ขณะกำลังเดินทางเสด็จกลับ ทอดพระเนตรเห็นหนทางน่ารื่นรมย์ ซึ่งเป็นหนทางที่เปรตเนรมิตเอาไว้ จึงตรัสบอกนายสารถีว่า “ทางนี้น่าร่มรื่น ทั้งยังปลอดภัย พวกเราไปทางนี้กันเถิด”
ในขณะที่เข้าไปใช้เส้นทางนั้น ทุกคนต่างสังเกตว่า แม้จะเดินทางมาไกลแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบทางออกกันสักที หนทางก็ดูยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากดินแดนที่ย่างกรายเข้ามานั้น เป็นดินแดนของเปรตนั้นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้มีบุรุษคนหนึ่งกราบทูลว่า “พวกเราเดินมาผิดทางเสียแล้วพระเจ้าข้า เพราะหนทางปรากฏเฉพาะข้างหน้า แต่ข้างหลังไม่เห็นมีอะไรเลย พวกเราคงเดินเข้ามายังดินแดนของพวกอมนุษย์เป็นแน่แล้วพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินเสียงพิลึกน่าสะพรึงกลัวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ”
พระราชาเมื่อสดับอย่างนั้น จึงให้เหล่าข้าราชบริพารเตรียมป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
ส่วนพระองค์เสด็จเข้าไปพักแรมที่ใต้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นขันน้ำที่มีน้ำเต็มพร้อมกับขนมหวานดูมีรสน่าอร่อย และยังทอดพระเนตรเห็นคนคล้ายเทวดา ประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์สวยงามตรงเข้ามาหาพระองค์แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์ไม่ได้เสด็จมาร้าย ขอเชิญพระองค์เสวยน้ำและขนมนี้เถิดพระเจ้าข้า”
เมื่อสดับอย่างนั้น พระราชาพร้อมทั้งข้าราชบริพาร ต่างพากันดื่มน้ำและรับประทานขนมนั้นจนหมด จากนั้นจึงตรัสถามว่า “ท่านเป็นใคร เป็นเทพหรือเป็นคนธรรพ์ ทำไมถึงช่วยเหลือพวกเรา”
อมนุษย์นั้นกราบทูลว่า " ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ข้าพระองค์เป็นเปรต ขอพระองค์ทรงทราบประวัติของข้าพระองค์เถิด เมื่อก่อนข้าพระองค์ เป็นนันทกเสนาบดีของพระองค์เอง เป็นคนใจบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนทุศีล มีความตระหนี่ ชอบบริภาษสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ห้ามปรามมหาชนที่พากันทำบุญให้ทานว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมไม่มี อาจารย์ไม่มี
สัตว์ทั้งหลายเป็นสัตว์เสมอกัน การเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลไม่มี กำลังแห่งความเพียรไม่มี ความพากเพียรของบุรุษจักมีแต่ที่ไหน ทานและศีลไม่ทำให้มนุษย์หมดจดได้ โลกอื่นจากโลกนี้ก็ไม่มี ทานที่บุคคลให้แล้วย่อมไม่มีผล พลีกรรมไม่มีผล แม้ทานอันบุคคลตั้งไว้ดีแล้วก็ไม่มีผล แล้วยังทำร้ายหมู่ชนที่กำลังให้ทานอีกด้วย
ด้วยกรรมนั้นอีก ๖ เดือนจากนี้ไป ข้าพระองค์จะต้องตายเข้าสู่นรกอันเผ็ดร้อน มีแต่ความทุกข์ทรมาน นรกนั้นมี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู จำแนกออกเป็นส่วน ๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นนรกนั้นเป็นเหล็กแดง เปลวเพลิงลุกโชติช่วงแผ่กว้างออกไปร้อยโยชน์ติดอยู่ตลอดเวลา
ล่วงไปได้แสนปี ข้าพระองค์จึงจะได้ยินเสียงในนรกนั้นว่า เพื่อนยาก พวกเราไหม้อยู่ในนรกนี้ได้แสนปีแล้ว ข้าแต่มหาราช แสนโกฏิปีเป็นกำหนดอายุของสัตว์นรกผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนทุศีล ติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย
แม้ข้าพระองค์เองก็จะไปเสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกนั้นตลอดกาลนาน นี้เป็นผลแห่งกรรมชั่วของข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงเศร้าโศกนัก ข้าแต่มหาราช ธิดาของข้าพระองค์ชื่ออุตตรา นางทำแต่ความดี รักษาศีลอยู่เป็นนิตย์และอุโบสถศีล ยินดีในทานจำแนกแจกทาน รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ เป็นสะใภ้อยู่ในตระกูลอื่น เป็นอุบาสิกาของพระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงสิริ
นางอุตตราเห็นภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน จึงถวายน้ำขันหนึ่งและขนมมีรสหวานอร่อย แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอผลทานที่ดิฉันถวายนี้ จงพลันสำเร็จแก่บิดาของดิฉันที่ตายไปแล้วด้วยเถิด ในทันใดนั้น ผลแห่งการถวายทานของนางนั้นก็บังเกิดมีแก่ข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์ได้เสวยสุขประดุจท้าวเวสวัณมหาราช แต่จะเสวยทิพยสมบัตินี้ได้ไม่นาน
ขอพระองค์พร้อมทั้งพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเถิด ชนทั้งหลายย่อมบรรลุอมตบทด้วยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ใด ขอพระองค์จงถึงพระธรรมนั้นเป็นสรณะเถิด พระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่ในมรรค ๔ จำพวก และผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ จำพวกเหล่านี้ เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติซื่อตรง ประกอบด้วยปัญญาและศีล
ขอพระองค์พร้อมทั้งพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงพระสงฆ์นั้นเป็นสรณะเถิด ขอพระองค์จงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของพระองค์ ไม่ตรัสเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์เถิด"
พระราชาทรงสดับเช่นนั้น ทรงสลดสังเวชพระทัย จึงตรัสกับเปรตตนนั้นว่า
“ดูก่อนนันทกเสนาบดี ท่านเป็นผู้ปรารถนาความเจริญแก่เรา ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา เราจักทำตามคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของเรา เราจักถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อันยอดเยี่ยมกว่าเทวดาและมนุษย์ว่าเป็นสรณะ
เราจะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ จะยินดีด้วยภรรยาของตน จะไม่พูดเท็จ จะไม่ดื่มน้ำเมา เราจะคลายความเห็นอันชั่วช้า เหมือนโปรยแกลบลอยไปในลมอันแรง เหมือนทิ้งหญ้าและใบไม้ลอยไปในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยวฉะนั้น จักเป็นผู้มั่นคงในพระรัตนตรัยไม่เสื่อมคลาย”
เมื่อเปรตกราบทูลพระเจ้าปิงคละเรียบร้อยแล้ว ชี้ทางออกจากป่าใหญ่ ให้ทุกท่านเดินทางกลับเมืองโดยสวัสดิภาพ จากนั้นก็อันตรธานหายไป เมื่อเสด็จกลับถึงพระนครแล้ว ได้ทรงนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นทั้งหมด แล้วตั้งพระทัยมั่นในการงดเว้นจากความเห็นผิด ทรงสมาทานศีลห้า
อีกทั้งยังทรงแนะนำพสกนิกร ให้ดำรงอยู่ในศีลห้าอีกด้วย เมื่อละโลกไปแล้ว พาไปบังเกิดในสวรรค์กันอย่างมากมาย
จากเรื่องนี้ จะเห็นว่า การทำบาปอกุศลบนโลกมนุษย์นี้แม้เพียงไม่กี่ปี แต่วิบากกรรมนั้นเป็นผลอันเผ็ดร้อน มันยาวนานเป็นแสนเป็นล้านปี สิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาปที่ได้ประกอบเอาไว้ ในช่วงที่เราได้อัตภาพเป็นมนุษย์อยู่นี้ ย่อมตามส่งผลทั้งนั้นไม่ช้าก็เร็ว ผลของบาปนั้นเผ็ดร้อนแสนทรมานยิ่งนัก
กว่าจะทราบว่าได้ทำบาปอกุศลซึ่งเป็นโทษมหันต์ กว่าจะไปรับใช้กรรมในนรก แล้วได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มาเริ่มต้นสร้างบุญกันใหม่ก็ต้องรอไปอีกยาวนาน จงอย่าเป็นอย่างนั้นกันเลย เพราะชีวิตเราต้องเกิดมาเพื่อสั่งสมบุญกุศลเพียงอย่างเดียว เกิดมาเป็นนักสร้างบารมี
แล้วก็ฝึกฝนอบรมตนเองให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้น ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำอย่างอื่น ดังนั้น ขอให้ใช้วันเวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัดนี้ ตักตวงบุญกันให้เต็มที่ และอย่าลืมนั่งธรรมะกันให้ได้ทุกวัน เราจะได้เข้าถึงที่พึ่งภายในคือพระธรรมกายกันทุกคน
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป หน้า ๒๑๑ – ๒๑๙
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
เล่ม ๔๙ หน้า ๕ ๑ ๖
1
โฆษณา