13 มิ.ย. 2022 เวลา 11:00 • หนังสือ
เช้าวันศุกร์…..13พฤษภาคม2565 มันควรจะเป็นวันธรรมดาที่ผมมาเข้าแลปที่มหาวิทยาลัย
วันนี้ผมเดินทางโดยรถสาธารณะ และแน่นอน ชีวิตผมมักมากับการเดินทาง ที่ไม่ค่อยจะถูกทางเท่าไรนัก ผมลงรถเมล์เลยป้าย(อีกแล้ว)เวลาตอนนั้นพึ่งจะเจ็ดโมงเช้า ผมมีเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนเข้าเรียน จุดที่ผมอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยประมาณ4กิโลเมตร
ด้วยความขี้เกียจหาข้อมูลว่ารถคันไหนไปถึงมหาวิทยาลัยได้บ้างบวกกับความเป็นคนขยันเดิน ผมเลือกเดินทางไกลโดยจินตนาการว่าใช้ชีวิตเป็นหนุ่มญี่ปุ่นเดินยามเช้าไปทำงาน
สตีฟ จ๊อบชอบเดินทางไกลเพื่อใช้ความคิด หนังสือ “walking”กล่าวไว้ว่า การเดินคือการเพิ่มเวลา มันทำให้เรามีเวลามากขึ้น ซึ่งก็คือเวลาที่อยู่กับตัวเอง การเดินจะพาเราไปเจอสิ่งต่างๆ พบเจอผู้คน พบเจอเรื่องราวใหม่ๆมากมาย ผมรู้ดีว่าการเดินจะนำผมสู่การผจญภัยอีกครั้ง
และไม่ต้องรอนาน เหตุการณ์แรกกระโจนใส่ผมหลังจากเดินได้ไม่น่าจะถึง100เมตร ร้านกาแฟข้างทางร้านนึงที่ผมบังเอิญเหลือบตาไปอ่านป้ายของร้าน ผมกำลังจะเดินผ่านไป แต่หยุดชะงักเมื่อเห็นคุณตาที่กำลังยืนรอลูกค้าอยู่ ความเป็นคนขี้สงสารเข้ายึดร่างผมทันที
ในสถานการณ์โควิดกับทำเลที่ตั้งของร้าน คุณตาคนนี้คงหาเงินเพื่อปะทังชีวิตในแต่ละวัน อายุที่มากขนาดนี้แต่กลับต้องตื่นมาทำงานแต่เช้า แล้วคุณตาจะใช้แอพเดลิเวอร์รี่เป็นรึป่าว
เช้านี้ผมยังไม่ได้ดื่มกาแฟ นั่งลงดื่มที่นี่หน่อยก็ดีเหมือนกัน ผมต้องการอุดหนุนร้านเหล่านี้เพื่อช่วยกันในช่วงโควิด คุณตาดูไม่ได้น่าสงสารหรือสิ้นหวังอย่างที่ผมคิด อันที่จริงแกใช้สมาร์ทโฟนด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็นก้าวแรกของการเดินที่รู้สึกดีไม่น้อย
หลังจากดื่มกาแฟหมด ผมเดินทางต่อเพื่อไปมหาวิทยาลัย ผมเดินต่อเรื่อยๆ เห็นสิ่งต่างๆตอนเช้า และเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในชั่ววินาทีผมกำลังจะเดินผ่านซอยเล็กๆซอยหนึ่ง มีรถต่อแถวกำลังจะออกจากซอย รถคันแรกกับผมเกรงใจกันสักเสี้ยววิ แต่ผมเลือกให้เค้าไปก่อน หลังจากท้ายรถคันแรกผ่านหน้าของผม ผมกำลังจะเดินข้ามไป ทันใดนั้นรถคันถัดมาเหยียบคันเร่งปาดหน้าผมทันที
เสี้ยววินาทีกับซอยกว้างไม่ถึง3เมตรดี ให้ประสบการณ์ล้ำค่ากับผม ผมตกอยู่ในความคิด ความสับสนและหงุดหงิดกับพฤติกรรมของคนขับรถคันนั้น
“จะรีบไปตายที่ไหนวะ!” เสียงในหัวดังขึ้น ถึงแม้ผมจะเดินต่อไปทันทีแต่มันก็ทำให้ผมหัวเสียอยู่มากเหมือนกัน ในตอนนั้นผมคิดถึงฉากฆาตกรรมโหดในหนังอย่าง “Deathpool”
พูลเป็นฮีโร่ที่ไม่ค่อยจะเป็นคนดีเท่าไร เป็นแอนตี้ฮีโร่ทำนองนั้น อารมณ์ประมาณว่า “อย่างมากร่างใส่นะโว้ย เดี๋ยวก็ฆ่าซะหรอก”
ผมคิดอยู่สักระยะว่าชายหรือหญิงที่ขับรถอยู่นั่นควรจะได้เจอบทเรียนอะไรซะบ้างนะ “น่าหงุดหงิดเป็นบ้า” แต่ทันใดนั้นเองผมที่ค่อยๆเข้าสู่ภวังค์ของความคิดระหว่างเดินก็ได้เห็นตัวเองที่กำลังคิดอะไรแบบนั้นอยู่ “นายนี่ก็โหดใช่เล่นเลยนะเพื่อน เดี๋ยวนี้ไปเอาความคิดทรมานคนอื่นมาจากไหน”
หลายครั้งผมมักจะมองตัวเองว่าใจดี ผมโมโหง่ายแต่หายเร็ว ไม่เคยเกลียดหรือแค้นใคร หลายครั้งผมไม่ตบยุงด้วยซ้ำ ผมตะลึงกับความคิดโหดเหี้ยมของตัวเองตอนนี้
“ในโลกจริงไม่มีแอนตี้ฮีโร่สักหน่อย ต่อให้นายจะช่วยคนสักกี่คนการฆ่าคนก็คือฆ่าคนอยู่ดี” แล้วตัวผมคิดแบบนี้บ่อยไหมนะ พอได้ทบทวนตัวเองก็คิดว่ามีหลายครั้งเหมือนกันเมื่อมีอารมณ์โมโหมักจะคิดภาพว่าคนที่ทำให้เราโมโหคนนั้นเป็น “ไอ้งั่ง” หรือคิดภาพคนคนนั้นได้รับบทเรียน มันแทบจะเท่าๆกับช่วงเวลาที่เรามองตัวเองเป็นคนใจดีเลยด้วยซ้ำ
ใช่แล้วล่ะครับบทเรียนง่ายๆของเรื่องนี้คือ “มนุษย์ล้วนเป็นสีเทา ไม่มีขาวหรือดำ รวมถึงตัวเราเอง” อ่า…ผมรู้เรื่องนี้มาชาติเศษแล้ว แต่มันก็หยุดอึ้งไม่ได้กับการได้เห็นด้านสีดำของตัวเองชัดๆ มันดำมืดเสียยิ่งกว่าตัวร้ายในหนังเสียอีก
แต่ก็นั่นล่ะนะ สุดท้ายนั่นก็คือผมอีกคนอยู่ดี (ถ้าคุณกำลังมองว่าผมเป็นไอ้โหดโรคจิต ใจเย็นๆครับจากสิ่งที่ผมรู้นี่เป็นพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์ที่เราได้ปลอดปลอยออกมาตอนเรานอน ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบผมนี่แหละ)
เมื่อเดินต่อไปผมแวะซื้อน้ำดื่มกลิ่นพีช พีชนี่แหละสวรรค์กลิ่นของมันทำให้ผมแพ้สุดๆ ผมได้ผ่อนคลายและกลับมาเป็นตัวตนปกติอีกครั้ง ผมมองไปรอบๆ ตอนนี้ประมาณครึ่งทางแล้วที่ผมเดินมา ร้านอาหารตอนเช้า ร้านข้างทาง ข้ามมันไก่ ผู้คน เป็นภาพที่ผมชอบเสียเหลือเกิน
ร้านหมูกรอบธรรมดาจะดูดีกว่าร้านมิชลีนก็เมื่อกระทบกับแสงอ่อนๆยามเช้า ลองคิดภาพว่าเราเป็นคนพื้นที่ที่ตื่นขึ้นมาซื้อข้าวหมูกรอบหมูแดงและเตรียมตัวออกไปใช้ชีวิตหรือทำงาน ช่างเป็นความเรียบง่ายที่สวยงามเสียเหลือเกิน นี่เป็นอีกเหตุผลที่ผมชอบตื่นเช้ามากกว่า(ถึงแม้จะยากเพราะนอนไม่ค่อยหลับก็เถอะ)
ผมสะดุดตากับภาพนี้เหลือเกิน ร้านอาหารที่ยังไม่เปิดเมื่อมองเข้าไปเห็นเด็กชายวัยประมาณมัธยมต้นนั่งทานข้าวกับคุณย่า สำหรับผมมันไม่เพียงเป็นภาพครอบครัวแต่มันสะท้อนความทรงจำของผมขึ้นมา เมื่อไม่นานมานี้(จริงๆคือ10ปี)ก่อนผมไปโรงเรียนผมเห็นภาพเหล่านี้ทุกเช้า
บ้านของผมเป็นร้านขายของ ก่อนเปิดร้านผมจะนั่งทานข้าวเช้าตรงโต๊ะทำงานของบ้าน ปิดประตูบานเหล็กแบบมีกรงเอาไว้ แสงด้านนอกและผู้คนที่เดินไปเดินมาแถวนั้นทะลุผ่านกรงเข้ามาให้เห็นได้จนเป็นภาพปกติ ย่าไปซื้อกับข้าวมาให้และหลายครั้งจะนั่งแกะปลาให้ผมด้วย
ภาพนั้นเหมือนถูกทับซ้อนไว้ในความทรงจำ ไม่ได้อยู่ลึกอะไรขนาดนั้นแต่กลับสั่นสะท้านความรู้สึกของผมได้เมื่อถูกปลุกเร้า ผมชะงักไปพักหนึ่งและเดินต่อ
สถานีต่อไปคือมหาวิทยาลัยแล้ว จากเด็กประถมตอนนี้เรากำลังเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือเนี่ย ผมไม่ได้จดจำหรือทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองนานเหมือนกันนะเหมือนร่างกายและสมองไม่ได้จดจำทีละฉากแต่มันมักจะจดจำและฉายภาพข้ามจากตรงนั้นไปตรงนี้ในอดีตเสมอๆ ปกติผมมักจะนึกถึงแต่เรื่องสมัยมัธยม พอได้มานึกถึงตอนประถมมันก็ทำให้รู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อย ภาพนั้นกระโดดข้ามไปตั้ง10ปีแหนะ
และผมก็เดินถึงมหาวิทยาลัยจนได้ เป็นเช้าที่เหมือนจะรับเรื่องราวมาเต็มเปี่ยมเสียจริงๆ
Donate: SCB 431-055392-5
IG: thecuriousduck
Facebook page: เป็ดขี้สงสัย
Blockdit: เป็ดขี้สงสัย
#เป็ดขี้สงสัย #thefirstbook #หนังสือดี
โฆษณา