14 มิ.ย. 2022 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
EBITDA คืออะไร ? ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ชอบ
1
“มันทำให้ผมประหลาดใจว่าการใช้ EBITDA แพร่หลายมากเพียงใด
เราพยายามแต่งงบการเงินด้วยมัน” ประโยคดังกล่าวถูกกล่าวขึ้น
โดยต้นแบบนักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่าอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์
EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, Amortization
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ เป็น “กำไร” ที่บริษัททำได้จากการดำเนินกิจการ
โดยที่ไม่หักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากการกู้ยืม ไม่หักภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย
แล้วเพราะอะไรกัน
ทำไมบัฟเฟตต์ถึงไม่ชอบตัวเลขนี้เลย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ยกตัวอย่าง EBITDA อย่างง่าย ๆ
หากเราทำธุรกิจผลิตสินค้าขาย มีรายได้ 1,000 ล้านบาทต่อปี
บริษัทมีค่าใช้จ่าย ดังนี้
- ต้นทุนขาย เช่น ค่าวัตถุดิบ 500 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายในการขาย เช่น ค่าโฆษณา 100 ล้านบาท
- ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย 100 ล้านบาท
2
จากตรงนี้ บริษัทของเราจะมีกำไรจากการดำเนินกิจการ 300 ล้านบาท
หากบริษัทของเรามีดอกเบี้ยจากการกู้ยืม และต้องจ่ายภาษีรวมกัน 50 ล้านบาท
สรุปแล้ว บริษัทของเราจะมีกำไรสุทธิ 250 ล้านบาท
โดยทั่วไป เราก็มักจะดูว่ากำไรสุทธินี่แหละที่จะคอยบ่งบอกเราว่า ในแต่ละปีบริษัทสามารถทำกำไรได้หรือไม่
แต่ก็มีบางคนที่บอกว่า กำไรสุทธิ ไม่ได้บ่งบอกความสามารถในการดำเนินธุรกิจมากเท่าไร
จึงนำเสนอไอเดียขึ้นใหม่ว่า ให้ดูกันที่ “EBITDA” จะทำให้เราเห็นภาพได้มากกว่า
โดยให้นำค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการหลัก บวกกลับเข้าไป ได้แก่
1
- ดอกเบี้ยและภาษี
- ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย
หมายความว่า หากเราคำนวณ EBITDA ของบริษัท เราก็จะนำกำไรสุทธิ 250 ล้านบาท
มาบวกกลับเข้าไป ด้วยดอกเบี้ย และภาษี 50 ล้านบาท
ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย 100 ล้านบาท
รวมกันเป็น EBITDA 400 ล้านบาท
1
ที่ผ่านมา หลายบริษัทมักนิยมใช้ตัวเลข EBITDA ในรายงานผลประกอบการ
โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในช่วงเติบโต และยังอยู่ในช่วงที่ลงทุนสูง
เนื่องจากมักจะโดนหักค่าเสื่อม และดอกเบี้ย เป็นจำนวนมาก
2
เช่น Tesla, Sea Limited เจ้าของ Shopee รวมถึงอีกหลายบริษัทเทคโนโลยี และสตาร์ตอัป จึงมักจะรายงานตัวเลข EBITDA ควบคู่ไปกับงบการเงินด้วย
2
แต่นักลงทุนระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลับไม่ชอบตัวเลขนี้เลย
โดยเขาได้ให้เหตุผล ก็เพราะว่า “ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายเป็นค่าใช้จ่ายที่แท้จริง”
1
เพราะเราซื้อเครื่องจักรมาใช้งานแล้วจริง ๆ
เพียงแค่นำมาตัดออกจากรายได้เป็นงวด ตามเกณฑ์การทำบัญชีเท่านั้น
2
อีกทั้งเขายังมองว่าค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายยังเป็นค่าใช้จ่ายที่แย่
เพราะธุรกิจต้องเสียเงินสดไปเต็ม ๆ ทั้งก้อน เพื่อซื้อสินทรัพย์โดยที่ยังไม่ได้รับประโยชน์เลย
เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะต้องดูค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วย
2
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบมากกว่าที่จะค้นหาบริษัท ที่สามารถสร้างเงินสดได้ทันที
แทนที่จะต้องจ่ายเงินหรือลงทุนไปก่อน แล้วค่อยได้เงินสดกลับมา
หรือธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะ ซึ่งจะทำให้มีค่าเสื่อมจำนวนน้อย
2
เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริหารสามารถรักษาความแข็งแกร่ง และทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนมากนัก ซึ่งในความคิดของเขานั้น ธุรกิจแบบนี้มีจำนวนไม่มาก
2
นั่นจึงทำให้เขาไม่เห็นด้วย เวลาที่นักวิเคราะห์ประเมินมูลค่ากิจการด้วยการนำ EBITDA มาใช้
เพราะมันทำให้กิจการนั้นมีมูลค่าที่สูงเกินความเป็นจริงในความคิดของเขา
4
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะพอรู้แล้วว่า EBITDA คืออะไร
และจะเห็นได้ว่า ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงไม่ค่อยชื่นชอบบริษัทหรือธุรกิจ
ที่มักจะนำเสนอ EBITDA มากกว่ากำไรสุทธิ ที่หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำธุรกิจออกไป
1
ดังนั้น หากวันนี้เรากำลังวิเคราะห์บริษัทหรือธุรกิจอะไรสักอย่าง แล้วมีตัวเลข EBITDA เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เราควรจะนำไปใช้อย่างระมัดระวัง รวมไปถึงควรนำตัวเลขทางการเงินอื่น ๆ มาวิเคราะห์ประกอบไปด้วย เพื่อทำให้เราสามารถตัดสินใจในการลงทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง..
หนังสือ BRANDING THE NATION หนังสือที่เล่าถึงการสร้างแบรนด์ของแต่ละประเทศที่ทำให้ แต่ละประเทศเป็นแบบทุกวันนี้
เช่น ทำไมเยอรมนีเป็นประเทศแห่งรถยนต์ ทำไมฝรั่งเศสเป็นประเทศแห่งแบรนด์หรู สั่งซื้อเลยที่
โฆษณา