13 มิ.ย. 2022 เวลา 13:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🔥Breaking: ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงเกือบ 3% หลังกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75%🔥
ดัชนี Dow Jones -1.8%
ดัชนี Nasdaq -2.8%
และดัชนี S&P500 -2.3%
ซึ่งตลาดยังคงติดลบต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังวันศุกร์ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงกว่า 800 จุด หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงกว่าคาดการณ์และสูงสุดในรอบ 41 ปี ทำตลาดเริ่มกลับมาคิดกันใหม่อีกครั้งว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงไม่ผ่านจุดสูงสุด การเปิดตลาดติดลบในวันนี้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาเคาะประตูหน้าบ้าน Bear Market อีกรอบนึง
2
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.287% ( ณ เวลา 19.30น.) โดยแตะระดับสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี หลังนักลงทุนคาดว่าเฟดจะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังจากนี้ ขณะที่เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ yield curve แบนราบลงอีกครั้ง สะท้อนว่าตลาดเริ่มกลับมากังวลการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ recession กันนั่นเองคะ
ทั้งนี้นักลงทุนจะต้องจับตาการประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14-15 มิย นี้ ว่าเฟดจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างไรหลังเงินเฟ้อกลับมาอีกหนึ่งรอบ (เฟดจะให้ความสำคัญกับ PCE มากกว่าซึ่งเดือนล่าสุดปรับตัวลง)
ขณะที่ในตอนนี้ตลาดคาดการณ์ไปก่อนแล้วว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 1.75% ในการประชุม 3 ครั้งถัดไป โดยคาดกันว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนกรกฏาคมที่จะถึงนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นนั่นเองคะ
1
สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI ของสหรัฐฯเดือนพฤษภาคมนั้นออกมาพุ่งขึ้นถึง 8.6% YoY และเมื่อเทียบเป็นรายเดือน ตัวเลข CPI เพิ่มขึ้น 1.0% สูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.7% ในขณะเดียวกัน ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงานในเดือน พ.ค. พุ่งขึ้น 6.0% YoY สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 5.9% และเมื่อเทียบรายเดือนก็พุ่งขึ้น 0.6% และสูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.5% เช่นกันคะ
โดนปัจจัยหลักๆของเงินเฟ้อก็ยังคงเหมือนเดิมๆ คือ ราคาพลังงาน ที่อยู่อาศัย อาหาร รถยนต์มือหนึ่งมือสองคะ แต่ตัวเลขที่เราต้องกังวลคือราคาพลังงาน เพราะว่าตอนนี้ WTI กลับไปที่ 120$ ต่อบาร์เรลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากยุโรปแบนการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียทางทะเล
1
และมีโอกาสขึ้นต่อได้อีกเพราะตอนนี้จีนกลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง ทำให้ demand จากจีนจะกลับมานั่นเองคะ แม้ว่าจะมีข่าวว่า OPEC จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50% ก็ตาม แต่ทางซาอุฯเองก็มีการขึ้นราคาขายด้วยเช่นกัน จึงทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับตัวลงนั่นเองคะ
ขณะที่ทางยุโรป หรือ ECB ก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะเงินเฟ้อยุโรปเล่นทำ new high กันทุกเดือนเลย โดนเดือนพฤษภาคมออกมาเร่งตัวขึ้นไปถึง 8.1% YoY ทำให้ ECB เจอปัญหาใหญ่เช่นเดียวกับเฟดและต้องปรับเปลี่ยนท่าทีแบบกะทันหันในการประชุมเมื่อสัปดาห์ก่อน
แม้ว่าทาง ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ก็จริง แต่ส่งสัญญาณ hawkish ออกมาแล้ว โดยจะหยุดโครงการ APP หรือ QE ใน 3 สัปดาห์ และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม และเปิดช่องการขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในเดือนกันยายน
โดยการกลับลำดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นยุโรปโดนเทขายต่อเนื่องมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน และมีโอกาสโดนเทขายต่ออีก เพราะว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และถ้าเป็นตามที่ ECB เปิดช่องไว้ อัตราดอกเบี้ยของยูโรโซนจะกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในไตรมาส 3 ดังนั้นการเทขายในสัปดาห์ที่แล้วอาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
1
ขณะที่ในประเทศไทย กนง.มีมติ 4 ต่อ 3 ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% โดยเป็นผลที่พลิกล็อคเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ผู้ว่าแบงก์ชาติยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอดว่าไม่ขึ้นดอกเบี้ยแน่ๆปีนี้ แต่ว่าล่าสุดวันนี้ออกมายอมรับแล้วว่าแบงก์ชาติอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
แม้ว่า กนง จะประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เพราะอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว และจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยได้ปรับประมาณการณ์ GDP ในปี 65 เพิ่มเป็น 3.3% จากเดิมที่ 3.2% และในปี 66 ลงมาที่ 4.2% จากเดิมที่คาดไว้ 4.4% ขณะที่ก็ได้ปรับคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปขึ้นเป็น 6.2% ในปี 65 และ 2.5% ในปี 66 จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 4.9% และ 1.7% ตามลำดับ
ซึ่งจุดนี้นิคกี้ขอแทงสวนเลยแล้วกันคะว่าแบงก์ชาติจะคาดผิดทั้งหมด โดย GDP ไทยจะออกมาแย่กว่านี้ และเงินเฟ้อจะสูงกว่านี้แน่นอนคะ ซึ่งจริงๆแบงก์ชาติก็คาดการณ์ผิดมาตลอดตั้งแต่ต้นปีทำให้ค่อยข้างจะ behind the curve ยิ่งกว่า FED และ ECB
ขณะที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของไทย อย่างดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน พ.ค. 65 พุ่งขึ้น 7.10% YoY และเพิ่มขึ้น 1.40% MoM ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือน พ.ค.65 เพิ่มขึ้น 2.28% YoY และเพิ่มขึ้น 0.17% MoM โดยปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นเหมือบกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐและยุโรป
ดังนั้นแล้วการประชุมครั้งหน้า แบงก์ชาติมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยสูงมาก เพราะเงินเฟ้อไทยจะปรับตัวขึ้นไปมากกว่านี้อีก โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเลิกอุ้มราคาน้ำมันดีเซล และจะทำตลาดหุ้นไทยมีโอกาสดำเนินรอยตามตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรปแน่นอน
1
โดยถ้าเราดูตลาดหุ้นแต่ละที่ตั้งแต่ต้นปี ดัชนี s&p500 ร่วงไปแล้วกว่า 18% ดัชนี stoxx600 ร่วงไปแล้วกว่า 13% ขณะที่หุ้นไทยร่วงลงแค่ 3.47% เท่านั้น ขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยพึ่งจะฟื้นตัวได้ในปีนี้เป็นปีแรก ส่วนสหรัฐฯและยุโรปฟื้นตัวกลับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้มีความพร้อมในการรับมือกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าไทย
สรุปแล้วในภาวะแบบนี้ นิคกี้แนะนำว่าอย่าเพิ่งลงทุนอะไรเพิ่มเติม ให้กอดเงินสดไว้ก่อนเหมือนเดิมคะ ขณะที่ใครมีหุ้นพลังงานหรือน้ำมันอยู่ ให้ถือต่อไปก่อนเพราะอาจะเป็นเพียงไม่กี่อย่างที่จะทำผลกำไรให้กับพอร์ตของเพื่อนๆได้หลังจากนี้คะ ส่วนเรื่องของอัตราเงินเฟ้อนิคกี้มองว่าจะอยู่กับเราไปอีก 2-3 เดือน ก่อนที่จะกลับมาปรับตัวลงอีกครั้ง แต่เหมือนที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่า ขอเห็นตัวเลขชัดๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อคะ
🎯 5 วิธี… รับมือพอร์ตแดง | Investment 101 by BeautyInvestor
Source: Bloomberg
✅ ทั้งนี้ อย่าลืมติดตามนิคกี้เพิ่มเติมได้ทาง
#เศรษฐกิจ #การเงิน #ลงทุน #กองทุน #มือใหม่ #ข่าวเศรษฐกิจทั่วโลก #ข่าวทั่วโลก #ARK #GINNO #TMBESGINNO #กลต #ECB #Commodities #WeeklyNews #หุ้น #กองทุนรวม #ดอกเบี้ย #นักลงทุน #จีน #GDP #พาวเวลล์ #สหรัฐฯ #Terra #UST #รัสเซีย #เงินเฟ้อ #หุ้นจีน #ยุโรป #เวียดนาม #Bitcoin #คริปโต #Bloomberg #Crypto #FED #เฟด
โฆษณา