13 มิ.ย. 2022 เวลา 14:57 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
รู้จักกับเครื่องบินสำหรับ “วันโลกาวินาศ” สุดยอดเทคโนโลยีที่อยู่ในเครื่องบินอายุ 5 ทศวรรษ
ขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา Lloyd J.Austin III กำลังอยู่ระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หลายๆคนคงจะเห็นข่าวและภาพเครื่องบินแปลกตาของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาที่ลงจอด ณ ท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เครื่องบินรุ่นนี้มีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงได้รับฉายาว่า “Doomsday” หรือ “วันโลกาวินาศ”...
ลองจอดที่ดอนเมืองเมื่อวานนี้
✈️เครื่องบินรุ่นนี้คือ Boeing E-4B "Nightwatch" มีชื่อเต็มว่า Boeing E-4 Advanced Airborne Command Post (AACP) หรือสั้น ๆ คือ Boeing E-4 (E-4B) โดยดัดแปลงมาจากเครื่องบินโดยสาร Boeing 747-200 สำหรับภารกิจการเป็นกองบัญชาการเคลื่อนที่
เครื่องบินรุ่นนี้ประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่เดือนตุลาคม 1974 หรือเกือบ 48 ปีมาแล้ว มีการผลิตออกมาทั้งสิ้น 4 ลำ ปัจจุบันยังคงประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯทั้งหมด โดยประจำการอยู่ในฝูงบิน 1st Airborne Command and Control Squadron ณ ฐานทัพอากาศ Offutt Air Force Base รัฐเนบราสกา
📌โครงการพัฒนา Boeing E-4B
เครื่องบินรุ่นนี้ มีจุดเริ่มต้นจากการเสนอโครงเครื่องบิน Boeing 747-200 ของ Boeing ให้กับกองทัพอากาศสหรัฐฯ เพื่อดัดแปลงและปรับปรุงให้เป็นเครื่องบินบัญชาการทางอากาศทดแทนเครื่องบินแบบ Boeing EC-135J ที่ขณะนั้นใช้งานในภารกิจใกล้เคียงกัน
Boeing EC-135
ในตอนแรกมีการผลิตออกมาเป็นรุ่น E-4A จำนวน 3 ลำ ติดตั้งเครื่องยนต์ Pratt & Whitney JT9D และมีอุปกรณ์ต่างๆบนเครื่องบินคล้ายคลึงกับ EC-135J ที่พัฒนาโดย Raytheon แต่ตัวเครื่องมีขนาดที่ใหญ่กว่า รวมถึงมีสมรรถนะทางการบินที่สูงกว่า เนื่องจาก EC-135J ใช้โครงสร้างเครื่องบินของ Boeing 707 ที่เก่าและมีขนาดเล็กกว่า โดย Boeing ส่งมอบ E-4A 3 ลำแรกให้กับกองทัพอากาศสหรัฐฯระหว่างปี 1973-1974
หลังจากนั้นในปี 1979 Boeing ได้ส่งมอบเพิ่มเติมอีก 1 ลำ โดยมีการพัฒนาระบบอำนวยการบินและระบบสำหรับบัญชาการต่างๆรุ่นใหม่ รวมถึงติดตั้งเครื่องยนต์ General Electric CF6 แทน สำหรับลำที่ 4 นี้เปลี่ยนชื่อรุ่นย่อยเป็น Boeing E-4B ก่อนที่จะมีการปรับปรุง 3 ลำแรกให้เป็น E-4B แล้วเสร็จในปี 1985
📌ความสามารถหลัก ที่มาของฉายา Doomsday
เนื่องด้วยเครื่องบินนี้ถูกออกแบบมาในภารกิจ Advanced Airborne Command Post หรือสามารถเป็นกองบัญชาการลอยฟ้า สามารถสั่งการมายังหน่วยงานทุกหน่วยได้อย่างราบรื่นแม้ในยามสงคราม เครื่องบินลำนี้จึงมีความสามารถหลักๆดังนี้
- สามารถป้องกันการโจมตีจากอาวุธ EMP (Electro-Magnetic Pulse) หรือสนามแม่เหล็กที่เกิดจากอาวุธหรือการระเบิดของหัวรบนิวเคลียร์ โดยคลื่นนี้จะทำลายการทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ซึ่งการยังใช้ห้องนักบินที่ไม่ได้เป็นแบบสมัยใหม่หรือ Glass Cockpit ทั้งหมด ส่วนหนึ่งก็เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียหายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นกัน
ห้องนักบินที่ไม่ได้เป็นแบบสมัยใหม่หรือ Glass Cockpit ทั้งหมด ส่วนหนึ่งก็เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียหายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อเกิดระเบิดนิวเคลียร์ หรือการใช้อาวุธ EMP ต่างๆ
- ระบบประชุมและสั่งการสมัยใหม่ผ่านหลากหลายวิธีการสื่อสาร รวมถึงผ่านดาวเทียม มีห้องติดตามสถานการณ์และห้องบัญชาการที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าห้องบัญชาการในอาคารเพนทากอน หรือในทำเนียบขาว และเมื่อเครื่องบินลำนี้ปฏิบัติภารกิจบัญชาการบนฟ้า จะถูกเรียกว่า "National Airborne Operations Center"
ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดและรูปภาพภายในของเครื่องบินรุ่นนี้นัก
- สามารถรองรับบุคลากรและลูกเรือรวม 112 คน ทำให้สามารถนำบุคลากรที่มีความสำคัญและรับผิดชอบในด้านต่างๆขึ้นไปกับเครื่องบินได้จำนวนมา ถือเป็นเครื่องบินรุ่นที่สามารถรองรับบุคลากรจำนวนมากที่สุดของกองทัพอากาศสหรัฐฯ (ไม่นับการขนส่งกำลังพล)
- สามารถเติมน้ำมันกลางอากาศได้ ทำให้สามารถเป็นกองบัญชาการบนฟ้าได้ระยะยาวโดยไม่ต้องลงจอด ตราบใดที่มีเครื่องบินมาเติมน้ำมันให้
เครื่องรุ่นนี้สามารถเติมน้ำมันกลางอากาศได้ ทำให้เป็นกองบัญชาการบนฟ้าได้ระยะยาวโดยไม่ต้องลงจอด ตราบใดที่มีเครื่องบินมาเติมน้ำมันให้
จากความสามารถหลักดังกล่าว ประกอบกับอีกหลากหลายเทคโนโลยีแบบจัดเต็ม ทั้งที่มีการเปิดเผยและไม่มีการเปิดเผย ทำให้เครื่องบินรุ่นนี้ได้รับฉายา "Doomsday" หรือ "วันโลกาวินาศ" กล่าวคือ แม้จะเกิดสงครามหรือภัยธรรมชาติถึงขั้นโลกาวินาศ เครื่องบินลำนี้ก็ยังสามารถบินได้และเป็นกองบัญชาการของรัฐบาลและกองทัพสหรัฐอเมริกาได้นั่นเอง
📌ภารกิจของเครื่องบินรุ่นนี้
ในช่วงแรกของการเข้าประจำการ เครื่องบินรุ่นนี้ปฏิบัติภารกิจใกล้เคียงกับเครื่องบินแบบ VC-137C หรือ Air Force One ลำเดิมที่ดัดแปลงมาจากโครงสร้างของ Boeing 707 กล่าวคือ เป็นเครื่องบินที่ประธานาธิบดีและผู้บัญชาการกองทัพระดับสูงใช้เดินทางในภารกิจต่างๆ
แต่หลังจากการเข้าประจำการของ Boeing VC-25 หรือ Air Force One ที่ดัดแปลงมาจากโครงสร้างของ Boeing 747 ที่เราคงจะคุ้นเคยกัน E-4B ก็ถูกใช้งานในภารกิจสนับสนุน รวมถึงในภารกิจต่างๆของผู้บัญชาการกองทัพระดับสูง โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
Air Force One, a VC-25A
นอกจากนี้ ภารกิจสำคัญอีกอย่างในปัจจุบัน คือการเป็นเครื่องบินสนับสนุนภารกิจของประธานาธิบดี กล่าวคือเมื่อประธานาธิบดีเดินทางในภารกิจไปยังต่างประเทศ นอกจากมี Air Force One สำรองแล้ว E-4B ก็มักจะถูกใช้งานไปเตรียมความพร้อมยังเมืองหรือประเทศใกล้เคียง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็สามารถใช้งานกองบัญชาการลอยฟ้าลำนี้ได้ทันที
ปัจจุบันเครื่องบินรุ่นนี้มีประจำการทั้งหมด 4 ลำ โดยจะมี 1 ลำที่มีความพร้อมขึ้นบินเสมอเพื่อเป็นการเตรียมรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
📌รายละเอียดของเครื่องบินรุ่นนี้ที่เผยแพร่โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ
ผู้ผลิต : Boeing Aerospace Co.
เครื่องยนต์ : General Electric CF6-50E2 จำนวน 4 เครื่องยนต์
แรงขับ : 52,500 ปอนด์ต่อเครื่องยนต์
ความยาวลำตัว : 70.5 เมตร
ความกว้างปีก : 59.7 เมตร
ความสูง : 19.3 เมตร
น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด (MTOW) : 360 ตัน
พิสัยการบิน : 12 ชั่วโมง (ในกรณีไม่มีการเติมน้ำมันกลางอากาศ)
ราคาต่อลำ : 223.2 ล้านเหรียญ
ทั้ง 4 ลำ มีหมายเลขเครื่อง 73-1676, 73-1677, 73-1787, 75-0125 รับมอบลำแรกในปี 1973 หรือเกือบ 50 ปีมาแล้ว โดยลำที่บินมายังประเทศไทยคือหมายเลข 73-1787
ปัจจุบันกองทัพอากาศสหรัฐฯมีโครงการจัดหาเครื่องบินมาทดแทนเครื่องบินรุ่นนี้ภายใต้โครงการ “Survivable Airborne Operations Center” แต่ยังไม่มีการประกาศรายละเอียดออกมาชัดเจนนักว่าจะพัฒนาต่อจากเครื่องบินรุ่นใด โดยโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้มักใช้เวลาพัฒนาและผลิตนับ 10 ปี นั่นหมายความว่าเราก็คงได้เห็น Boeing E-4B "Nightwatch" หรือ “Doomsday” ลำนี้ไปอีกนานอย่างแน่นอน
📸ภาพประกอบจาก กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา
โฆษณา