14 มิ.ย. 2022 เวลา 07:35 • การศึกษา
วันนี้จะมาเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การแข่งพูดสุนทรพจน์ครั้งแรกของนักเรียน(อยาก)เขียนค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่านักเรียน(อยาก)เขียนไม่เคยแข่งอะไรคนเดียวมาก่อน ก่อนหน้านี้เคยแข่งดนตรีประเภทวงเครื่องลม (Wind Ensemble) ตอนงานศิลปะหัตถกรรมปีไหนสักปีค่ะ ตอนนั้นแข่งกัน 12 คน พอต้องมาแข่งคนเดียวแล้วจึงเกิดความประหม่าอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นที่ตอนซ้อมใหญ่ครั้งแรกลืมบทสุนทรพจน์กันเลยทีเดียว
มาถึงเรื่องการแข่งสุนทรพจน์จริง ๆ จัง ๆ กันสักทีค่ะ ตอนที่สมัครแข่งกับอาจารย์เป็นช่วงปิดเทอมม.5 ขึ้น ม.6 เป็นการแข่งออนไลน์เนื่องด้วยเป็นช่วงโควิด อาจารย์มีหัวข้อมาให้เลือก 5 หัวข้อ
1.ทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
2.เรื่องที่ซึ้งใจ ประทับใจ ติดตราตรึงใจที่สุด
3.ข้อดีของภาษาญี่ปุ่น
4.ของที่มีค่าของฉัน
5.ครอบครัวของฉัน
ลองเดาดูสิคะว่านักเรียน(อยาก)เขียนเลือกหัวข้ออะไร
เลือกหัวข้อที่1.ทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่นค่ะ หลังจากเลือกหัวข้อได้แล้วอาจารย์ก็ให้ไปเขียนเรียงความหัวข้อที่เลือกเป็นภาษาไทยมาค่ะ ตอนนั้นคิดหลายรอบมากว่าจะเขียนยังไงดี จนในที่สุดก็เขียนออกมาจนจบได้ค่ะ ใจความหลักของเรียงความตอนนั้นคือ นักเรียน(อยาก)เขียนมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะอยากดูอนิเมะได้โดยไม่ต้องพึ่งซับไตเติลค่ะ! เป็นเหตุผลที่ดูธรรมดาแต่ก็เป็นแรงพอให้มีไฟในการเรียนอยู่ไม่น้อยค่ะ
หลังจากส่งเรียงความให้อาจารย์ อาจารย์ก็แปลมันเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ ตอนอ่านเป็นภาษาญี่ปุ่นครั้งแรกรู้สึกแปลกไม่น้อยค่ะ ข้อความบางส่วนถูกดัดให้เข้าใจง่ายและกระชับขึ้น
ตอนอ่านให้อาจารย์ฟังครั้งแรกติดขัดหลายจุดจนอาจารย์ต้องตัดส่วนน้ำทิ้ง ให้เหลือแต่ใจความสำคัญค่ะ จากตอนแรกจับเวลาในการพูดได้ 5 นาทีกว่า กลายเป็นเหลือ 3 นาทีนิด ๆ ค่ะ
ตอนนั้นฝึกหนักมากค่ะ วันหนึ่งฝึกเองหลายสิบรอบ และทุก ๆ 2-3 วัน จะต้องฝึกกับอาจารย์คนไทยและคนญี่ปุ่นค่ะ ตอนนั้นโดนแก้เรื่องการออกเสียงแทบทุกคำจนเริ่มท้อค่ะ กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดีจนดึงคะแนนของโรงเรียนร่วงจนเกือบร้องไห้เลยค่ะ แต่สุดท้ายก็ผ่านมันไปได้ค่ะ
ช่วงก่อนแข่งคือช่วงที่กดดันที่สุด ตอนนั้นจำได้ว่าว่างเมื่อไหร่เป็นซ้อมค่ะ ซ้อมเยอะจนตอนนี้ยังจำได้อยู่เลยค่ะ ติดตราตรึงในใจจนน่ากลัวเลยก็ว่าได้ พอซ้อมใหญ่ที่มีเพื่อนคนอื่นที่แข่งรายการเดียวกันมาฟังด้วย ตอนนั้นตื่นเต้นมากจนลืมบทพูดหมดเลย พูดติดขัดมากจนกลัวอาจารย์ดุเลยค่ะ โชคดีที่อาจารย์เข้าใจเลยไม่ได้ว่าอะไรแถมปลอบด้วยค่ะ
และแล้ววันแข่งก็มาถึง ตอนนั้นเป็นวันก่อนวันเกิดพอดีค่ะ ครั้งนั้นแข่งใน ZOOM กรรมการคนญี่ปุ่นเต็มไปหมดจนมือสั่นไม่หยุดเลยค่ะ โชคดีที่อาการตื่นเวทีไม่หนักเท่าตอนแรกเลยพูดได้เหมือนตอนซ้อมค่ะ ถึงจะพูดเร็วไปนิดหน่อยแต่ตอนนั้นพอใจมากค่ะ พอแข่งเสร็จเหมือนยกภูเขาออกจากอกอย่างที่สำนวนบอกจริง ๆ ค่ะ โล่งใจมากจนนอนแผ่ไม่ทำอะไรต่อเลยค่ะ แต่ถึงจะแข่งจบแล้วแต่บทพูดที่ซ้อมมาเป็นเดือนกลับไม่ยอมหายไปจากหัวค่ะ
ตอนนั้นนอนอยู่ดี ๆ ก็เผลอพูดบทตอนแข่งออกมาค่ะ ไม่ว่าจะตอนอาบน้ำ กวาดใบไม้หน้าบ้าน หรือแม้แต่ก่อนนอนก็มักจะเผลอพูดจนสุขภาพจิตตอนนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งยังไม่รู้ผลการแข่งยิ่งกังวลค่ะ จากที่โล่งอกในตอนแรกกลายเป็นหนักใจแทนค่ะ ตอนนั้นเครียดมาก พออาจารย์เอาผลมาบอก ตอนนั้นหวังไว้มากเพราะเป็นการแข่งที่ตั้งใจซ้อมมากและเชื่อที่คนบอกกันว่า ความพยายามไม่เคยทรยศเรา น่าเสียดายค่ะ ตอนนั้นไม่ติดที่ใด ๆ เลย
ร้องไห้ค่ะ ร้องไม่นานแต่สุขภาพจิตย่ำแย่มากค่ะ แม่บอกว่าทำได้ดีแล้ว ในใจเราเองก็คิดว่าตอนแข่งทำสุดความสามารถแล้ว แต่ผลออกมาไม่ได้อย่างที่หวังก็ผิดหวัง ผิดหวังจนคิดว่าจะไม่ลงแข่งอะไรอีกแล้วเลยค่ะ ถึงสุดท้ายจะทำใจได้แต่ความผิดหวังครั้งนั้นยังติดในใจไม่เคยลืมค่ะ
จนตอนนี้ดีขึ้นมาก อาการที่มักจะเผลอพูดบทก็เบาลงจนตอนนี้นาน ๆ ทีถึงเป็นค่ะ พอลองมาคิดดู การแข่งครั้งนั้นเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งค่ะ ทำให้พบว่าตัวเองไม่ได้ชอบภาษาญี่ปุ่นถึงขนาดนั้น ทำให้รู้ว่าไม่ควรให้ความหวังกับอะไรมากเกินไป ทำให้รู้ว่ายังมีคนคอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ เสมอค่ะ
แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากแข่งอีกแล้วค่ะ อยากนอนแผ่โดยไม่ต้องคิดอะไรมากกว่า
จบไปแล้วค่ะกับการเล่าประสบการณ์การแข่งพูดสุนทรพจน์ครั้งแรกของนักเรียน(อยาก)เขียน หวังว่าทุกคนจะได้อะไรจากโพสต์นี้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบ ขอให้มีวันที่ดีค่ะ
โฆษณา