Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลือชัย พิศจำรูญ
•
ติดตาม
15 มิ.ย. 2022 เวลา 08:55 • ประวัติศาสตร์
แหกหักห้องประหาร (จากหนังสือเรื่อง "แหกคุกมหันตโทษบางขวาง")
วันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ เวลา ๑๘.๐๐ น. ภายในห้องขังนักโทษประหารแดน ๑ ห้องเลขที่ ๒๔ น.ช.สนอง, ประจวบ ยืนยง หรือที่รู้จักกันในนามขุนโจร ๓ ล้าน ซึ่งได้ร่วมกับพวกก่อคดีปล้นฆ่ารถขนเงินของธนาคารเอเซีย ได้ลุกนั่งขึ้นมาพร้อมกับทำการปลดโซ่ตรวนที่ขาออก จากนั้นได้หันไปดู น.ช.ยืน, บุญยืน แสงชมพู,
น.ช.เฉลิม กัปตันแดง, น.ช.สำเนียง ต้นแขม เพื่อนนักโทษประหารที่ถูกขังร่วมห้องว่าทำการถอดโซ่ตรวนที่ขาออกสำเร็จแล้วหรือยังตามที่ได้นัดแนะกันไว้ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยตามแผนที่ได้วางไว้ น.ช.สนองจึงได้นำส่วนประกอบของอาวุธปืนเมาเซอร์ขนาด .38 มาประกอบให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งาน เสร็จแล้วจึงได้บรรจุกระสุนเข้าใส่รังเพลิงอย่างเต็มอัตราศึก
จากนั้น น.ช.สนองซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มได้ใช้กุญแจผีไขเปิดประตูห้องขังออกมาจนสำเร็จ เสร็จแล้วได้ตรงเข้าไปที่ห้องขังนักโทษประหารห้องเลขที่ ๒ แล้วใช้กุญแจผีไขเปิดประตูเพื่อช่วย น.ช.วัชระ ศรเพชร สมุนคู่ใจออกมาจากห้องขัง จากนั้นทั้ง ๕ เสือร้ายได้เตรียมที่จะแหกออกจากตึกขัง เป็นเวลาเดียวกับที่นายลำพวน พรภักดี ผู้คุมซึ่งทำหน้าที่ดูแลนักโทษประหารเดินเข้ามาในตึกขัง
พอดี น.ช.สนองจึงใช้ปืนจี้บังคับเอากุญแจตึกขังจากนายลำพวน พร้อมกับบังคับให้นายลำพวนเดินนำหน้าเพื่อใช้เป็นโล่กำบัง
เมื่อทั้งหมดออกมาพ้นจากตึกขัง ได้สวนกับนายสุดใจ เฮงสมบูรณ์ ผู้คุมนักโทษประหารที่หน้าตึก น.ช.สนองจึงใช้ปืนจี้บังคับให้นายสุดใจถอดเครื่องแบบที่สวมอยู่ออกส่งให้กับพวกตน จากนั้นได้จับตัวนายสุดใจไปขังไว้ในห้องขังนักโทษ
ประหาร เสร็จแล้วทั้งหมดได้คุมตัวนายลำพวนเข้าไปที่โรงเลี้ยงอาหารของแดน ๑ แล้วนำเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ซึ่งนำเข้ามาให้นักโทษซักรีดมาสวมใส่เพื่อปลอมตัว เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้วได้ใช้ปืนบังคับให้นายลำพวนเดินนำคนทั้งหมดออกจากแดน ๑
หลังจากที่ทั้งหมดออกมาพ้นจากแดน ๑ ได้เดินตรงไปที่ประตูหอรักษาการณ์ ๗ ชั้น(ประตู ๔) ซึ่งเป็นประตูเรือนจำด่านแรกที่จะออกไปสู่อิสระภาพ ทั้งหมดได้
บังคับให้นายลำพวนเคาะประตูเรียกเจ้าหน้าที่ดูแลประตูซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของประตูเพื่อให้เปิดประตูให้ เจ้าหน้าที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะเรียกก็ได้มองลอดช่องมองของประตูเข้าไปในเรือนจำ เห็นนายลำพวนยืนอยู่กับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบกลุ่มหนึ่งจึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร พร้อมกับเปิดประตูให้ทั้งหมดเดินออกมาจากข้างใน
ขณะนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ใต้หอรักษาการณ์ ๗ ชั้น ประกอบด้วยนายจำนงค์ ยันตรุยหะ นายทุ้ม แสงบัว นายดิเรก นายประยูรและนายปิ่น (ไม่ทราบนามสกุล) โดยไม่ได้มีใครสังเกตุว่ามีนักโทษปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่เดินออกมาจากเรือนจำ น.ช.สนองได้เดินเลี้ยวเข้าไปหากลุ่มเจ้าหน้าที่เพื่อบุกยึดปืนที่เก็บรักษาไว้บนหอรักษาการณ์ ๗ ชั้น เมื่อเดินเข้าใกล้กลุ่มเจ้าหน้าที่
น.ช.สนองได้ใช้ปืนขู่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดพร้อมกับพูดว่า “อยู่นิ่งๆ อย่าลุกขึ้นไม่เช่นนั้นตาย มีใครมีปืนบ้างไหม” เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเข้าใจว่าเพื่อนเจ้าหน้าที่ด้วยกันล้อเล่น นายจำนงค์จึงตอบกลับไปว่า “ไม่มี” น.ช.สนองจึงสั่งว่า “ยกมือขึ้นทุกคน” นายทุ้มซึ่งในครั้งแรกไม่ได้สนใจต่อคนที่เดินเข้ามาหากลุ่มของตน จึงได้หันไปจ้องหน้าคนที่ข่มขู่พวกตน พร้อมกับร้องตะโกนว่า “เฮ้ย…นั่นไอ้หนอง”
น.ช.สนองเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของนายทุ้ม จึงได้เดินเข้าไปหาพร้อมกับยิงใส่ร่างของนายทุ้มทันที ๑ นัด กระสุนเข้าใต้รักแร้ขวาตัดขั้วหัวใจขาดใจตายทันที เจ้าหน้าที่ทุกคนพากันตกตะลึงพร้อมกับล้มตัวลงนอนกับพื้นเพื่อหลบวิถีกระสุน นายจำนงค์ได้กระชากปืนคอลล์ขนาด .38 ซูเปอร์ออกมาขึ้นลำเพื่อต่อสู้ น.ช.สนองเห็นดังนั้นได้ร้องตะโกนบอกพรรคพวกว่า “นั่นขึ้นลำปืนแล้ว” พร้อมกับยิงเข้าใส่นายจำนงค์ ๑ นัดแต่พลาดเป้า
นายจำนงค์นอนยิงตอบโต้ไปหลายนัดแต่พลาดเป้าเช่นกัน จึงได้ลุกขึ้นดวลปืนกับ น.ช.สนองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งฝ่ายหนึ่งสู้เพื่อหนีเอาตัวรอดจากโทษประหาร อีกฝ่ายหนึ่งสู้เพื่อศักดิ์ศรีและหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ปรากฏว่ากระสุนปืนถูก น.ช.สนองเข้าที่จมูกทะลุท้ายทอยหนึ่งนัด หน้าอกสองนัด หัวไหล่หนึ่งนัด ขาดใจตายอยู่ที่เชิงบันไดหอรักษาการณ์
ขณะที่นายจำนงกำลังดวลปืนกับ น.ช.สนองอยู่นั้น นายเสมา(ไม่ทราบนามสกุล) เจ้าหน้าที่ประตูได้พยายามที่จะหมุนไซเรนเพื่อแจ้งเหตุร้าย แต่ได้ถูก น.ช.วัชระใช้เหล็กแหลมแทงที่ก้นได้รับบาดเจ็บเสียก่อน จากนั้น น.ช.วัชระได้ปรี่เข้าหานายจำนงค์ที่ด้านหลัง แล้วใช้ตะพดหวดเข้าที่ศีรษะนายจำนงค์ ๒ ครั้งซ้อนจนแตกเลือดอาบร่าง นายจำนงจึงหันมายิงสวนใส่ร่าง น.ช.วัชระอย่างไม่นับ จน
น.ช.วัชระล้มลง แล้วพยายามกระเสือกกระสนหนีกลับเข้าไปตายในห้องขังนักโทษประหารแดน ๑ ส่วนนายจำนงค์หลังจากที่สาดกระสุนใส่นักโทษประหารจนหมดตับแล้ว ได้ล้มลงหมดสติไปเนื่องจากบาดแผลที่ศีรษะ
เมื่อเสียงปืนการต่อสู้ทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลง น.ช.บุญยืน น.ช.เฉลิม น.ช.สำเนียง ซึ่งทั้งสามอยู่ในเครื่องแบบของผู้คุมได้วิ่งออกมาที่ประตูด้านหน้าเรือนจำ(ประตู ๓)
หนึ่งในสามได้เคาะประตูเรียกเจ้าหน้าที่ประจำประตู พร้อมกับร้องตะโกนบอกว่า “เปิดประตูเร็ว ข้างในมีนักโทษแหกคุก เกิดการยิงกันขึ้น พวกผมจะรีบออกไปรายงานให้ผู้บัญชาการเรือนจำทราบ” เจ้าหน้าที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงร้องบอกและมองลอดช่องเข้าไปเห็นทั้งสามใส่เครื่องแบบอยู่ ก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของเรือนจำจึงเปิดประตูให้ทั้งสามออกมา
เมื่อทั้งสามออกมาพ้นประตู ๓ แล้ว ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ประตูอีกว่า “พวกผมจะรีบไปพบ ผ.บ.” แล้วเปิดประตู ๒ และประตู ๑ วิ่งพ้นออกจากเรือนจำไปขึ้นรถสามล้อเครื่องของ ส.ต.ต.เทิน สุขสม อดีตตำรวจประจำ สภ.อ.เมืองนนทบุรีซึ่งขับรถผ่านมาพอดี โดยให้ไปส่งที่ย่านบางซ่อน แล้วขึ้นแท็กซี่หนีเตลิดไปได้ ซึ่ง ส.ต.ต.เทินมาทราบในภายหลังว่าทั้งสามเป็นนักโทษแหกคุก
นายบุญยฤทธิ์ นาคีนพคุณ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง ได้รีบรุดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับสั่งการให้เจ้าหน้าที่เรือนจำประสานงานกับตำรวจเพื่อติดตามนักโทษที่หลบหนีไปได้ และได้รีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ทราบ โดยได้กล่าวว่า “การแหกคุกเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นไปได้เสมอ”
ทางด้าน สภ.อ.เมืองนนทบุรี ได้รายงานด่วนทางวิทยุสื่อสาร ขอให้กองบังคับการ
ภาค ๑ (อยุธยา) ช่วยสกัดเส้นทางหลบหนีของนักโทษทั้งสาม พร้อมกับรายงานเข้าวังปารุสักวันเพื่อขอกำลังตำรวจให้ช่วยติดตามล่าตัวเสือร้ายทั้งสามโดยด่วน ซึ่งได้มีการส่งกำลังตำรวจจากกองปราบปรามเข้าร่วมติดตามโดยมี พ.ต.อ.(พิเศษ)สำราญ กรัดศิริ ผบ.ก.ป.สามยอด เป็นหัวหน้าชุดติดตามล่าตัวอย่างเร่งด่วน
สำหรับประวัติของนักโทษประหารทั้ง ๓ คนที่หลบหนีไปได้มีดังนี้
น.ช.ยืน, บุญยืน แสงชมภู ชาวตำบลศรีพูน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อคดีขว้างระเบิดใส่เสี่ยโอ๊วผู้กว้างขวางทางภาคเหนือ เป็นเหตุให้มีคนตาย ๓๐ กว่าคนและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก เคยแหกคุกที่เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่มาแล้ว ๒ ครั้ง และมาแหกคุกครั้งที่ ๓ ที่เรือนจำกลางบางขวาง จนสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จ
น.ช.สำเนียง ต้นแขม ชาวตำบลโคกสำโรง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ก่อ
คดีปล้นฆ่ามาอย่างโชกโชน เป็นเสือร้ายมีอันดับของจังหวัดลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ครั้งสุดท้ายก่อคดีปล้นฆ่าที่จังหวัดนครสวรรค์
น.ช.เฉลิม กัปตันแดง อายุ ๓๘ ปี ชาวตำบลไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี อดีตเคยเป็นลูกน้องมือขวาของ น.ช.กังวาล วีระนนท์ เจ้าพ่อบางนกแขวกแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง (นักโทษประหารเช่นกัน) น.ช.เฉลิมรับงานฆ่าคนมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้ง
สุดท้ายรับจ้างจากนายทองสาย สุริยา ชาวอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ให้ฆ่านายเต็ก ช่างเจริญ ชาวตำบลแก่งครู อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยได้ชักชวน น.ช.ลี อยู่พงษ์, คงอยู่ (ถูกประหารชีวิตไปเมื่อวันที่ ๓๑ ต.ค. ๒๕๐๔) ให้ร่วมการสังหารในครั้งนี้ด้วย
วันที่ ๒๙ พ.ค. ๒๕๐๔ เวลา ๒๐.๐๐ น. น.ช.เฉลิม และ น.ช.ลีได้บุกไปที่บ้านของนายเต็ก พบนางเย็น ช่างเจริญ กำลังเจ็บท้องจะคลอดลูกนอนร้องครวญครางอยู่
ส่วนนายเต็กเป้าหมายการสังหารไม่อยู่บ้าน เนื่องจากไปตามหมอตำแยมาทำคลอดให้เมีย น.ช.เฉลิม กับ น.ช.ลี จึงใช้มีดกระหน่ำฟันไปบนร่างของนางเย็นจนเสียชีวิต และใช้สากตำข้าวทุบไปที่หน้าท้องนางเย็นจนลูกในท้องทะลักออกมา โดยโผล่แต่ส่วนหัวออกมาเท่านั้น
จากนั้นได้ช่วยกันเล่นงานด.ญ.อุบล อายุ ๖ ขวบ ลูกสาวนายเต็ก นายสมจิตร
ปลูกฝัง อายุ ๑๖ ปี นายปรีชา ปลูกฝัง อายุ ๑๗ ปี ลูกเลี้ยงของนายเต็กด้วยสากตำข้าวจนเสียชีวิตหมดทั้งบ้าน และยังได้ฆ่านายตูบ พรหมมา ลูกจ้างทำไร่และตัดไม้ของนายเต็กจนเสียชีวิตไปอีกศพหนึ่ง เสร็จแล้วได้จุดไฟเผาบ้านนายเต็กเพื่อทำลายหลักฐาน แต่เผอิญมีฝนตกหนักไฟจึงได้มอดดับไปเสียก่อน ภายหลังตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวจอมโหดทั้งสองได้ น.ช.เฉลิมรู้ตัวว่ายังไงก็ต้อง
โดนประหารชีวิตอย่างแน่นอน จึงได้ร่วมมือกับ น.ช.สนองแหกหักคุกหวังไปตายดาบหน้า
วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แบ่งสายติดตามนักโทษประหารทั้งสามไปที่ภูมิลำเนาของแต่ละคนเพื่อล่าตัวและหาเบาะแสในการหลบหนี แต่ยังไม่พบวี่แววแต่อย่างใด โดยคาดว่าทั้งหมดอาจได้รับการช่วยเหลือจากสมัครพรรคพวกให้ที่หลบซ่อนตัวแล้ว
สำหรับการแหกคุกในครั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนประกอบด้วย นายสุวรรณ รื่นยศ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายทองธัช สากิยลักษณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสะอาด ปายะนันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายประสงค์ อิสรภักดี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายชื่น รัตนะรังคะ นายอำเภอเมืองนนทบุรี พ.ต.ต.สถาพร วิมุตตานนท์ ผู้บังคับการตำรวจกองเมืองนนทบุรี ร.ต.ท.สุนทร เพ็ญ
ศศิธร ร้อยเวรเจ้าของคดี เข้าร่วมสอบสวนที่มาของอาวุธปืนที่ใช้ในการแหกหัก และหาตัวเจ้าหน้าที่และนักโทษบางคนที่อาจให้ความร่วมในการแหกหักครั้งนี้
จากการสอบสวนทราบว่า น.ช.สนองได้มีการเตรียมการมานานแล้ว เนื่องจากระยะหลังมีญาติมิตรของ น.ช.สนองมาเยี่ยมถี่อย่างผิดปกติ และของที่มาเยี่ยมส่วนใหญ่จะเป็นขนมปังปอนด์ คาดว่าส่วนประกอบของอาวุธปืนและกระสุนคงจะ
ซุกซ่อนมากับขนมปัง โดยค่อยๆทยอยเข้ามาทีละชิ้นจนครบและพร้อมที่จะใช้งาน ซึ่งโดยปกติแล้ว น.ช.สนองเป็นคนที่ทำตัวเรียบร้อย เชื่อฟังคำสั่งของเจ้าพนักงานดี การตรวจสอบสิ่งของที่ญาตินำมาเยี่ยมจึงไม่ละเอียดมากนัก เป็นสาเหตุให้ส่วนประกอบปืนสามารถหลุดรอดเข้าไปในเรือนจำได้
เมื่อได้ส่วนประกอบปืนและกระสุนมาครบแล้ว น.ช.สนองได้นำไปซุกซ่อนไว้
เงียบๆ โดยยังไม่บอกใครว่ามีอาวุธปืนอยู่ในความครอบครองแล้ว จากนั้นได้เริ่มเกลี้ยกล่อมหาสมัครพรรคพวกให้ร่วมเสี่ยงแหกหักออกไปด้วยกัน เพราะถือว่าอยู่ไปก็ต้องตาย ถ้าหนีออกไปยังอาจรอด โดยได้ชักชวน น.ช.กังวาน วีระนนท์ เจ้าพ่อบางนกแขวก น.ช. (นายแพทย์) อธิป สุญาณเศรษฐกร ผู้บงการฆ่านางนวลฉวี และเพื่อนนักโทษประหารอีกหลายคน แต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงร่วมมือด้วยและไม่คิดว่า น.ช.สนองจะกล้าแหกหักจริง
จนกระทั่ง น.ช.สนองสามารถหาเพื่อนที่จะร่วมแหกหักออกไปได้ จากนั้นได้เดินเรื่องขอให้ย้ายเพื่อนร่วมทีมมาขังไว้ในห้องเดียวกันเพื่อสะดวกต่อการหลบหนี คงเหลือแต่ น.ช.วัชระเท่านั้นที่ไม่สามารถย้ายมาขังรวมห้องเดียวกันได้ จากนั้น น.ช.สนองและพวกได้ใช้ใบเลื่อยตัดเหล็กที่ลักลอบนำเข้ามาตัดโซ่ตรวนที่ขาซึ่งพันธนาการตนอยู่จนกระทั่งเกือบขาดแล้วใช้ผ้าพันปิดบังไว้ โดยกำหนดนัดแนะ
กันว่าจะเอาเย็นวันที่ ๕ สิงหาคมเป็นวันแหกหัก และได้มีการจัดเตรียมกุญแจผีไว้เรียบร้อย ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีใครทราบเรื่องหรือให้ความสนใจมาก่อน จนเมื่อถึงกำหนดเวลาที่ได้นัดกันไว้ ทั้งหมดจึงได้ใช้กำลังหักโซ่ตรวนที่ได้เลื่อยไว้ออกโดยง่าย แล้วจึงใช้กุญแจผีไขห้องขังแหกหักออกมาได้
จากการสอบสวนยังทราบอีกว่า น.ช.สนองมีแผนที่จะออกไปล้างแค้นเพื่อนบาง
คนที่คิดหักหลัง รวมทั้งเมียซึ่งไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังปันใจไปมีผัวใหม่อีก และยังจะต้องถูกประหารชีวิตค่อนข้างแน่นอน ทำให้จอมโจรเกิดความกลัดกลุ้มและหวังที่จะแหกหักออกไปล้างแค้นคนทั้งหมดให้ได้ แต่มาพลาดท่าถูกนายจำนงค์ยิงเสียชีวิตเสียก่อน การล้างแค้นจึงไม่สำเร็จ
ส่วนการให้ความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ คาดว่าอาจมีผู้คุมบางคนร่วมรู้เห็นเป็นใจ
ในการแหกหักครั้งนี้ โดยได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน เนื่องจากมีการย้ายนักโทษที่ก่อการมาขังไว้รวมกัน อีกทั้งขณะเกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ดูแลห้องขังตามหน้าที่ ซึ่งตามปกติแล้วจะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยสับเปลี่ยนกันดูแลตลอดเวลา เจ้าหน้าที่คนเก่าจะออกเวรได้ต่อเมื่อมีเจ้าหน้าที่คนใหม่มารับหน้าที่ต่อแล้วเท่านั้น
สำหรับนายทุ้ม แสงบัว ที่ถูก น.ช.สนองยิงเสียชีวิตในหน้าที่นั้น นายทุ้มทำหน้าที่
เป็นผู้คุมนักโทษแดน ๔ มีภรรยาชื่อนางพยงค์ แสงบัว มีลูกรวมทั้งสิ้น ๘ คน อยู่บ้านเลขที่ ๑๓ หมู่ ๓ ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ชีวิตโดยทั่วไปดำเนินไปอย่างราบรื่น ก่อนที่นายทุ้มจะเสียชีวิต ได้สั่งเสียกับนางพยงค์ก่อนออกจากบ้านว่า “พยงค์จ๋า ดูแลลูกให้ดีนะจ๊ะ พี่จะไปทำงานแล้ว ช่วยส่งลูกให้เข้าโรงเรียนให้ดีนะ” จากนั้นจึงออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ จนกระทั่งถูก
เสือร้ายยิงเสียชีวิต เป็นเหตุให้ลูกเมียต้องผจญชีวิตกันตามลำพัง ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์และกระทรวงมหาดไทยได้เสนอความดีความชอบให้เป็นกรณีพิเศษ พร้อมกับรับดูแลส่งเสียครอบครัวของนายทุ้มให้สมกับการเสียสละของนายทุ้ม อีกทั้งรับเป็นเจ้าภาพงานสวดพระอภิธรรมศพของนายทุ้มซึ่งตั้งสวดที่วัดทินกรนิมิตรตลอดงานอีกด้วย
วันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ พ.ต.ต.สถาพร วิมุตตานนท์ พร้อมด้วย ร.ต.ท.สุนทร
เพ็ญศศิธร ร.ต.ท.ศิริ สุขศิริ เข้าทำการสอบสวนภายในเรือนจำกลางบางขวาง พร้อมกับอายัดตัวผู้คุมจำนวน ๑๐ นายเป็นผู้ต้องหา เนื่องจากบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง สำหรับการติดตามล่าตัวนักโทษประหารทั้งสามคนยังคงไร้วี่แวว
วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ มีสายข่าวแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า น.ช.สำเนียง ได้รับการช่วยเหลือจากพรรคพวกที่จังหวัดสมุทรสาคร แต่เมื่อตำรวจยกกำลังไปถึง
มีข่าวว่า น.ช.สำเนียงได้นั่งเรือหนีออกทะเลไปก่อนหน้าเล็กน้อยแล้ว ซึ่งตำรวจได้พยายามสกัดจับทางทะเล แต่ไม่พบวี่แววแต่อย่างใด
วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ พล.ต.ท.ประชา บูรณะธนิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธร มีคำสั่งด่วนให้ตำรวจภูธรทุกจังหวัดช่วยกันสืบหาแบะแสและติดตามจับกุมตัวนักโทษประหารทั้ง ๓ คนให้ได้ พร้อมกับแจกจ่ายรูปถ่ายของนักโทษทั้งสามไป
ทั่วประเทศเพื่อสะดวกแก่การติดตามจับกุม
ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.ประจวบ กีระติบุตร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้สั่งการให้ตำรวจนครบาลเหนือ-ใต้ และธนบุรี ร่วมออกสืบสวนติดตามจับกุม
วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ นายสุวรรณ รื่นยศ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ มีคำสั่งให้พักงานเจ้าหน้าที่จำนวน ๓ นายคือ ๑.นายสุดใจ เฮงสมบูรณ์ ๒.นายลำพวน พร
ภักดี ๓.นายเปรื่อง แก้วเกษม พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนทางวินัย รวมทั้งถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมมือทำให้นักโทษหลบหนีที่คุมขัง ซึ่งทุกนายยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแหกคุกแต่อย่างใด
วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ พล.ต.ท.ประชา บูรณะธนิต มีคำสั่งให้ พ.ต.ต.พันธุ สุระมณี รองผู้กำกับการตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี ร.ต.ท.สุนทร เพ็ญศศิธร
พร้อมกำลังอีกส่วนหนึ่ง เดินทางขึ้นเหนือเพื่อสมทบกับกำลังส่วนใหญ่ เพื่อสกัดจับตัวนักโทษที่หลบหนีไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย
เวลา ๑๕.๐๐ น. ร.ต.ท.สิริ สุขศิริ ร.ต.ต.บรรจง สัทธรรม ได้นำตัวผู้คุมทั้งสามนายที่ถูกดำเนินคดีไปตรวจค้นที่บ้านพัก ปรากฏว่าพบเอกสารฉบับหนึ่งลงวันที่ ๑๘ ก.ค. ๐๔ มีคำสั่งให้ทำการโยกย้ายที่คุมขังนักโทษประหาร ๓ คนคือ น.ช.สนอง ยืนยง น.ช.เฉลิม กัปตันแดง น.ช.วัชระ ศรเพชร จึงยึดมาเพื่อประกอบในการ
ดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ นาย ซึ่งทุกนายได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา
วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ เวลา ๑๖.๐๐ น. ได้ทำการประชุมเพลิงศพนายทุ้มที่วัดทินกรนิมิตร โดยมีหลวงอรรถวิภาคไพศาล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุวรรณ รื่นยศ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายทองธัช สากิยลักษณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายบุญยฤทธิ์ นาคีนพคุณ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง นาย
สะอาด ปายะนันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยญาติมิตรและประชาชนกว่า ๓๐๐ คนเข้าร่วมทำการฌาปนกิจ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัวแสงบัวเป็นอย่างมาก โดยกรมราชทัณฑ์ได้จัดพิมพ์หนังสือชื่อ “วีรกรรมราชทัณฑ์อนุสรณ์” แจกจ่ายให้กับผู้ที่มาร่วมงาน ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติและคุณงามความดีของนายทุ้ม พร้อมกับได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวนายทุ้มจำนวนหนึ่ง
เวลา ๑๗.๐๐ น. เจ้าหน้าที่เรือนจำทั้งสามนายที่ถูกจับกุมได้รับการประกันตัวในวงเงินคนละ ๑ แสนบาท
วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ รถตำรวจชุดติดตามล่าตัวนักโทษประหารได้พลิกคว่ำที่จังหวัดลำพูน เป็นเหตุให้ ร.ต.ท.สุนทร เพ็ญศศิธร ได้รับบาดเจ็บขาเดาะต้องส่งตัวกลับมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ส่วน พ.ต.ต.พันธุ สุระมณี ได้รับบาดเจ็บฟันหน้าโยก แต่ยังคงอยู่ติดตามล่าตัวนักโทษต่อไปอย่างไม่ลดละ
วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๑๕๐๔ พ่อค้าไม้รายหนึ่งได้เข้าแจ้งตำรวจว่า พบชายท่าทางน่าสงสัย ๒ คนภายในป่าเขตจังหวัดบุรีรัมย์ ขณะที่กำลังคุมลูกน้องตัดไม้ซุง เมื่อพยายามมองสำรวจชายทั้งสองตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งรอยสักตามตัว เนื่องจากสงสัยว่าอาจเป็นนักโทษแหกคุกตามที่เป็นข่าว ชายทั้งสองได้แสดงอาการพิรุธรีบเผ่นหนีเข้าหุบเขาเขตติดต่อชายแดนเขมร จึงได้ให้ลูกน้องซึ่ง
ชำนาญพื้นที่สะกดรอยตามไปห่างๆ จนกระทั่งพลบค่ำจึงพบว่าทั้งสองเข้าไปอยู่กับกลุ่มโจรที่หุบเขาซ่อง ซึ่งเป็นชุมโจรของขุนโจรเขมร และเมื่อดูรูปถ่ายของนักโทษทั้งสามแล้ว พ่อค้าไม้ได้ยืนยันว่าหนึ่งในสองมีใบหน้าเหมือนกับ น.ช.เฉลิมเป็นอย่างมาก
วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๕ นายชูสง่า ไชยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ได้สืบทราบว่า น.ช.ยืนหรือบุญยืน แสงชมภู
นักโทษประหารที่แหกหักออกมาจากเรือนจำกลางบางขวางซึ่งทางการกำลังต้องการตัว ได้หนีมาหลบซ่อนตัวที่บ้านญาติคนหนึ่งในเขตบ้านเจดีย์เจ็ดยอด จังหวัดเชียงราย จึงได้ร่วมกันวางแผนเข้าปิดล้อมจับกุมตัว พร้อมกับส่งสายเข้าประกบตัวอย่างไม่ให้คลาดสายตา
วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๕ เวลา ๐๔.๐๐ น. กำลังเจ้าหน้าที่ประกอบด้วย นาย
ชูสง่า ไชยพันธ์ พ.ต.ต.จินไตย กมลาภิรมย์ พ.ต.ต.อมร กาญจนนันทะ พ.ต.ต.ศรีเดช ภูมิประหมัน ร.ต.อ.สมบูรณ์ มาลารัตน์ ร.ต.ต.ไชยวัฒน์ พุ่งจิตตน ร.ต.ต.เฉิดโฉม จันทเทวิน พร้อมด้วยกำลังตำรวจกว่า ๕๐ นาย เข้าทำการปิดล้อมบ้านนายมูล คำพา อาชีพขี่สามล้อรับจ้าง ซึ่งสายรายงานว่า น.ช.บุญยืนได้หลบซ่อนตัวอยู่บนบ้านหลังดังกล่าว
ร.ต.ต.เฉิดโฉม จันทเทวิน และส.ต.ต.ประสม โกสวิน ได้บุกจู่โจมขึ้นไปบนบ้านพบ น.ช.บุญยืนนอนกกเมียสาวอยู่จึงตลบมุ้งเข้าจับกุม เมื่อเสือร้ายรู้ตัวจึงฮึดสู้โดดเข้าแย่งปืน ร.ต.ต.เฉลิม พร้อมกับต่อยเข้าที่หน้าผู้หมวดหนุ่มจนล้มลง ส.ต.ต.ประสมเห็นดังนั้นจึงใช้พานท้ายปืนหวดเข้าที่ศีรษะ น.ช.บุญยืนจนแตกเลือดโชก น.ช.บุญยืนเมื่อรู้ว่าจวนตัวจึงได้กระโดดลงจากบนบ้านวิ่งหลบหนี แต่
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รายล้อมอยู่ได้ไล่ติดตามพร้อมกับยิงปืนขู่หลายนัด เสือร้ายจึงยอมจำนน
จากนั้นได้เข้าทำการควบคุมตัวไว้อย่างแน่นหนา ทำการตรวจค้นตัวและบนบ้านพักอย่างละเอียด พบอาวุธปืน ๑ กระบอกพร้อมกระสุน ๕ นัด ซุกซ่อนอยู่ใต้หมอนที่ น.ช.บุญยืนนอนอยู่กับเมียสาว แต่ไม่มีโอกาสหยิบใช้ได้ทัน
เวลา ๑๗.๓๐ น. เครื่องบินบริษัทเดินอากาศไทยได้ล่อนลงยังสนามบินดอนเมือง ผู้โดยสารคนสุดท้ายที่ก้าวลงจากเครื่องคือ น.ช.บุญยืน แสงชมภู ซึ่งที่ขาถูกล่ามโซ่ตรวนขนาด ๖ หุน ภายใต้การควบคุมของ พ.ต.ต.ศรีเดช ภูมิประหมัน จากนั้นได้มอบตัว น.ช.บุญยืนส่งให้ พ.ต.ท.พันธ์ สุระมณี รองผู้กำกับการตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี ท่ามกลางกำลังตำรวจคุ้มกันจำนวน ๒ คันรถ นำตัวไปทำการ
สอบสวนที่สภ.อ.เมืองนนทบุรีในทันที
วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๕ เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางบางขวางพร้อมอาวุธครบมือ เดินทางไปรับตัว น.ช.บุญยืนที่ สภ.อ.เมืองนนทบุรีตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นได้ควบคุมตัวอย่างหนาแน่นนำกลับเข้าสู่เรือนจำ ซึ่ง น.ช.บุญยืนเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงเนื่องจากรู้ชะตากรรมในภายภาคหน้าของตัวเองดี จากนั้นได้นำตัวเข้า
คุมขังยังตึกแดง (ห้องมืด) แดน ๑ ในทันที
วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๕ ขณะที่ ร.อ.วสันต์ เกลี้ยงสอาด นายทหารประจำค่ายกาวิละ กำลังตรวจตราอยู่ที่สถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่ พบชายต้องสงสัยแต่งเครื่องแบบสารวัตรทหารบกยศสิบเอกและมีปืนพกคาดที่เอว โดยคาดว่าน่าจะเป็นทหารปลอมซึ่งมากับหญิงสาวคนหนึ่ง จึงสั่งการให้ ส.อ.ธีระเดช ดาราอินทร์ และ ส.อ.ประพันธ์ พูลสวัสดิ์ สารวัตรทหารค่ายกาวิละเข้าทำการตรวจสอบ
เมื่อเข้าไปถึงตัวชายคนดังกล่าวแล้ว ชายคนดังกล่าวได้ยอมรับว่าเป็นทหารปลอมโดยใช้ชื่อว่า “ส.อ.โกศล ทรัพย์สินธุ์” พร้อมกับชวน ส.อ.ธีระเดช ไปตกลงในที่ลับตาคน โดยเสนอเงินสินบนให้จำนวน ๒๐๐ บาท แต่ ส.อ.ธีระเดช ไม่ยอมรับเงิน พร้อมกับสังเกตเห็นว่าปืนขนาด ๑๑ ม.ม.ที่เอวของชายคนดังกล่าวได้ขึ้นลำไว้พร้อมที่จะใช้งานโดยเข้าห้ามไกไว้ จึงตะปบแย่งปืนจากเอวชายคนดัง
กล่าวมาได้อย่างทันท่วงที พร้อมกับจับกุมตัวมาสอบสวน
จากการสอบสวนและตรวจสอบประวัติของชายคนดังกล่าว ปรากฏว่าคือ น.ช.สำเนียง ต้นแขม นักโทษประหารที่แหกหักคุกบางขวางซึ่งเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก หลังจากที่จับกุมตัว น.ช.บุญยืน แสงชมภู มาได้ก่อนหน้าแล้ว
น.ช.สำเนียง ให้การรับสารภาพว่า หลังจากที่ทั้ง ๓ เสือแหกหักคุกบางขวางออกมาได้สำเร็จแล้ว ได้เดินทางไปที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี จากนั้นจึงได้
แยกย้ายกันหลบหนี โดยที่ตนยังคงวนเวียนหาเงินอยู่ที่จังหวัดลพบุรีระยะหนึ่ง
หลังจากมีทุนติดตัวบางแล้ว ได้หนีข้ามไปอยู่ที่เวียงจันทร์ ประเทศลาว โดยทำงานเป็นช่างตัดผมอยู่ในค่ายทหารจินายโม้ โดยเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า “บุญส่ง มีดี” แต่อยู่ได้ไม่นานต้องหนีข้ามกลับมาฝั่งไทย เนื่องจากไปปล้นฆ่าคนลาว จนทางการลาวได้ตั้งรางวัลนำจับค่าหัวเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ กีบ (หนึ่งแสนกีบถ้วน)
จากนั้นได้หนีข้ามอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปรับจ้างเป็นกองโจรทหารต่างด้าว และได้เกิดการปะทะกับฝ่ายตรงข้ามจนถูกยิงเกือบตาย จึงต้องวกกลับเข้าเชียงใหม่ จากนั้นก็ได้ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ทางภาคเหนือมาโดยตลอด โดยยังคงใช้ชื่อว่า บุญส่ง มีดี
จนกระทั่งไปตัดเครื่องแบบทหารแต่งยศสิบเอกสังกัดกองร้อยสารวัตรทหาร
กองพลที่ ๒ กรุงเทพฯ โดยไม่ทราบว่ากองพลที่ ๒ ได้ถูกยุบไปนานแล้ว โดยเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า ส.อ.โกศล ทรัพย์สินธุ์ และได้แต่งเครื่องแบบดังกล่าวพกปืนซึ่งขึ้นลำพร้อมใช้งานไว้ตลอดเวลาตระเวนไปทั่วภาคเหนือ
ขณะที่แต่งเครื่องแบบปลอมไปเที่ยวที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้เกิดรู้จักชอบพอกับ น.ส.สมคิด ดาราสาวประจำรำวง ซึ่ง น.ส.สมคิดหลงเชื่อสนิทว่าตนเป็นทหารจริง
จึงตกลงปลงใจร่วมหัวจมท้ายยอมแต่งงานด้วย และเพิ่งแต่งงานกันมาได้ประมาณ ๒๐ วัน
จากนั้นได้พากันมาฮันนีมูนที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเข้าพักที่โรงแรมโชคชัย เสร็จแล้วได้พาเมียสาวออกเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และพากันขึ้นดอยสุเทพเพื่อนมัสการพระธาตุพร้อมกับถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก แล้วจึงเตรียมเดินทางกลับจังหวัดอุตรดิตถ์
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่เพื่อจองตั๋ว ปรากฏว่ามีสารวัตรทหารเข้ามาตรวจสอบตนเนื่องจากสงสัยว่าจะเป็นทหารปลอม ตนจึงยอมรับไปว่าเป็นทหารปลอม และเตรียมที่จะหลอกสารวัตรทหารทั้งสองให้ไปในที่ลับตาคนเพื่อรับเงินสินบน โดยตั้งใจที่จะยิงสารวัตรทหารทั้งหมดทิ้งขณะที่กำลังรับเงินจากตน แต่ปรากฏว่าได้เกิดการไหวตัวพร้อมกับถูกแย่งปืนจากเอวไปเสียก่อน จึงถูกจับกุมตัวและถูก
ตรวจสอบจนรู้ว่าเป็นนักโทษประหารที่แหกหักคุกออกมาจากเรือนจำกลางบางขวาง
นอกจากนั้นยังได้ให้การยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่บางขวางคนใดร่วมรู้เห็นเป็นใจในการแหกคุกครั้งนี้ เมื่อ น.ช.สนองมาชวนให้ร่วมแหกคุก ตนรู้ตัวว่ายังไงก็จะต้องถูกยิงเป้าอย่างแน่นอน จึงตอบตกลงร่วมด้วยในทันที เพราะคิดว่าอยู่ก็ตาย ถ้าหนี
ไปได้อาจจะรอด แต่ถ้าไม่รอดก็แค่ตาย ถือเสียว่าเสมอตัว
วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๕ เวลา ๑๗.๓๐ น. เครื่องบินของบริษัทเดินอากาศไทยได้นำ น.ช.สำเนียงล่อนลงยังสนามบินดอนเมือง ภายใต้การควบคุมอย่างแข็งแรงของ พ.ต.ต.ยุทธ สินสืบผล ผู้บังคับการตำรวจกองเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ร.ต.ต.สมบูรณ์ สายพรหมมา และพลฯทิม อินทรประชา
ทันทีที่ น.ช.สำเนียงก้าวลงจากเครื่องบินถึงพื้น เจ้าหน้าที่จากเรือนจำกลางบางขวางพร้อมด้วยอาวุธครบมือ ได้เข้ารับตัว น.ช.สำเนียงต่อจากตำรวจท่ามกลางสายตาผู้โดยสารชาวไทยและต่างประเทศ จากนั้นได้นำตัวขึ้นรถของเรือนจำ ล็อกกุญแจอย่างแน่นหนานำตัวเดินทางออกจากสนามบินในทันที ซึ่ง น.ช.สำเนียงพยายามมองหาเมียและญาติพี่น้อง เมื่อไม่พบจึงดึงบุหรี่ออกจาก
ปากขว้างทิ้งพร้อมกับถอนหายใจอย่างแรง นั่งก้มหน้าน้ำตาไหล
เมื่อรถของเรือนจำวิ่งมาถึงหน้าเรือนจำกลางบางขวาง น.ช.สำเนียงซึ่งนั่งน้ำตาไหลพรากนึกปลงตกในชีวิต เนื่องจากรู้ตัวว่าจะต้องกลับมาถูกประหารชีวิตในเรือนจำแห่งนี้อย่างแน่นอน โอกาสที่จะแหกหักออกไปอีกนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้ลุกขึ้นเพื่อเดินลงจากรถ น.ช.สำเนียงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่
น้อยที่จะลุกขึ้นได้ เจ้าหน้าที่ต้องเข้าประคองปีกทั้งสองข้างนำตัวลงจากรถพาเข้าสู่เรือนจำ แล้วนำตัวเข้าขังในตึกแดงแดน ๑ (ห้องมืด) ในทันที ตามหลัง น.ช.บุญยืนที่ถูกจับมาได้ก่อนหน้านี้
วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๕ มีคำสั่งให้ดำเนินการประหารชีวิต น.ช.สำเนียง ต้นแขม เนื่องจากเป็นนักโทษเด็ดขาดที่ศาลฎีกามีคำตัดสินให้ประหารชีวิตแล้ว
และหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษไม่ผ่านการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทย และได้ดำเนินการประหารชีวิตไปเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ เวลา ๐๑.๒๔ น.
วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๖ มีคำสั่งให้ทำการประหารชีวิต น.ช.ยืน, บุญยืน แสงชมภู และได้ดำเนินการประหารชีวิตไปเมื่อเวลา ๑๘.๑๕ น.ในวันเดียวกัน จบชีวิต
เสือร้ายไปเป็นรายที่สอง
สำหรับ น.ช.เฉลิม กัปตันแดง ได้หายสาปสูญไปจนกระทั่งทุกวันนี้ นับเป็นนักโทษประหารคนแรกและคนเดียวเท่านั้น ที่แหกหักเรือนจำกลางบางขวางออกไปได้ และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามจับกุมตัวกลับมาลงโทษได้สำเร็จ ปัจจุบันคาดว่าน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
ขอขอบคุณ : แฟนคลับยุทธบางขวาง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย