23 มิ.ย. 2022 เวลา 11:48 • ประวัติศาสตร์
วลีเหยียดเชื้อชาติที่ฟังแล้วงงถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์
หมายเหตุ บทความนี้ ตัดและเรียบเรียงใหม่มาจากเนื้อหาในหนังสือ ทำไมเราเลี้ยง pig แต่กิน pork ซึ่งผมเป็นคนเขียนเอง
ในภาษาอังกฤษจะมีวลีหรือคำหลายคำที่ฟังแล้ว
อาจจะงงว่าแปลว่าอย่างนี้ได้ยังไง ?
ตัวอย่างเช่น คำว่า
Dutch courage หรือกล้าหาญแบบดัตช์ หมายถึง กล้าหาญปลอมๆ จะกล้าได้ก็ต่อเมื่อกินเหล้าก่อน
3
Dutch wife ไม่ได้แปลว่า มีเมียเป็นชาวดัชต์ แต่จะหมายถึง โสเภณี
ถ้าใครบอกคุณว่าจะเลี้ยงข้าวสไตล์ดัตช์ หรือ Dutch treat หรือ going Dutch ก็ให้ระวังไว้ เพราะมันมีหมายความว่า ต่างคนต่างจ่ายส่วนของตัวเอง
3
คำถามคือ ทำไมคำหรือวลีเหล่านี้จึงมีความหมายเช่นนั้น ?
คำตอบมันมีที่มาจากความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ระหว่าง อังกฤษและดัชต์ครับ
เนื่องจากในบทความก่อนหน้า ผมเขียนเกี่ยวกับบริษัท EIC ของอังกฤษและ VOC ของดัชต์ ซึ่งสงครามการค้าระหว่างสองบริษัทนี้สุดท้ายนำไปสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่า การสังหารหมู่บนเกาะแอมบอยนา (Amboyna massacre) และความเกลียดชังกันระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
1
เลยอยากจะนำผลกระทบที่หลงเหลืออยู่ในภาษา และสิ่งที่เรียกว่า racial slur มาเล่าให้ฟังบ้าง
เคยได้ยินคำว่า racial slur ไหมครับ?
คำว่า racial slur มาจากคำว่า race + slur
คำว่า race ที่แปลว่า เชื้อชาติ คำนี้ตรงไปตรงมาไม่ต้องอธิบายอะไรมาก
คำที่น่าสนใจกว่าคือคำว่า slur (เสลอร์) เพราะเป็นคำที่มีความหมายกว้าง จะแปลว่าอะไรขึ้นกับบริบทที่ใช้ เช่น
2
ในทางดนตรี slur หมายถึง การเล่นให้เสียงโน้ตควบรวมไปด้วยกัน (เล่นสองโน้ตที่ติดกันเร็วๆ ให้เสียงฟังดูเชื่อมกัน)
1
ถ้าในทางการแพทย์จะมีคำว่า slur speech จะหมายถึง การพูดไม่ชัด แต่ละคำจะกลืนๆ กันไป ทำนองว่าลิ้นแข็งอะไรประมาณนั้น ซึ่งอาจจะเกิดจากภาวะอะไรก็ได้ที่ทำให้กล้ามเนื้อลิ้นทำงานได้ไม่ดี ส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยกันมักจะมาจากการบาดเจ็บของสมอง เช่น เส้นเลือดในสมองตีบตัน เป็นต้น คนที่เมามากๆ (สมองโดนกดการทำงาน) ก็พูด slur speech ได้เหมือนกัน
1
คำว่า slur ใน racial slur หมายถึง การดูถูก หรือเหยียดเชื้อชาติ ที่มาของความหมายนี้เกิดจากกริยาของคำนี้ครับ คือ เสียงโน้ตหรือคำพูดจะเสลอร์ได้ ก็ต้องเกิดจากการบดขยี้เสียงนั้นเข้าด้วยกัน คำว่า slur จึงมีความหมายไปในทาง บด ขยี้ บี้ให้เละ เมื่อนำมาใช้กับคำว่า race ที่แปลว่า เชื้อชาติ จึงเหมือนการกดศักดิ์ศรี กดเชื้อชาติของเขาให้ต่ำลง บี้ความเป็นคนของเขาให้เละ อะไรทำนองนี้
1
แล้วด้วยความที่มนุษย์เรามีสัญชาตญานที่จะคอยแบ่งกลุ่ม แบ่งพรรคแบ่งพวก เท่านั้นไม่พอ เมื่อแบ่งพวกแล้วก็มีแนวโน้มจะดูถูกคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเรา
เราจึงเห็นวิธีคิดแบบนี้สะท้อนออกมาในภาษาพูดที่เราใช้ เช่น เราเรียกคนเชื้อสายจีนว่า เจ๊ก หรือคนอีสานว่า เสี่ยว ซึ่งมีความหมายในทางลบ หรือดูถูก
1
บางครั้งเรายังนำชื่อของประเทศเพื่อนบ้านมาดูถูกคนไทยด้วยกัน เช่น เราเคยเรียกคนอื่นว่าลาวเพื่อจะหาว่าเขารสนิยมไม่ดี 
แต่พฤติรรมเช่นนี้ไม่ได้มีแต่คนไทยที่ทำกัน แต่คำศัพท์ทำนองนี้พบได้มากมายหลายแห่งในโลก ตัวอย่าง เช่น
คนอังกฤษบอกว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศของคนขี้คุก เพราะในอดีตอังกฤษส่งนักโทษไปปล่อยไว้ที่ออสเตรเลีย คนออสเตรเลียจึงแก้เผ็ดด้วยการเรียกคนอังกฤษว่า Pohm ซึ่งมาจากคำว่า Prisoner of Her Majesty หรือทาสของราชินี
3
คนอังกฤษมีคำเรียกคนอเมริกันโดยเฉพาะคนอเมริกันผิวขาวว่า Yankee ซึ่งมีความหมายออกไปในทำนองว่า บ้านนอก โผงผางเสียงดัง ไม่เป็นผู้ดี (แต่ในเวลาต่อมาคนอเมริกันก็นำคำดูถูกนี้มาเรียกตัวเองบ้าง ทำนองว่าพวกเราเป็นแยงกี้ ที่ภูมิใจในความเป็นคนบ้านนอกของเราแบบนี้)
3
คนอังกฤษเรียกคนไอริชแบบดูถูกว่า paddy คำนี้น่าจะมีที่มาจากชื่อ St. Patrick ซึ่งเป็นนักบุญที่นำศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแพร่ในไอร์แลนด์ ทำให้เด็กชายชาวไอร์แลนด์จำนวนมากมีชื่อนี้ การเรียกว่า paddy จะอารมณ์ทำนองว่าเจอคนเกาหลีใต้แล้วเหมารวมเรียกเขาว่า คิม หรือไปเมืองนอกแล้วคนผิวเขาทุกคนเหมาเรียกคนเอเชียทั้งหมดว่า Chinese
2
อเมริกาเป็นประเทศที่พลเมืองของเขามีบรรพบุรุษมาจากร้อยพ่อพันแม่ทั่วโลก ชาวอเมริกันจึงภูมิใจกับความเป็นประเทศผู้อพยพของเขากันมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อคนที่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมต่างกันมากๆ มาอยู่ร่วมกันก็มีบ้างที่จะไม่เข้าใจและไม่พอใจวัฒนธรรมของคนอื่น ประเทศอเมริกาจึงมีความเหยียดผิวแอบซ่อนไว้อยู่ไม่น้อย เช่น
คนอเมริกันผิวขาวบางคนจะเรียกชาวแมกซิกันรวมไปถึงคนเชื้อสายลาตินอเมริกาแนวเหยียดๆ ว่า เป็นพวก Beaner (บีนเนอร์) ที่แปลว่า ถั่ว หรือพวกชอบกินถั่ว เพราะถั่วหรือ bean เป็นอาหารหลักของชาวลาตินอเมริกา
1
ในอดีตถ้าคนขาวมีลูกกับคนผิวดำ ลูกที่เกิดมาอาจจะถูกเรียกอย่างดูถูกว่า บราวนี่
แต่ถ้าคนผิวสี เช่น คนดำหรือคนลาตินอเมริกาพยายามทำตัวเลียนแบบคนขาวมากเกินไป ก็อาจจะโดนคนอื่นถากถางว่า coconut คือข้างนอกสีน้ำตาลแต่ข้างในแอ๊บขาว
3
ส่วนคนพื้นเมืองอเมริกันหรืออินเดียนแดงที่พยายามทำตัวเป็นคนขาวอาจจะถูกล้อเลียนว่าเป็น apple คือข้างนอกสีแดงแต่พยายามจะขาวข้างใน
2
คนอังกฤษและคนอเมริกันรวมหัวกันเรียกคนเยอรมันแนวดูถูกว่า Kraut (ที่แปลว่า กะหล่ำปลี ประมาณว่าไอ้พวกเยอรมันหัวกะหล่ำ) เพราะคนเยอรมันชอบกินกะหล่ำดอง (sauerkraut) อารมณ์ประมาณเดียวกับที่คนยุโรปเรียกคนเกาหลีใต้ว่าพวก กิมจิ
3
ถ้าคนอเมริกันเรียกคุณว่าหน้าแพนเค้กนี่ไม่ถือว่าเป็นคำชมนะครับ เขาไม่ได้บอกว่าคุณหน้าหวานหรือสวยเหมือนดาราที่ชื่อแพนเค้ก แต่หมายถึงคุณเป็นพวกหน้าแบน จมูกไม่มีดั้ง ซึ่งก็คือคำดูถูกชาวเอเชียทั้งหลาย
2
คำหลายคำเป็นชื่อเรียกประเทศหรือเชื้อชาติธรรมดาๆ แต่ความหมายออกไปในทางเหยียด เช่น คนอเมริกันเรียกคนญี่ปุ่นแนวรังเกียจว่า Jap แม้ว่าคำนี้จะเป็นชื่อย่อของชื่อประเทศ แต่การย่อเช่นนี้ทำให้ความหมายออกไปในทางลบ เช่นเดียวกันคำว่า polack แม้จะฟังดูเหมือนเป็นชื่อเล่นของประเทศโปแลนด์ แต่การใช้คำนี้เรียกคนที่มีเชื้อสายโปแลนด์ในอเมริกาจะฟังดูเหมือนดูถูกเขา
2
(แต่คำนี้ในประเทศทางสวีเดน หรือนอร์เวย์ จะมีความหมายกลางๆ ไม่ถือว่าเป็นคำดูถูก)
ขณะเดียวกันก็มีบางคำที่ความแรงของการดูถูกลดลงมาก หลายคำแม้ว่าจะยังใช้ในปัจจุบันแต่คนใช้และคนโดนดูถูกจะรู้สึกชินและขำๆ เพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว หรืออาจจะเพราะไม่รู้ที่มาหรือเข้าใจความหมายที่แท้จริง ตัวอย่างคำที่เราคุยกันไปในตอนต้นอย่างเช่น
Dutch courage หรือกล้าหาญแบบดัตช์ หมายถึง กล้าหาญปลอมๆ จะกล้าได้ก็ต่อเมื่อกินเหล้าก่อน
Dutch wife จะหมายถึง โสเภณี
ถ้าเลี้ยงข้าวแบบดัตช์หรือ Dutch treat หมายความว่า ต่างคนต่างจ่าย
1
ศัตรูคู่แค้นหลักที่รบกันมาตลอดของอังกฤษอย่างฝรั่งเศสก็โดน เช่น
ในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า French leave ซึ่งจะหมายถึง การไม่มาทำงานโดยไม่บอกล่วงหน้า หรือกลับบ้านไปเฉยๆ โดยไม่ร่ำไม่ลาเจ้าภาพ
คำว่า French letter ไม่ได้หมายถึง จดหมายแบบฝรั่งเศส แต่จะหมายถึง ถุงยาง เพราะในอดีตถุงยางทำมาจากเนื้อเยื่อของสัตว์ตากแห้งทำให้ดูคล้ายกระดาษยับๆ ส่วนที่มีคำว่า French คือจะด่าว่าคนฝรั่งเศสสำส่อน
2
ไม่ใช่แค่ประเทศมหาอำนาจที่เป็นคู่สงครามแต่ ประเทศที่โดนอังกฤษรุกรานก็โดนไปด้วย เช่น
1
ถ้าไปเที่ยวอังกฤษทุกวันนี้อาจจะได้เห็นรายการอาหารหนึ่งในเมนูเขียนไว้ว่า Welsh rarebit คำว่า rarebit มาจากคำว่า rabbit แต่ถ้าเราสั่งอาหารนี้อย่าหวังว่าจะได้กินเนื้อกระต่ายนะครับ เพราะเราจะได้แค่ขนมปังหน้าชีสอบเท่านั้น ความหมายของมันคือ ถ้าชาวเวลส์บอกว่าจะให้กินกระต่ายเราก็คงจะได้กินแค่ขนมปังกับชีส
ถ้าคนอังกฤษพูดว่า หวีผมด้วย welsh comb ก็ไม่ได้แปลว่าหวีจะมาจากเวลส์นะครับ แต่เขาหมายถึง ใช้มือสางผม เพราะชาวอังกฤษโบราณดูถูกคนเวลส์ว่าป่าเถื่อน หัวกระเซอะกระเซิงไม่รู้จักใช้หวี
2
ถ้าคนอังกฤษบอกจะให้ welsh diamond หรือ welsh pearl กับคุณ ก็เป็นที่รู้นะครับว่าเขาหมายถึงว่าจะให้อัญมณีปลอมหรือของเกรดต่ำกับคุณ
1
คำแนวดูถูกกันนี้ยังลามไปถึงชื่อของโรคอีกด้วย เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ปัจจุบันเราเรียกกันว่า โรคซิฟิลิส คนอิตาลีและคนเยอรมันเคยเรียกโรคนี้ว่า โรคฝรั่งเศส (French disease)
1
ส่วนคนฝรั่งเศสเรียกโรคนี้ว่า โรคอิตาลีหรือโรคเนเปิลส์
คนดัชต์เคยเรียกโรคซิฟิลิสว่า โรคสเปน
คนรัสเซียเรียกโรคนี้ว่าโรคโปแลนด์
ส่วนชาวเติร์ก (ตุรกี) เด็ดสุดเพราะกวาดรวมหลายประเทศโดยเรียกโรคนี้ว่า โรคของชาวคริสเตียน
ชาวเกาะตาฮิติเรียกซิฟิสิลว่า โรคบริติช
คนอินเดียเรียกว่า โรคโปรตุเกส
ส่วนคนญี่ปุ่นเรียกโรคซิฟิลิสด้วยความหมายที่แปลว่า หัดจีน
1
โดยสรุปจะเห็นว่าในอดีตชาวยุโรปมีคำพูดทำนองดูถูกกันไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ
แม้ว่าทุกวันนี้ทัศนคติระหว่างกันจะดีขึ้นมาก แต่วลีหรือคำโบราณที่สะท้อนความไม่ชอบกันก็ยังแฝงตัวเสมือนเป็นวัตถุโบราณอยู่ในภาษา
ทุกวันนี้หลายครั้งคนยุโรปเองเขาก็ฟังกันขำๆ
เพราะแม้จะโดนชาติอื่นดูถูกแต่ทุกคนก็รู้ว่าตัวเองก็เคยดูถูกหรือแอบด่าคนอื่นไว้ไม่น้อยเช่นกัน .....
ถ้าชอบเรื่องราวแบบนี้ หรือสงสัยเกี่ยวกับที่มาที่ไปของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ อยากรู้รากศัพท์ของคำต่างๆ แนะนำหนังสือ 2 เล่มนี้ของคุณหมอเอ้วเลยค่ะ
📖 ทำไมแฮมเบอร์เกอร์จึงไม่มีแฮม 🍔
📖 ทำไมเราเลี้ยง pig แต่กิน pork 🐷
กดสั่งซื้อแบบแพ็กคู่ได้เลย ที่
👉 Line My Shop : https://bit.ly/3b77FL5
สั่งซื้อตอนนี้มีโปรโมชันลดราคาอยู่ด้วยนะคะ
โฆษณา