24 มิ.ย. 2022 เวลา 06:45 • นิยาย เรื่องสั้น
ลุงแอ๊ด ถาวรมาศ
243 โดน เข้ากับตัวเอง (ตอนที่ 243)
....และแล้ว ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง ซึ่งลุงกับพรรคพวก กำลังเรียนวิชาที่แกสอนอยู่ เป็นวิชาเกี่ยวกับการทำ Presentation ซึ่ง สมมุติเป็นเหตุการณ์ ว่า พวกเราได้เข้าไปศึกษางานในบริษัทแห่งหนึ่ง และได้ข้อมูลมา เพื่อนำเสนอแก่กรรมการผู้จัดการ ของลูกค้าให้ยอมรับ เพื่อจะได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับแผนการตลาด
.
....การเตรียมการในเรื่องนี้ ไม่ยาก เพราะเป็นงานที่ลุงได้ทำมาตลอดชีวิตที่ต้องขายระบบเครื่องบวกเลข ยันระบบคอมพิวเตอร์ เคยทำ Present มาแล้ว ทั้งหัวหน้าหน่วยงาน กรรมการผู้จัดการ รัฐมนตรีที่ดูแลกำกับกระทรวงนั้นๆ
.
....พวกเรา แบ่งออกเป็นสองทีม ครึ่งๆ แยกกันไปศึกษาข้อมูลการจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ของแต่ละบริษัทที่มอบหมายให้ ช่วยกันแบ่งหน้าที่ ทำ Power Point แบ่งหน้าที่กันพูด
.
โดย ลุงจะเป็นผู้เปิดรายการ ในฐานะที่เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทที่นำเสนอ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็แบ่งให้ลูกทีมนำเสนอทางด้านรายละเอียดของแผนงาน
.
....ทีมแรกผ่านไปดี ปรากฏว่า เพราะความเป็นเด็กใหม่ และไม่เคยทำ Presentation มาก่อน ก็มีอาการสั่น และอ่านตามโพยที่จดมา ก็เลยไม่เป็นที่สบอารมณ์ของท่าน ดร. เท่าไหร่นัก
....ที่นี้ ถึงตาของลุง ลุงซึ่งอยู่ชุดสูทสีน้ำเงินทั้งชุด สมมุติตัวเองว่า เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท A.T. Profession Co., Ltd ซึ่งเป็นบริษัทติดอันดับสามของบริษัทวางแผนการตลาดในเมืองไทย
ลุงลุกออกไปหน้าห้อง ส่วน ดร. ตอนแรก แกยืนอยู่หน้าห้องดีๆ แกก็กลับไปนั่งในที่ ที่พวกเรานั่ง พลางเปิดกระเป๋า หยิบโน้ตบุ๊ก ขึ้นมาเปิด และกดหาข้อมูลอะไรอยู่....โดยไม่เห็นมามอง แม้กระทั่ง ตอนที่ลุงกล่าวแนะนำตัวเอง
.
....ลุงหยุดกึก เพราะเห็นแกยังไม่พร้อม และในฐานะที่เราเป็นกรรมการผู้จัดการ ซึ่งมีศักดิ์ศรี เท่ากับลูกค้า ซึ่งก็เป็นกรรมการผู้จัดการเหมือนกัน ซึ่งตามหลักของการทำ Presentation เขาห้ามพูด จนกว่าลูกค้าจะพร้อม และหันมาให้ความสนใจกับคำพูดของเรา ...
.
อันนี้ อาจารย์ไม่ได้สอน แต่จากประสบการณ์สอนเรา ลุงก็เลยยืนยิ้มน้อยๆ มองดูแกค้นหาข้อมูลให้เสร็จเสียก่อน
.
“...พูดต่อไปซี รออะไรอยู่เล่า” เสียงเตือนมาจากปากของแก โดยไม่หันมามองหน้าลุง
.
....เอาละซี ลุงโดนลองดีเข้าให้แล้ว ลุงยิ้มเจื่อนๆ นิดหน่อย และพูดขึ้นมาว่า....
.
“...ผมรอให้คุณหาข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนครับ จึงจะบรรยายต่อ....”
.
.....ลุงพูดแค่นี้เอง ไม่รู้ว่า คำพูดคำไหน ไปกระตุกต่อมประสาทอมหิตของแก คงคำว่า “คุณ” เพราะลุงถือว่า แกเป็นลูกค้า
.....”คุณเคินอะไรกัน หากไม่อยากพูดก็ให้ออกไป ไป๊ ...” แกเน้นคำว่า “ไป” เสียงดังลั่น พร้อมหันหน้าอันแดงก่ำมาที่ลุง
.
ลุงมองหน้าของแกแล้ว ก็รู้ว่า แกโกรธ แต่ก็เมื่อได้ยินเสียงไล่อย่างนั้น วิญญาณของกรรมการผู้จัดการที่ใหญ่เป็นอันดับสามก็เข้าสิง.....
.
ลุงก็มี “วิญญาณ” บ้าเหมือนกัน ในเมื่อลูกค้าไม่ให้เกียรติเรา เราจะไปนำเสนอหาหอกอะไรกัน แล้วลุงก็เอ่ยขึ้นมาว่า
....”ก็ได้ ครับ....”
....ลุงก็ทำท่าเดินออกจากห้อง หันไปมองลูกน้อง พลางพยักหน้าด้วยความขุ่นใจ ให้ตามออกไป
.
....แต่ก่อนที่ลุงจะขยับตัวออกจากห้อง เสียง “วิญญาณ” ประจำตัว ก็มากระซิบอีกแล้ว
....”อมร ใจเย็นๆ ซิ .... นี่เป็นการเล่นละครเท่านั้น ถ้าคุณเดินออกจริงๆ ก็เท่ากับคุณเปิดฉากรบกับแกเท่านั้น และขอเตือนว่า คุณจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ เพราะแกเป็นหัวหน้าภาคที่คุณศึกษาอยู่ คุณอาจจะไม่จบจากมหาวิทยาลัยนี้ก็ได้ ตราบใดที่คุณทำตัวเป็นปรปักษ์กับแก.....”
.
เอาไงดีวะ.....ลุงขอว่า ต้องต่อเป็นพรุ่งนี้ได้ไหมครับ
.
244 ลุงก็มี “วิญญาณ” เหมือนกัน (ตอนที่ 244)
....จากเสียงเตือน มันแว่วมาจากวิญญาณอะไรก็ไม่รู้ที่มันสิงอยู่ในตัวของลุง ทำให้ลุงชะงัก อยู่กับที่ พลาง ยืนมองอาจารย์ ดร. สุดที่รัก อยู่อย่างเฉยเมย
.
สูดหายใจเข้าปอดแรงๆ อารมณ์ที่พุ่งพรวดพราดเมื่อตะกี้ ก็ค่อยผ่อนหลายลง หลังจากที่ แกตะคอกใส่ลุงแล้ว ดร. แกก็ก้มหน้าก้มตา หาข้อมูลของแกต่อไป
.
....ลุงกลั้นใจ Present งานของลุงไปตามหน้าที่ กล่าวแนะนำที่ผู้ไปด้วยว่าเป็นเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในการตลาดมานับสิบปี จะมาบรรยายให้ท่านฟังในรายละเอียดต่อไป
.
แล้วลุงก็กลับมาที่นั่งของลุง นั่งฟังจนจบ แกก็วิจารณ์ว่า เตรียมตัวกันมาดี บรรยายได้ดี โดยไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์เฉียดมรณะที่เกิดขึ้นเมื่อตะกี้
.
....เย็นนั้น ลุงกลับมาบ้านด้วยอารมณ์ดูจะไม่ค่อยดีนัก ความขุ่นใจ ยังคงค้างอยู่ในหัวใจและอารมณ์ ทำไม...อาจจะเป็นเพราะลุงเคยโดน ลูกค้าจอมเผด็จการไล่ออกจากห้องมาแล้ว เพราะไปสายกว่าเวลานัดเพียง 2 นาที และเหตุการณ์นั้น ก็เกิดซ้ำขึ้นอีก
.
....แต่ยิ่งคิด แทนที่จะสงบสติอารมณ์ลง ลุงกลับเพ้อเจ้อ คิดไปอย่างอื่น เรามาเรียนทำไววะ เราต้องการวิชาความรู้ไม่ใช่หรือ มันคงไม่ใช่แต่วิชาความรู้เพียงอย่างเดียว ลุงต้องการ “เป็นเด็กโง่ อายุ 64 ที่ต้องการมาอยู่ท่ามกลางบัณฑิต” ที่เขาเรียกพวกเขาว่า ดร. เผื่อลุงจะได้ฉลาดขึ้นมาบ้าง
.
แต่นี่อะไรวะ กูมาอยู่ท่ามกลางไอ้บ้าที่ไหน ที่ไร้สติ บ้าบอ กระทำกับคนอย่างลุงขึ้นมาได้
.
....แต่เอ็งก็รู้อยู่ว่า มันเป็นสันดานของไอ้ ดร.คนนี้ สันดานนี่ มันแก้ไม่หายด้วยวิชาการตลาดหรอกวะ ถ้าเอ็งอยากอยู่ต่อ เอ็งก็ต้องใช้วิชามาร สู้กับแม่มัน
.
....มันไล่เอ็งออกจากห้องได้ เอ็งก็ต้องทำให้มันรู้สึก โดยให้มันโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัยได้เหมือนกัน
.
....ไม่เอาน่า ลุงแอ็ด คิดอะไรบ้าๆ อย่างนั้น เขาเป็นอย่างนั้นเอง ก็ลุงยังบอกเองว่าเขาเป็นโรคจิต เขาพูดกันทั่วเมืองว่า “อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา” ก็เจ้า ดร. นั่น ตอนนั้นมันเป็นคนบ้า เอ็งไปถือสาหาความกับคนบ้า เองก็ต้องบ้าไปด้วย...
.
....ลุงนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด กระสับกระส่ายไปสองสามวัน ทนไปไหว เลยเขียนไลน์ไปปรึกษาเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นก็ปลอบโยน ให้กำลังใจ ปลอบไปปลอบมา อาการโรคจิตของลุงก็กำเริบยิ่งขึ้น
.
....ลุงคิดว่า มี สองทาง ที่จะทำให้ลุงสบายใจได้ คือ
.
1. ลาออกมันสิ้นเรื่องไป ไม่รงไม่เรียนมันแล้ว หรือ
.
2. คิดให้ตกว่า ถ้าจะอยู่ จะอยู่อย่างไร เพื่อให้ตัวเราสบายใจและไม่ให้แกมาทำร้ายเราได้
.
....ลุงมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ หากเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ลุงจะไม่ตัดสินใจเลือกเอาทางใดทางหนึ่งในทันที โดยลุงจะหนีไปอยู่ที่อื่นสักพักหนึ่งเพื่อทบทวนความคิด และสติอารมณ์
.
....แล้วลุงก็จับรถไฟสายเหนือไปเชียงใหม่ ไร่ของลุงที่สร้างได้นานแล้ว และไม่ได้ไปเยี่ยมเลยหลังจากที่เข้าไปเรียนหนังสือ พร้อมส่งข่าวไปบอกเพื่อนๆ ว่า ลุงจะลาออก จากมหาวิทยาลัย ในเร็ววันนี้
.
โฆษณา