24 มิ.ย. 2022 เวลา 14:19 • คริปโทเคอร์เรนซี
✨จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Blockchain Layer 2 ไม่ได้ดีอย่างที่คิด?
สรุปไฮไลท์ในงาน Crypto Meetup Thailand ครั้งที่ 3 โดย Speakers ที่เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนทั้ง 3 ท่าน อาธิ คุณ Nuuneoi Founder of Apetimism, คุณโอ SCB10X, คุณโต๊ด CTO KULAP
🗝ปัญหาเชิงลึกของ Layer 1 มีอะไรบ้าง ทำไมต้องมี Layer 2
ปัญหาของ Layer 1 ในตอนนี้คือทำรายการได้ค่อนข้างช้า ค่าธรรมเนียมสูง และรองรับธุรกรรมน้อย ซึ่งใน Layer 1 มีหลายตัว ประเภทที่มีอยู่ในตลาดมากที่สุดคือ EVM Compatible ที่ถูกพัฒนาโดยภาษา Solidity โดย Ethereum ก็ยังคงเป็น Layer 1 ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด นักพัฒนาอื่น ๆ ต่างยอมรับในความเก่งฉกาจนี้ จึงพยายามพัฒนา Layer 2 ที่ดีกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า มาแข่งกัน
โดยปกติแล้ว Blockchain สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความไร้ศูนย์กลาง (Decentralized), ความปลอดภัย (Security), และประสิทธิภาพการขยายเครือข่าย (Scalability) แต่ Bitcoin ยังขาดความ Scalability ทำให้การทำธุรกรรมค่อนข้างช้า กว่าการโอนผ่านแบงค์ในปัจจุบัน
Ethereum ก็ประสบปัญหา Scalability ทำให้ต้องอัพเกรดเป็น Layer 2 เช่นเดียวกัน โดยทีมงาน Ethereum ใช้เวลาศึกษาและพัฒนามาตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับความไร้ศูนย์กลาง (Decentralization) จึงพยายามพัฒนาและปิดช่องโหว่ให้มากที่สุด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมการอัพเกรด Layer 2 ของ Ethereum ถึงใช้เวลานาน
🗝Local Chain กับ Global Chain เลือกแบบไหนดี?
หากเป็น Local Chain หรือเชนที่พัฒนาในประเทศ ข้อดีคือ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมภายในประเทศถูกกว่า แต่ความสามารถในการขยายเครือข่ายหรือการทำงานข้ามเชนยังทำได้ยาก เมื่อเทียบกับเชนที่มีฐานผู้ใช้งานในวงกว้างอย่าง Ethereum
แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น Local Chain หรือ Global Chain ในอนาคตทุกเครือข่ายจะทำงานร่วมกันแบบ Cross Chain เพราะแต่ละเชนมีความจุดเด่น/จุดด้อย ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการใช้งานบนเชนนั้นๆ บางคนต้องการความไร้ศูนย์กลางมากๆ (Decentralized) แต่คนบางกลุ่มต้องการตัวกลางมาดูแล (Centralized) สุดท้ายทั้ง Local Chain และ Global Chain ต้องเชื่อมโยงกัน
🗝การทำธุรกรรมแบบข้ามเชนพร้อมใช้งานหรือยัง และปลอดภัยไหม
ใช้งานได้ ต้องดูที่การออกแบบระบบ ถ้าระบบมีความปลอดภัย การทำธุรกรรมข้ามเชนก็จะมีความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้จะคิดว่าปลอดภัยแล้ว อนาคตอาจจะมีสแปม ไวรัส หรืออื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นมาให้เอาชนะเทคโนโลยีนั้นๆ ต้องคอยสังเกตุและมีแผนรับมืออยู่เสมอ
ทริคการใช้งานข้ามเชน
1. แบ่งการทำธุรกรรมออกเป็นส่วนๆ
2. ถ้าถือเหรียญของเชนไหน ให้ถือบนเชนนั้น เช่น ถือเหรียญ ETH ในระยะยาว ให้ถือบนเชน Ethereum
🗝บทสรุป Layer 2 ดีจริงหรือไม่
ในมุมของนักพัฒนาทั้ง 3 คน มองว่า คริปโตยังอยู่ในช่วงแรก ฉะนั้นต้องยอมรับความเสี่ยง ควรมีแผนรับมือและการบริหารความเสี่ยง และพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่ปลอดภัยทั้งหมด
สมมุติว่า Layer 2 มีความปลอดภัย 99% แต่ก็มีโอกาสผิดพลาดอีก 1% ที่เหลือ ตามที่บอกไปข้างต้นไม่มีเชนไหนดีที่สุด มีแต่เชนไหนเหมาะกับการใช้งานที่สุด และดูที่การเติบโตของเครือข่ายเป็นหลัก (Network Effect)
*Not A Financial Advice
🚀ช่องทางติดตาม Brook Digital Asset

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา