25 มิ.ย. 2022 เวลา 12:54 • บันเทิง
สมัยเรียนมหาลัยตอนนี้นยังไม่มี เฟสบุค ไลน์ อินสตาแกรม ไม่มี smartphone ไม่มีมือถือ จะโทรกลับบ้านใช้โทรศัพท์หยอดเหรียญตามตู้สาธารณะ เลิกเรียนบิดมอเตอร์ไซค์เข้าเมืองหาของกิน สามทุ่มเข้าร้านเหล้าผับตีนุ๊ก กลับหอยันสว่าง บางทีก็ไปนวดแก้เมื่อยบ้าง ไม่ก็ไปกินข้าวต้มกุ๊ย ผัดไทแถวตลาดโต้รุ่ง ถ้าตอนอยู่หอรวมในมหาลัย มันจะมีรุ่นพี่เอาวิดีโอเทป vhs มาเปิดกับทีวีจออ้วนๆ บนดาดฟ้าของหอพักและฉายเก็บตังค์
ค่าดูคนละ 10-20 บาท นอนดูกันทั้งคืนแถมยุงกัดไปด้วย มีสารพัดหนัง หนังจีนกําลังภายใน หนังฝรั่ง หนัง R หนัง X , บางทีเบื่อๆกลางคืนขับมอเตอร์ไซค์เล่นในมอ. ส่องสัตว์ไปเรื่อย ไปเป็นแก๊งค์ ตอนทํากิจกรรมห้องเชียร์ก็พาน้องวิ่งรอบสนามบอล เข้าห้องเชียร์ร้องเพลงบ้าๆบอๆไปเรื่อย บางทีก็มีเรื่องตีกันกับคณะอื่น ชีวิตในมหาลัยสนุกและมันมาก
พอเริ่มทํางานตอนนั้น เริ่มมี เน็ตแบบ dial up speed 9600-28.8k หมุนโทรศัพท์เข้า isp เริ่มมี อินเตอร์เน็ตแบบแห้งๆ แบบ web1.0 คือดูได้อย่างเดียว โต้ตอบอะไรก็ไม่ได้ เริ่มมีเว็บบอร์ด icq browser เมื่อก่อนเป็น Netscape ท่องเว็บแบบนั่งรอโหลดรูปเกือบ 15 นาที ถึงจะได้ดู เริ่มมีกลุ่ม เว็บบอร์ดเข้ามา เริ่มมี bit torrent ให้เล่นไว้โหลดหนังโป๊แต่สามทุ่มก็ไม่ได้มานั่งเข้าเว็บหรือเล่น เว็บบอร์ดแต่อย่างใด
เพราะมันช้าและไม่มีอะไรน่าสนใจ หลังเลิกงานจึงเป็นเวลา hangouts มากกว่า social media ตอนนั้นเป็นเว็บบอร์ดพวก pantipp, sanookk. อุปกรณ์สื่อสารใช้ packlink , phonelink เหน็บเป็นพวงที่เอว จะฝากข้อความให้คนอื่น ต้องโทรไปบอก operator ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความรัก คือความเป็น privacy ไม่มีเอาซะเลย operatorส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงจะรู้หมดแถมทวนข้อความซํ้าไปซํ้ามา บางข้อความซึ่งมันเชยสิ้นดี
แต่มันเป็นอะไรที่ classic มาก บางทีโทรไปจีบ operator ด้วย และใครที่พก packlink มันจะดูเท่ห๋มากในสมัยนั้น ต่อมาโทรศัพท์มือถือเริ่มเข้ามา ในราคาระดับแสนเป็นแบบหูหิ้ว โนเกียตอนนั้นราคาเป็นหลักหมื่นตัวอ้วนๆกลมๆใช้โทรกับฝากข้อความ smsได้อย่างเดียว ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือหรือ operator ตอนนั้นมีอยู่สองเจ้า แข่งกันด้วยคลื่น 800,1800 กับ 900 mhz ที่ต่างเกทับบรัฟแหลก ในประสิทธิภาพของระบบโทรศัพท์ของตน
บริการ sms เป็นสุดยอดของบริการในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นดูดวง ทายโชคชะตา แจงข้อมูลข่าวสาร แม้กระทั่งonline shopping ด้วย sms แบบกระท่อนกระแท่น เช่น พิมพ์ 1 ตามด้วย code สินค้า ตามด้วยราคา ตามด้วยสารพัด code ตอนนั้น telephone operator หารายได้จาก voice call กับ none voice ( sms ) ทําอย่างอื่นๆไม่ได้ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยี
1
โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกๆราคาแพงมาก จบทํางานใหม่ๆจึงต้องใช้บริการ เถ้าแก่โต๊ะให้บริการโทรมือถือที่มีอยู่เกลื่อนกลาด คิดค่าโทรเป็นนาที หลังจากนั้น โทรศัพท์ โนเกียเริ่มมีราคาถูกลง โดยเฉพาะรุ่น 3210 เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดในโลก แต่มันก็ทำได้แค่โทร ผู้คนสมัยนั้นจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากแต่อย่างใด คือมีโทรศัพท์เข้าก็รับสาย มีธุระก็โทรออก หลังสามทุ่มจึงเป็นเวลา hangout เหมือนเดิม
ผู้คนไปมาหาสู่กัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน โทรศัพท์มันไม่ได้มีบทบาทอะไรในตอนนั้น ชีวิตตอนนั้นมีความสุขมาก มีอิสระเสรี ไม่มีอะไรมาควบคุม อยากไปหาเพื่อนก็ไปเลย
แต่หลังจากทํางานมาได้ 5 ปี โทรศัพท์ smart phone ก็เริ่มเข้ามา เครือข่าย operator เริ่มเข้าสู่ยุค 2g ( gprs ) , เทคโนโลยี web3.0 โทรศัพท์มือถือเริ่มเป็น voice, none voice, data เครือข่ายโทรศัพท์มือถือเริ่มรองรับ data แบบ package switching ทําให้มันเริ่มดู รูป, วิดีโอ แบบไม่สะดุด หลังจากนั้น contents และ application ต่างๆก็หลั่งไหลเข้ามาด้วย web3.0 ที่มีการติดต่อกันได้สองทาง
สามารถทําธุรกรรมต่างๆ มีระบบ security, มีความสะดวกสะบาย มี social media ที่ทำให้โลกมันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจนเป็นเหมือนทุกวันนี้ ที่ทุกคนทั้งโลกสามทุ่มจึงต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเขี่ย ราวกับต้องมนตร์สะกดจิต โดยแอนดรอยด์ ios และพ่อมดมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก สามารถร่ายเวทมนตร์ควบคุมชาวโลกได้ด้วยพลังของ social media
โฆษณา