27 มิ.ย. 2022 เวลา 12:19 • กีฬา
AC Milan ยักษ์หลับที่ฟื้นคืนชีพ
แทบจำไม่ได้เลยว่าครั้งล่าสุดที่
เชียร์บอลแล้วรู้สึก “ดีใจ” สุดๆ
จนพูดไม่ออกบอกเป็นความรู้สึกไม่ถูก
มันเป็นยังไง ดีแค่ไหนกัน
ยิ่งเคยผ่านคืนวันและช่วงเวลาอันโหดร้าย
ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้แต่เฝ้ามองความสำเร็จ
ของทีมคู่แข่งที่ผลัดกันตบเท้าขึ้นแท่นรับถ้วยรางวัล
และพอได้มีโอกาสลุ้นกลับมาคว้าแชมป์กับเค้าบ้าง
พัฒนามาไกลก็จริง สุดท้ายก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันซักที
มาถึงกัลโช่ เซเรียอาฤดูกาลนี้ (2021-22)
ที่เหมือนกำลังฉายภาพฤดูกาลที่แล้วยังไงยังงั้น
กับศึกแย่งแชมป์ระหว่าง AC Milan – Inter Milan คู่เดิม
เพิ่มเติมคือครั้งนี้ปีศาจแดงดำมีลุ้นกว่าครั้งก่อน
พยายามต่อสู้ ผลัดกันนำ ผลัดกันตาม ขับเคี่ยวกันมา
จะปิดเกมกันอยู่นานสองนาน ก็ไม่ปิดซักที
ถ้าไม่ฝั่งนึงพลาดก็อีกฝั่งพลาด
หรือพลาดตามกันมาทั้งคู่
พอชนะก็ชนะคู่ ไม่มียอมกันง่ายๆ
จนเหมือนโชคชะตาพาให้ต้อง
มาตัดสินกันในนัดสุดท้าย
ถึง AC Milan จะชนะและได้รับเสียงเชิดชูมามากมาย
ผ่านโค้งสุดท้ายที่แสนหฤโหดและเต็มไปด้วยทีมของแสลง
เฉือน Fiorentina ทีมแรกที่
ยัดเยียดความปราชัยให้ในฤดูกาลนี้
บุกถลุง Hellas Verona ที่ชอบทำแสบอยู่บ่อยครั้ง
และยังปราบ Atalanta ที่พวกเค้าเหมือน
จะแพ้ทางมานานได้สำเร็จ
แต่กับ Sassuolo ต้องบอกเลยว่าเป็นหนึ่งในทีม
ที่ผม “กลัวที่สุด”เพราะเจอมิลานทีไร
ต้องเป็นอันโดนเล่นงานแพ้อย่างน้อยซักนัด
เกมแรกที่เจอก็บุกมาโค่นถึงถิ่น San Siro ไป 1-3
มาถึงนัดสุดท้ายนี้ที่ต้องเจอกันอีก
ภายใต้โจทย์ที่ว่า “ห้ามแพ้” อีกเด็ดขาด!!
เพราะอย่างน้อยถ้าเสมอแล้วอินเตอร์ชนะแต้มเท่า
พวกเค้าก็จะยังได้แชมป์อยู่ดีเพราะ
head-to-head หรือสถิติการเจอกันเหนือกว่า
(เสมอ 1 ชนะ 1)
บอกตรงๆ จากที่เคยอกหักดังเป๊าะตอนท้ายฤดูกาลก่อน
รวมถึงขุมกำลังและประสบการณ์
ที่ยังเป็นรอง Inter Milan อยู่
กลัวใจเหลือเกินว่ามิลานจะแพ้ภัยตัวเองอีกครั้ง
ไม่กล้าหวังมาก กลัวผิดหวังมากแบบตอนนั้นอีก
จนเมื่อ “O.Giroud” ศูนย์หน้าป้ายแดง
มายิงปลดแอ็กในน. 17 ก็เหมือนได้น้ำเย็น
มาช่วยคลายความกดดันให้กองเชียร์และทีม
ได้เดินหน้าลุยต่อเอาชัวร์จน
ขึ้นนำขาดลอย 0-3 ตั้งแต่ครึ่งแรก
กระนั้นไอ้เราก็ยังไม่กล้าวางใจอีก
ด้วยความที่มีหลายครั้งเล่นกันแบบย่ามใจกัน
ผ่อนเกมจนคู่แข่งกลับมาได้
นาฬิกาครึ่งหลังนับถอยลงไปเรื่อยๆ จนใกล้หมด
ก็ยังอ่ะ ขอให้มันจบจริงๆ ซะก่อน ตัวแสบฝั่งนั้นมีเยอะ
อะไรก็ยังเกิดขึ้นได้อยู่ แม้จะรู้ว่า
เป็นไปได้ยากที่จะพลิก (ในทางปฏิบัติ)
จนเมื่อถึงวินาทีสิ้นเสียงนกหวีด
จาก Daniele Doveri ผู้ตัดสินเกมนี้
เป่าปรี๊ดจบเกม พร้อมภาพที่บรรดานักเตะ
ทีมงานสต๊าฟโค้ชและกองเชียร์
ต่างพากันวิ่งกรูเข้าไปสวมกอด
ระเบิดอารมณ์กันอย่างสุดเหวี่ยง
มาถึงวันนี้ที่การรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลง
เมื่อได้เห็น #ACMilan ทีมรัก
กลับมาประกาศศักดาคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้สมัยที่ 19
มาครองได้อีกครั้งในรอบ 11 ปี
ด้วยผลงานชนะ 26 เสมอ 8 แพ้ 4
เก็บไปถึง 86 แต้ม ยิงได้ 69 ประตู
และเสียไปเพียง 31 ประตูเท่านั้น
โดยหนล่าสุดต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปไกลถึง
ฤดูกาล 2010-11 เลยทีเดียว
ณ โมเม้นต์นั้น เชื่อว่าบรรดาสาวกแดงดำ
ทั่วทุกมุมโลกและบ้านเราเองคงกำลัง
ลิงโลด ฉลองกันแชมป์กันแบบสุดๆ
ระบายความอัดอั้นตันใจที่มีมานาน
หลังจากต้องอยู่ใต้ร่มเงาคู่แข่งมาตลอด
แต่ผมกลับหยุดนิ่ง มองจอถ่ายทอดสด
แบบพูดไม่ออก มือสั่น ทำอะไรไม่ถูก
พร้อมกับหยดน้ำใสๆ ที่ไหลพรั่งพรูออกมาจากสองตา
ว่าในที่สุดทีมรักของเราก็กลับมาแล้วจริงๆ
“ทำได้แล้วนะ” ได้แชมป์แล้วนะเฮ้ย
ประโยคนี้เหมือนใน MV เพลงแอบดีของพี่แสตมป์เลย
รู้ตัวอีกทีนั่งดูบรรยากาศรับถ้วย
ดูไฮไลท์ บทสัมภาษณ์หลังเกม
ดูไปยิ้มวนไปเหมือนคนบ้าอยู่อย่างนั้นทั้งคืนจนตี 4
มาถึงตอนนี้ก็ยังคงเต็มอิ่มกับห้วงอารมณ์นี้อยู่
สำหรับยักษ์ใหญ่อย่าง AC Milan
การหลับมาอย่างยาวนานถึง 11 ปี
มันเป็นอะไรที่โคตรนานจริงๆ นานจน
ชีวิตคนสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมาย
บางคนอาจเรียนจบ ทำงาน
เจอช่วงชีวิตที่มีการเปลี่ยนผ่าน
อาจย้ายงานมาอัพเงินเดือน มีครอบครัว ลูกโต
หรือมีเรื่องราวที่ผ่านมาต่างกันไป
จริงอยู่ที่การดวลจุดโทษชนะ Juventus
จนได้แชมป์ Supercoppa Italiana เมื่อฤดูกาล 2016-17
จะพอช่วยบรรเทาความเหี่ยวเฉา
อุดช่องว่างความเงียบเหงาตรงนี้ได้บ้าง
แต่มันก็มิอาจเทียบได้เลย
กับการกลับมาคว้าแชมป์ลีกในครั้งนี้
เลยอยากชวนสาวกรอสโซเนรี่ทุกท่านมาปลดปล่อย
ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวระหว่างทางแห่งความสำเร็จนี้กัน
รวมถึงแฟนบอลทีมอื่นๆ ที่อาจจะ
สงสัยว่า AC Milan กลับมาเฉิดฉายได้ยังไง
บทความนี้ได้รวบรวมมาให้แล้วครับ
1. ทีมเดิมที่มากับแนวทางใหม่
- เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคคลาสสิคที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บิดาแห่งวิทยาศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่ามันบ้ามาก ถ้าอยากจะได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ ขณะที่ยังทำอะไรแบบเดิม ฟุตบอลก็เช่นกันครับ หากคุณยังทู่ซี้จะเล่นในรูปแบบแนวทางเดิมๆ ก็ยากที่จะสร้าง “จุดเปลี่ยน” บางอย่างขึ้นมาได้จริงๆ
ย้อนกลับไปถึง AC Milan ในช่วง “ยุคมืด” ตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14 หลังการปลดอัลเลกรีผู้พาทีมคว้าแชมป์ลีกอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อนลงกลางคันตามผลงานที่ดร็อปลง เกมแพ้ Sassuolo 4-3 กลายเป็น “จุดเริ่มต้นของจุดจบ” อีกหลายอย่างที่ตามมา ทั้งในและนอกสนาม
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านเจ้าของทีม ปรากฏการณ์เกมเก้าอี้ดนตรีเปลี่ยนโค้ช เอาตำนานมาฆ่าเป็นว่าเล่น ทั้ง C.Seedorf, F.Inzaghi, C.Brocchi และ G.Gattuso (ดีไม่เอาเชว่ามาด้วย) มีสลับกับอดีตตำนานทีมอื่นบ้างอย่าง S.Mihajlović และ V.Montella ที่แม้จะพาทีมคว้าแชมป์ Supercoppa Italiana ก็ไม่อาจพาทัพรอสโซเนรี่ให้กลับมาเล่นได้อย่างที่เคยเป็นที่เกรงขามทั่วอิตาลีและทั่วโลก
มิลานในช่วงเวลานั้นเล่นบอลกันอย่าง “ไม่มีทรง” เอาซะเลย สะเปะสะปะ ชอบแต่งบอลกันหลายจังหวะ กว่าจะส่ง กว่าจะทำเกม ก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาม้วนๆๆ คิดเยอะ จนรู้ตัวอีกทีคู่แข่งก็กางมุ้งแพ็คเกมรับ เปิดตี้ปิ้งย่างหมูกระทะมานั่งกิน นอนรอกันพร้อมแล้ว เลยเป็นเหตุหลักที่ทำประตูไม่ค่อยได้ และมักจะขึ้นเกมจากผู้เล่นคีย์แมนในชุดนั้นๆ เป็นหลัก
อย่างช่วงนึงก็มักจะฝากบอลไปที่ Suso หรือ J.Menez ทำเกม กดสูตรติดบ้างไม่ติดบ้าง ก็ต้องมาลุ้นกันอีกที คือชนะแต่ละทีก็ไม่ได้มาจากรากฐานของทีมจริงๆ ยิ่งมาในยุคของ M.Giampaolo กุนซือหน้าหมองก็ยิ่งไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แข่งไป 7 นัด ชนะ 3 แพ้ไปถึง 4 เกม
พอ “Stefano Pioli” เข้ามารับเผือกร้อนกลางคัน ตอนนั้นผลงานก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก ผลงานทรงๆ ดีสลับแย่ หนักสุดก็เกมบุกไปแพ้ Atalanta ด้วยสกอร์มโหฬารถึง 5-0 โดนบดขยี้จนเลือดสีแดงดำสาดกระเซ็นไปถึง San Siro พร้อมกระแส #PioliOut ที่ลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ยังทรงๆ ต่อ
จนเมื่อได้กลับมาฟาดแข้งอีกครั้งหลังเบรกหนีโควิดอยู่พักใหญ่ กลายเป็นเหมือนคนละทีม กลับมาเล่นอย่างดุดัน เริ่มมีทรง มีรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนขึ้นมา จากผลงานไร้พ่าย 13 นัดติดรวมทุกรายการ (กัลโช่ 12 โคปปา อิตาเลีย 1)
หวดไปถึง 35 ประตู เสียไปเพียง 12 ประตูคว้าตั๋วไปเล่นยูโรป้าลีก เหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็น “จุดเริ่มต้นสู่จุดเปลี่ยน” อย่างแท้จริง ในระบบ 4-2-3-1 ที่เค้ายึดเป็นหลัก พร้อมกับคอนเซปต์ “Direct Football”
ทำให้ AC Milan ในทุกวันนี้มีรูปแบบการเล่นที่ “น้อยแต่มาก” เน้นบอล Direct ง่ายๆ ใครว่างก็จ่าย และเป็นการจ่ายแบบที่เห็นว่าชัวร์จริงๆ ไม่เสี่ยงแทงทะลุช่องไปยังพื้นที่ว่าง เอาชัวร์ไว้ก่อน ช่วยกันพาบอลไปข้างหน้า รับส่งกันอย่างเข้าขารู้ใจ คนนึงได้บอล อีกคนจะวิ่งทำทางพร้อมรับบอลจากเพื่อน ซ้าย ขวา เคลื่อนที่สอดประสานกัน ต่อบอลจังหวะเดียวกันมากขึ้น มีวิธีการเข้าทำที่หลากหลายขึ้น
ทั้งลูกชิ่ง 1-2 ตักบอลข้ามแนวรับคู่แข่ง โดยเน้นทำเกมจากริมเส้นทั้งปีก-ฟูลแบ็ค จะครอส จะตัดเข้าใน เข้าไปเล่นตรงพื้นที่ half space (พื้นที่ระหว่างแบคกับเซ็นเตอร์) ทำชิ่ง เปิดพื้นที่อันตราย หาจังหวะจบ ก็มีให้เห็นกันมากขึ้น อาจมีหลายครั้งที่ยังเล่น Direct ได้เนี้ยบ จ่ายกันพลาดบ้าง โดนสวนกลับบ้าง หรือไปตกม้าตายในพื้นที่สุดท้ายบ้าง แต่ก็นับว่าพวกเค้าเล่นดูดีมีทรงขึ้นมาก พัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะทีเดียว
ระบบการของปิโอลี่เองที่มีการสลับปรับใช้นักเตะตามสถานการณ์ได้ดีขึ้น อย่างการให้ F.Kessie ไปยืนเป็น AMF ในเกมเจอ Inter Milan เพื่อให้เป็นด่านหน้าช่วยบดกับ M.Brosovic ห้องเครื่องตัวสำคัญของทัพงูใหญ่ หรือการใช้ R.Krunic ที่ยืนตำแหน่งระหว่างพื้นที่ได้ดี ก็ให้ไปช่วยเชื่อมเกมต่อบอลในแดนบน
ช่วยแก้ปัญหาเวลาให้ทีมเวลาเกมรุกตีบตัน คือการให้สองคนนี้เล่นกลางรุกเพื่อไปชนกับแนวรุกอีกฝ่ายย่อมดีกว่า B.Diaz ที่ตัวเล็กร่างบางกว่า ทำให้เห็นว่าศาสตร์แห่งฟุตบอลไม่จำเป็นต้องไปตามสูตรในตำรา ขึ้นอยู่กับว่าในเกมนั้นๆ คุณกำลังสู้อยู่กับใครและต้องใช้ใครให้ถูกงานถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกลับมา
รวมถึงการแก้เพรสซิ่งที่เคยเป็นจุดอ่อนของทีมมาตลอด เจอทีมเพรสจัดๆ ทีไรไปไม่เป็นทุกที ไม่ใช่ปิโอลี่ไม่บอกวิธีแก้ แต่นักเตะส่วนมากทักษะในตอนนั้นยังทำไม่ได้ พอได้ฝึกฝน พัฒนากันมาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลากว่า 3-4 ปี
ก็ทำให้พวกเค้าเก่งขึ้น เล่นตามแท็คติกโค้ชได้มากขึ้นจนนำไปสู่การแกะเพรสได้สำเร็จ และอีกจุดเด่นคือมิลานมักจะเล่นลูกฉาบฉวยได้ดีจนนำไปสู่ประตูอยู่หลายครั้ง อย่างเกมเหย้าที่ชนะ Atalanta 2-0 ลูกแรกก็มาจากการเล่นแนวนี้
สิ่งเหล่านี้คือการพัฒนาขึ้นของลูกทีมและตัวปิโอลี่เอง ที่ลบคำสบประมาทตั้งแต่ก่อนรับงานคุมทีม เปลี่ยนจาก “Pioli Out” ให้กลายเป็น “Pioli is on Fire!🔥🔥” เปลี่ยนเหล้าใหม่ให้เกิดขึ้นในขวดเก่าได้อย่างภาคภูมิ Grazie Mister!!
2. “O.Giroud” เบอร์ 9 ที่หายไปนาน
- นับตั้งแต่หมดยุค “F.Inzaghi” เป็นต้นมา ทัพรอสโซเนรี่ก็ไม่เคยมีเบอร์ 9 ที่โชว์ฟอร์มได้ดีเท่าเค้าอีกเลย เพราะไม่ว่ากองหน้าคนนั้นจะเป็นใคร เก่งมาจากไหนก็ล้วนแต่ปืนฝืด ความมั่นใจหดหาย ย้ายออกไปตามกัน
ทั้ง A.Pato, M.Desrto, G.Lapadula, A.Matri, G.Higuain, K.Piatek, L.Adriano, F.Torres, A.Silva ต่างก็ประสบชะตากรรมเดียวกันหมด จนใครต่อใครต่างก็ว่าเบอร์นี้ได้กลายเป็นเลขอาถรรพ์ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการย้ายเบอร์หรือเลือกมาแล้วแต่แรกก็ดับกันหมด
แต่แล้วความคิดนี้ก็ต้องถูกลบทิ้งไปจากหน้าประวัติศาสตร์อันมัวหมองนี้ เมื่อพวกเค้าได้ “O.Giroud” กองหน้าดีกรีแชมป์โลกกับฝรั่งเศสและแชมป์ยุโรปกับ Chelsea มาร่วมล่าตาข่ายในราคาเพียง 1 ล้านยูโร ซึ่งเอาจริงๆ ตอนแรกผมแทบไม่ได้คาดหวังอะไรกับเค้าเลย
ด้วยวัยที่ล่วงเลยมา 34 ปี บวกกับคว้าโทรฟี่มาเยอะแบบน่าจะอิ่มตัวแล้ว แถมไม่ใช่กองหน้าสไตล์ที่ยิงเปรี้ยงปร้างเป็นกอบเป็นกำแบบนั้น ที่ไหนได้กลายเป็นหนึ่งใน “โคตรดี” แห่งฤดูกาลที่ดีอย่างคาดไม่ถึง I can’t believe it!! จริงๆ
ทั้งการแสดงออกถึงความกระหายที่ยังคงมีอยู่ อยากจะชนะ อยากทำประตู อยากสำเร็จไปกับทีมใหม่ ทำให้เค้าเป็นขิงแก่ที่ยังเผ็ดเด็ดดวงและอันตรายอยู่ ยังคงความจมูกไว อยู่ถูกที่ถูกเวลา มีการจัดระเบียบร่างกายที่ดีเยี่ยม หลายครั้งที่เพื่อนหรือน้องๆ จ่ายย้อนหลังมาก็จะพยายามเอี้ยวตัวหรือกวาดเท้ากลับไปรับบอลเพื่อยิงให้ได้
ลูกโหม่งที่ยังคงเป็นจุดขาย หรือจะยิงเท้าซ้าย ขวา ยิงจังหวะเดียว จะแท็บอินสะกิดบอลเข้าไป ทำไงก็ได้ให้มีลุ้นเข้า หรือถ้าช็อตไหนที่ยิงไม่ได้ก็พร้อมจะทำประโยชน์ให้ทีม คอยพักบอล ดึงตัวประกบและส่งให้คนอื่นยิงต่อ
และมากกว่านั้นคือเค้าเป็นกองหน้าที่มีความเป็น “Game Changer” สูงอย่างที่มิลานขาดหายไปนานแบบปิ๊บโป้ คือบางทีอาจไม่ต้องสม่ำเสมอ ยิงระเบิดระเบ้อตลอดก็ได้ แค่ในเวลาสำคัญที่ทีมต้องการก็สามารถยิงประตูสร้างจุดเปลี่ยนให้ทีมได้ ปลุกขวัญ กำลังใจทุกคนให้ลุกโชนขึ้นมา อ
อย่างเกมบุกพลิกชนะ Inter Milan 1-2 ที่เค้าเหมาสองลูก ลูกแรกที่โชว์ความจมูกไว หาช่องเก่งจนเหยียดขายิงได้ ลูกสองก็อาศัยประสบการณ์ความเก๋า รับบอลจาก D.Calabria แล้วพลิกจังหวะเดียวจน S. de Vrij เสียเหลี่ยมหลังหัก ก่อนจะตวัดยิงเข้าไปเต็มๆ
ทั้งเกมเฉือน Torino ไป 1-0 และ Napoli ที่ 0-1 หรือล่าสุดก็เกมนัดสุดท้ายกับ Sassuolo ก็เป็นเค้าที่เบิ้ลช่วยให้ทีมคลายความกดดัน เล่นง่ายขึ้นเป็นกอง พร้อมยิงทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
จบฤดูกาลด้วยผลงาน 14 ประตูรวมทุกรายการ แบ่งเป็น กัลโช่ 11 (จ่าย 3) และโคปปา อิตาเลีย 3 ประตู เป็นคนแรกในรอบทศวรรษที่ช่วยปลุกวิญญาณหมายเลข 9 ในรั้ว San Siro ขึ้นอีกครั้ง และยังคงมีจิตวิญญาณแชมเปี้ยนที่ยังไม่สิ้นสุด!
3. R.Leao ดาวจรัสแสงสีแดงดำ
- เรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดจริงๆ สำหรับเจ้าหนูโปรตุกีสวัย 22 ปี ที่ฉายแววตั้งแต่มาใหม่ๆ ดูวูบวาบ คึกคะนองไปตามวัย แต่เอาแน่เอานอนไม่ได้ บทจะดีก็ดีชิบหาย บทจะตายก็มีให้เห็น หลายครั้งติดเล่นยึกยักๆ ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงๆๆ หรือกำลังไปได้ดีละก็มาทำเสียของในพื้นที่สุดท้ายอีก
จนเมื่อเวลาผ่านไป เค้าก็ยิ่งพัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนตัวเองจากจรวดทางเรียบจอมห้าว กลายเป็นตัวรุกฝั่งซ้ายสุดฉกาจที่ยังคงความเร็วจัดจ้านเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกระชากบอลทีเป็นหาย เอาชนะการดวลเดี่ยว 1-1 ได้อยู่บ่อยครั้ง
ทั้งปั่นป่วน ฉีกแนวรับคู่แข่งเป็นชิ้นๆ ลากเข้าไปยังพื้นที่สุดท้ายทั้งยิง จ่าย แบบไหนก็ได้ ล้วนแล้วแต่นำไปสู่การหวังผล ยิ่งได้คอมโบประสานงานกับแบ็คซ้ายจอมคึกอย่าง T.Hernandez ก็ยิ่งทวีความโหด จี๊ดจ๊าดกันขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว คอยรับส่งกัน คนนึงเติมมา อีกคนส่งไป ผลัดกันฉีกออกริมเส้นแล้วจ่าย Cut Back ให้กองหน้าหรือกลางที่เติมมา หรือสลับเข้าโจมตีพื้นที่อันตรายตั้งแต่ Half Space จนถึงกรอบเขตโทษ
และอีกด้านที่ R.Leao พัฒนาขึ้นมากคือทักษะในการทำประตูและการสวมบทฮีโร่ผู้เปลี่ยนเกม ในหลายเกมที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าประตูสำคัญที่ช่วยให้มิลานคว้า 3 แต้มเข้ากระเป๋า นอกจากจะมาจาก O.Giroud แล้วก็มีเจ้าหนูคนนี้นี่แหละ
อย่างเกมเปิดบ้านเฉือน Sampdoria ไป 1-0 ตั้งแต่ไก่โห่ น.8 (กลายเป็นอีกสถิติยิงเร็วที่เค้าทำได้ จากที่เคยทำมาแล้วในเกมฤดูกาลก่อนที่บุกชนะ Sassuolo ไป 1-2 ใช้เวลาเพียงแค่ 6.7 วินาทีเท่านั้น) และเกมที่เบียดชนะ Fiorentina ไป 1-0 ก็เป็นเค้าที่พุ่งเข้าฉวยโอกาสที่นายทวารทีมเยือนอย่าง P.Terracciano ออกบอลพลาด สำเร็จโทษได้สำเร็จจนนำไปสู่ประตูชัย
คือยิ่งเล่นยิ่งคึก ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ กลายเป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้ วันไหนที่ไม่ยิงก็จะเน้นจ่าย ควบตะบึง กระชากหนีแนวรับคู่แข่งจนพื้นที่เปิด จ่ายเข้ากลางให้เพื่อนได้ง่ายๆ ตัวอย่างชัดเจนในเกมบุกถลุง Verona ไป 1-3 ก็เป็นเค้าที่จ่ายให้ S.Tonali ยิงตีเสมอก่อนจบครึ่งแรก และมาแซงเอาต้นครึ่งหลัง
จนนัดสุดท้ายกับ Sassuolo ก็ยังแผลงฤทธิ์ต่อ Hattrick Assists ไปเลยคราวนี้ 3 ลูกที่ได้ ล้วนมาจากการขึ้นเกมริมเส้นของเค้าทั้งหมด อยู่ฝั่งซ้ายขวาก็ไม่ต่าง เร็ว แรง ทะลุนรก ชนิดที่ยมบาลก็คงไล่ตามจับไม่อยู่ ถ้าไม่มีเด็กคนนี้ มิลานคงทำแต้มหายไปเยอะทีเดียว
“We all know his enormous potential. I encourage him to work hard every day. His development is not my merit. This is due to his hard work. Rafael finally realized what skill he had. I wish him the best:
พวกเราต่างรู้ดีว่าเค้ามีศักยภาพมากแค่ไหน ผมเลยปลุกใจให้เค้าพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวัน ผลงานที่พัฒนาขึ้นในวันนี้ มันไม่ใช่เครดิตผมหรอก แต่เป็นเพราะการทำงานหนักของเค้าเองต่างหาก ในที่สุดราฟาเอลก็ได้รู้แล้วว่าตัวเองมีดีอะไรบ้าง ผมหวังว่าเค้าจะไปได้สุด”
Z.Ibrahimovic
จากดาวรุ่งที่เคยมาๆ หายๆ มาวันนี้ได้เติบใหญ่เป็น “ดาวโรจน์” ที่พัฒนามาได้อย่างน่าภูมิใจและเชื่อว่ายังไปได้อีก ยิ่งดูเจ้าเด็กคนนี้เล่นก็ยิ่งเพลินตาไปกับลีลาฝีเท้าที่บรรเลงบนฟลอร์หญ้า พร้อมสีหน้าที่มักจะเล่นไปยิ้มไป มีความสุขไปกับเกม ดูแล้วยิ่งนึกถึง Ronaldinho เลย เพราะตั้งแต่รอนนี่ไป มิลานก็ไม่มีปีกซ้ายที่ไหนจะเล่นได้ดุดันเท่านี้มาก่อน
สรุปฤดูกาลนี้ R.Leao ระเบิดฟอร์มด้วยผลงานยิง 14 ประตู ทำไป 10 Assists รวมทุกรายการ (กัลโช่ยิง 11 จ่าย 8, โคปปา อิตาเลีย ยิง 2 จ่าย 1 และ UCL ยิง 1 จ่าย 1) และเป็นนักเตะที่เลี้ยงบอลผ่านมากที่สุดในทีมถึง 98 ครั้ง คว้ารางวัล MVP หรือนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลนี้ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่
น้ำตาของเด็กหนุ่มที่ไหลออกมาด้วยความปิติยินดีในช่วงฉลองแชมป์กับแฟนบอล คงแทนคำตอบได้ชัดเจนว่าเค้าต้องผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน แม้ล่าสุดจะมีข่าวว่ามาดริดจ้องประเคนเงิน 120 ล้านยูโรมาสู่ขอ แต่ผู้บริหารอย่าง P.Maldini ก็ออกมายืนยันแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มีไว้ขาย!
4. การถือกำเนิดของ “Rising Stars” อีกหลายคน
- “T.Hernandez” ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น 1 ในแบ็คซ้ายระดับต้นๆ ของโลกลูกหนังเรียบร้อยแล้ว ยิ่งได้มาคิดย้อนไปถึงบทความต่างๆ ที่ผมเคยเขียนถึงมิลานในยุคปิโอลี่ ไม่ว่าบทความไหนก็มักจะมีชื่อของเค้าเป็นใจความสำคัญส่วนนึงเสมอ ตรงนี้สะท้อนออกมาได้ชัดเลยว่าที่ผ่านมาแบ็คทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้สำคัญกับทีมขนาดนี้
หลังเปลี่ยนให้ชุดขาวถูกย้อมด้วยสีแดงดำ พร้อมความรู้สึกที่อยากจะพิสูจน์ตัวเอง เราก็ได้เห็นเค้าพัฒนาฟอร์มการเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายที่กำยำ แข็งแกร่ง แต่เต็มไปด้วยความเร็วที่จัดจ้าน เติมเกมมันส์หยด วิ่งขึ้นวิ่งลงไม่มีหมดจนไปสุดเส้นหลัง จะจ่าย Cut Back ให้เพื่อนจบสกอร์
หรือจะใช้ความเร็วเลี้ยงจี้เข้าไปเล่นในพื้นที่ Half Space เพื่อเข้าไปทำชิ่งต่อบอลทำประตูหรือหลายครั้งก็ตะบันเต็มตีนตาข่ายแทบขาดกระจุย จะเปิดแบบ Deep Cross ก็ทำได้ ตั้งแต่ตบเท้าเข้ามาร่วมทีม ไม่ว่าฤดูกาลไหนสังเกตได้ว่าหลายๆ ครั้งที่เกมตีบตัน ก็มักจะได้เค้านี่แหละสอดขึ้นมายิง ช่วยชีวิตทีมไว้ในช่วงที่ยากลำบาก
และยังคงรักษามาตรฐานไว้และพัฒนามาถึงตอนนี้ ในทุกฤดูกาลต้องมีชื่อเค้าอยู่บนสกอร์บอร์ดแน่ๆ ถ้าปรับเรื่องสติหลุดในเกมรับไปได้อีกหน่อยนะ ครบเครื่องสุดเลย
เพราะที่ผ่านมาในยุคมืดของมิลาน นอกจากกองหน้าเบอร์ 9 จะดับสนิท กลางบอด หลังโหว่ โกลพอได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ที่มืดมนสุดน่าจะเป็นตำแหน่งแบ็คซ้ายนี่แหละ ตั้งแต่ผ่านยุค Serginho / M.Jankulovski ก็ไม่มีใครดีพออีกเลย เมื่อครั้งนึงที่มองไปยังตำแหน่งนี้แล้วก็ได้แต่เกาหัวว่า ยุคที่หันไปเจอ K.Constant, D.Vilà, L.Antonelli, R.Rodriguez ก็ดูจะกลางๆ ค่อนไปทางล่างซะหมด
ที่พอดูได้ก็มี U.Emanuelson วูบวาบบ้าง เป็นที่พูดถึงบ้างในช่วงนึง รึเด็กปั้นอย่าง M.De Sciglio ที่แจ้งเกิดได้อย่างสุดยอด ไล่บดกับแบ็คระดับตำนานของอินเตอร์อย่าง J.Zanetti ได้อย่างไม่เกรงบารมีอีกฝ่าย ก่อนจะเจ็บหนักและไม่สามารถเค้นฟอร์มได้เหมือนเดิมอีกเลย ไปเป็นสมบัติม้าลายเรียบร้อยนี่จึงเป็น Pain Points รูเบ้อเริ่มที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็มจริงๆ
ประตูที่ T.Hernandez ลากคนเดียวกว่าค่อนสนามเข้ายิงฝัง Atalanta
จนกระทั่งการมาของ T.Hernandez ซึ่งเอาจริงๆ ตอนนั้นผมยังไม่เชื่อเลยว่าเค้าจะทำได้ดีขนาดนี้ ฤดูกาลล่าสุดที่ช่วยพาทีมได้แชมป์ก็ซัดไป 5 ประตูกับ 8 Assists จาก 41 นัดที่ลงเล่นในทุกรายการ โดยเฉพาะช็อตที่โซโล่เดี่ยวกว่าค่อนสนามไปยิงฝัง Atalanta 2-0 นี่คือสุดตีน!!
- “S.Tonali” เป็นอีกคนที่ไม่คิดว่าจะพัฒนามาได้มากขนาดนี้ จากตอนแรกที่เข้ามาใหม่ๆ ได้สานฝันวัยเด็กมาเป็นนักเตะมิลานสมใจ เดินตามรอยเท้า G.Gattuso ผู้เป็นไอดอล จนทั้งสื่อและใครหลายๆ คนต่างคาดหวังว่าเค้าจะเข้ามาเป็นไอ้รถถังคนใหม่ ทว่าช่วงเวลาตอนนั้นกลับเต็มไปด้วยความยากลำบากสำหรับเจ้าโต
อย่าว่าแต่ฉายแววตามรุ่นพี่เลย แค่งัดฟอร์มเก่งของตัวเองสมัยอยู่ Brescia ออกมายังไม่ได้ เล่นแบบลนสุด ตื่นสนามเหมือนเด็กที่ถูกส่งลงแข่งบนเวทีผู้ใหญ่ เสียบอลง่าย เข้าบอลโฉ่งฉ่าง ดูไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ถูกจับนั่งสำรองซะเยอะ ยิ่งดูยิ่งดูยิ่งเป็นห่วงว่าเด็กมันจะขวัญกระเจิง เสียความมั่นใจไปซะก่อนรึเปล่า
แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่าน เจ้าเด็กคนนี้ก็ทำให้พวกเราต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่ทั้งในและนอกสนาม ตั้งแต่การยอมลดค่าเหนื่อยเพื่อต่อสัญญากับทีมออกไป 5 ปี แสดงถึงความรักความมุ่งมั่นที่เค้ามีต่อเครื่องแบบสีแดงดำนี้ มาอยู่ที่นี่ด้วยใจล้วนๆ ขณะที่ฟุตบอลยุคทุนนิยมสมัยใหม่ซื้อขายปั่นราคาค่าตัวกันแพงๆ เงินมันหอมหวาน เอเยนต์และนักเตะหลายคนต่างพยายามโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
ก็มีเจ้าเด็กจอมพลังคนนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำให้เห็นว่าเงินซื้อไม่ได้ทุกคน ไม่ได้ทุกความฝัน ไม่เหมือนนายทวารเด็กร่างโย่งคนนึงที่งอแง จูบตราสโมสร ปากบอกรักทีมเสมอ พอเงินมาผ้าหลุดไปนอนเกาไข่ นับเงินเล่นที่ปารีสทันที
กลับมาที่ S.Tonali ต่อ สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมทึ่งในตัวเค้ามากที่สุดคือ “ความใจสู้” เกินวัย จากที่เคยฟอร์มแย่ ก็ก้มหน้าก้มตาซ้อม พยายามเรียนรู้และพัฒนาฝีเท้าตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อได้รับโอกาสอีกครั้งคราวนี้เลยไม่ปล่อยให้มันหลุดลอย คราวนี้ยิ่งเล่นยิ่งคึก วิ่งพล่านไปทั่วสนาม ไล่บด เบียด เบรกเกมคู่แข่ง จังหวะไหล่ต่อไหล่ก็เอาชนะได้บ่อยๆ
อย่างในเกมดาร์บี้แมตช์กับ Inter Milan แม้แต่ N.Barella กลางตัวเก่งของก็เจอชนคว่ำ กล้าบวกไม่ยั้งใส่จนสุด สะใจสุดคงเป็นช็อตกระแทก “งูพิษ” บางตัวจนกระเด็นไปนอนกองกับพื้นสนาม
หรือตอน T.Hernandez นั่งเจ็บแล้ว D.Dumfries พยายามมาดึงให้รีบลุก ก็เจอเจ้าโตเข้าไปคุยบวก ใครทำพี่กูมึงเจอกันได้ คนเจ็บอยู่ไม่เห็นรึไงวะ!? เวลาทีมเจอปัญหาในสนาม เค้านี่แหละคนแรกๆ ที่พร้อมเข้าชนกับคู่แข่ง ราวกับฉายภาพ G.Gattuso ในวันวานไม่มีผิด ถึงตัวเล็ก หัวใจนั้นยิ่งใหญ่ ไม่มีเกรงหวั่น หรือนี่จะเป็นนิวกั๊ตจริงๆ หรือบางคนบางอาจเป็นนิว A.Pirlo ด้วยซ้ำไปจากสไตล์การเปิดบอล
เปล่าหรอกไม่ใช่เลย เพราะยิ่งเล่นเค้ายิ่งฉายแววความเป็นตัวเองออกมา เอาแค่การชอบสอดขึ้นมาตะบันเต็มข้อยิงไกลแถวสองบ่อยๆ ให้โกลอีกฝ่ายต้องเหนื่อยปัดสุดกำลัง และยังพัฒนาทักษะการทำประตูขึ้นมากอีก ตั้งแต่ฟรีคิกปลิดวิญญาณใส่ Cagliari เป็นประตูขึ้นนำให้ทีมชนะไป 4-1 และอีกหลายช็อตที่เค้ามักจะเติมเกมเข้ามาในกรอบเขตโทษ พร้อมเป็นอีกหนึ่งออพชั่นให้เพื่อนจ่าย
อย่างเกมกับ Lazio ที่เจ้าโตสวมบทฮีโร่ซัดประตูชัยช่วงทดเจ็บ น.92 รวมถึงนัดที่ซัดเบิ้ลในเกมชนะ Verona ไป 1-3 ก็มาจากการเล่นแบบนี้แหละ จุดเด่นตรงนี้ มองยังไงก็ไม่ใช่ New G.Gattuso แล้ว แต่ถ้าลูกขยัน ใจสู้ไม่ถอย ไล่ฟัดไม่ยั้งนี่ยังไงก็ใช่ อย่างเกมบุกโค่น Atalanta ประตูนำ 0-2 ก็มาจากความขยันของเค้าที่ไล่บอลกดดัน R.Freuler ที่ลนจนพลาดไปเอง
ไหนจะมีจังหวะพลิกบอลสวยๆ เปิดบอลดี ทั้งครอสจากข้าง เตะมุม พัฒนาขึ้นมาก หรือถ้าจะบอกว่าตรงนี้คล้าย A.Pirlo ก็ยังไม่ใช่อีก เพราะดาวเตะรุ่นพี่ไม่ได้มีสไตล์วิ่งพล่าน เบียด ชนแบบนี้ นอกจากนี้ S.Tonali ยังคอยลงมาช่วยเกมรับตลอด เคลียชอตสำคัญได้ก็มีให้เห็นเช่นกัน
ทำให้เห็นว่าทุกความฝัน มีรางวัลรออยู่เสมอ เด็กชายตัวน้อยที่ขอพรซานต้าให้ได้มาอยู่มิลานในวันนั้น ได้เติบโตเป็นขุมกำลังสำคัญของทีมแล้ววันนี้ วันที่ทั้งเค้าและมิลาน ต่างก็เป็น “ของขวัญ” ที่ดีของกันและกันจริงๆ
- ดาวดวงอื่นๆ อย่าง “I.Bennacer” ที่แม้จะโดนโควิดเล่นงานถึงสองครั้งก็ยังคงความสำคัญกับทีม เป็นมดงานที่คอยเก็บกวาดพื้นที่ในแดนกลางได้ดีและที่เพิ่มขึ้นมาอีกคือทักษะการทำประตู ที่เริ่มจะสอดมายิงจากแถวสองมากขึ้นและทำประตูสำคัญได้ในเกมบุกชนะ Bologna ก็เป็นเค้าที่ยิงให้ทีมกลับมาขึ้นนำอีกครั้ง 2-3 และเกมเยือน Cagliari ที่ยิงประตูชัยให้ทีมบดเอาชนะไปได้ 0-1
“D.Calabria” ที่เริ่มจับบอลนิ่งขึ้น ดูสุขุมขึ้น ฉายออร่าความเป็นผู้นำในทีม ใส่ปลอกแขนกัปตันทีมทำหน้าที่แทน A.Romagnoli ได้ดี เติมเกมบุกมันส์เหมือนเดิม เกมรับก็แน่นกว่าเดิม อาจมีปัญหาอยู่บ้างเวลาเจอแนวรุกคล่องๆ ก็พัฒนากันต่อไป ยังไงดีใจจริงๆ ที่เห็นเด็กปั้นลูกหม้อสโมสรเติบโตมาจนคว้าแชมป์มาด้วยกันได้สำเร็จ
“A.Saelemaekers” ที่ครองบอลได้ติดเท้าขึ้น มีไอเดียการเข้าทำที่ดี แต่ฝีเท้ายังไปไม่ทันความคิดเจ้าตัวเท่าไหร่ ความมั่นใจยังมาๆ หายๆ สิ่งเหล่านี้พัฒนาได้อีกเช่นกัน สำคัญคือเค้าเป็นอีกคนที่มักจะมีอารมณ์ร่วมกับเกมสูงไม่แพ้ใคร
“J.Messias” กลางรุกและปีกขวาชาวบราซิลเลี่ยนที่ยืมมาจาก Crotone จนหลายคนรวมถึงผมแอบยี้เอามาทำไม ดูไม่มีราศีเลย แต่กลายเป็นคิดผิดถนัด เพราะเล่นทีโคตรคึกเลย ยิงประตูให้ทีมได้เยอะกว่าที่คิด 6 ประตู 2 Assists รวมทุกรายการ โดยเฉพาะประตูที่ขึ้นโขกใส่ Atletico De Madrid ช่วยให้ทีมชนะนัดแรกและนัดเดียวใน UCL อย่างน้อยก็แก้แค้นตราหมีได้แล้ว
“A.Florenzi” ถูกยืมมาเช่นกันจาก AS Roma ในฐานะแบ็คอัพซะมากกว่า แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันจริงๆ นอกจากผลงานดี สอดขึ้นมาทำประตูได้ ฟรีคิกแม่น แถมยังมีอารมณ์ร่วมกับเกมสูงสุดๆ อีก ให้ใจกันเหมือนอยู่กับทีมมานาน
5.แนวรับที่พัฒนาจน “แข็งแกร่ง”
"F.Tomori - P.Kalulu" คู่หูที่เข้าขารู้ใจ
- เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้มิลานกลับมาคว้าแชมป์ลีกในรอบ 11 ปีไม่ได้มาจากเกมรุกหรอก “เกมรับ” ต่างหากล่ะ เพราะเอาจริงๆ มิติเกมรุกยังถือว่าน้อยอยู่ เน้นทำเกมริมเส้นซะส่วนใหญ่ เกมไหนตื้อๆ ก็เจาะไม่เข้าเลยก็มี แต่เกมรับของพวกเค้าพัฒนาขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งเหลือเชื่อ
เริ่มจากการมี “S.Kjaer” เข้ามาช่วบขันแนวรับให้แน่น เล่นได้นิ่งตามประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นในวัยเลข 3 ยืนตำแหน่งได้ดี เข้าสกัดแม่น วิ่งดัก ประคอง เช็คไลน์ล้ำหน้า ทำทุกอย่างที่กองหลังตัวกลางต้องทำได้หมดจด น้อยมากที่จะพลาดให้เห็น ยิ่งเข้าคู่กับ “F.Tomori” ก็ลงตัวเลยล่ะ วางใจขึ้นมาได้อีกเยอะ
เข้ามาเติมเต็มจุดอ่อนในยุคมืดของทีม ที่กองหลังมักจะเหวอหรือก่อความผิดพลาดถึงตาย ไม่ว่าใครยืนตรงนั้นก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ พร้อมจะเสียประตูกันได้ทุกเมื่อ
“S.Kjaer” บาดเจ็บหนักในเกมเยือน Genoa
แต่แล้วความเชื่อมั่นที่กลับมาก็เหมือนจะพังทลายอีกครั้ง พอได้เห็น S.Kjaer เจ็บเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าอย่างหนักตั้งแต่ต้นเกมเมื่อตอนเยือน Genoa กลายเป็นปิดเทอมยาวก่อนใคร จนอดห่วงไม่ได้ว่าแนวรับต่อจากนี้จะไหวมั้ยว้า สลับสับเปลี่ยนกันไปมา กัปตันที่อยู่กับทีมมานานอย่าง A.Romagnoli ก็ฟอร์มไม่คงเส้นคงวา ดีก็ดีสุดๆ พลาดก็เสียราคาแบบน่าใจหาย M.Gabbia ก็ยังไม่ถึงขั้น
ทว่านั่นก็กลายเป็นสถานการณ์สร้างวีรบุรุษขึ้นมา เมื่อปิโอลี่ให้โอกาสดาวรุ่งที่เล่นได้ทั้งแบ็คขวาและเซ็นเตอร์อย่าง “P.Kalulu” ได้ลงเล่นมากขึ้น จากตอนแรกที่แฟนๆ ต่างส่ายหัวหันมาถามกันว่า “ใครวะ?” กลายเป็นยิ่งเล่นยิ่งนิ่ง เก่งเกินวัย เข้าสกัดได้เร็ว แนวรุกคู่แข่งยังไม่ทันพลิกบอลก็เข้ามาเคลียแล้ว ฟอร์มดุดันสวนทางกับมาดที่ดูนิ่งๆ เหลือเกิน
พอได้เล่นเข้าคู่กันเรื่อยๆ “F.Tomori - P.Kalulu” แนวรับมิลานก็ยิ่งแน่นปึ้ก คนนึงทุ่มเอาตัวเข้าแลกแบบไม่คิดชีวิต ล้มตัวสกัดได้เยี่ยม ทำสถิติลงเล่นมากที่สุดในบรรดาผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ฤดูกาลนี้ อีกคนเร็ว นิ่ง เข้าถึงตัวคู่แข่ง แนวรับมิลานเลยแข็งแกร่งขึ้นเป็นกอง เสียประตูยากขึ้น โดนยิงจากลูก Open Play ไปเพียง 19 ประตู นับเป็นสถิติที่ดีที่สุดของกัลโช่ในฤดูกาลนี้เช่นกัน
เห็นแล้วก็อดคิดถึงยุครุ่งเรืองที่แนวรับมี A.Nesta – J.Stam คอยยืนเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง มาวันนี้ F.Tomori - P.Kalulu ได้เปิดตำนานคู่หูปราการหลังยุคใหม่ให้ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีอิตาลีแล้ว
6. “M.Maignan” ปราการเหล็กด่านสุดท้าย
เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของทีม ชนิดที่ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำเลยว่าถ้า AC Milan ไม่มีเค้าในฤดูกาลนี้ ไปไม่ถึงแชมป์สคูเด็ตโต้แน่นอน โกลอะไรเหนียวเป็นบ้า ระเบิดฟอร์มเซฟเป็นว่าเล่นจนไม่รู้จะยกช็อตไหนมาเป็นตัวอย่างดี เพราะเซฟเยอะเหลือเกิน หลายๆ ครั้งเวลาคู่แข่งบุกเข้ามาจังๆ จนผมแบบอ๊ากกก!! ไม่รอดแน่ แต่ก็ต้องร้องลั่นหนักกว่าเดิมว่าเฮ้ยยยย!! เซฟได้ไงวะ
1
เซฟลูกยิงเปลี่ยนทิศของ M.Brozovic
อย่างเกมเยือนรังงู ช็อตที่ M.Brozovic หวดเต็มข้อไปแฉลบ P.Kalulu จน M.Maignan แอบเทจังหวะหลงไปแล้วนิดๆ ก็ยังปฏิกิริยาไวพอจะกระโดดกลับมาพุ่งปัดออกไปได้อย่างเหลือเชื่อ
ช็อตเซฟจุดโทษของ M.Salah
ลงเล่นในถ้วย UCL เกมแรกที่ต้องไปเยือน Anfield ของ Liverpool โดนนำ 1-0 หนำซ้ำมาเสียจุดโทษต่ออีก ก็ได้พี่ไมค์เซฟลูกยิงของ M.Salah เอาไว้ ความเสียวไส้ยังไม่จบเมื่อ D.Jota โหม่งซ้ำดาบสอง เฮ้ยยยย!!! เซฟได้อีก อยากจะกราบพี่เค้าเป็นภาษาฝรั่งเศสจริงๆ
คือหลายครั้งไม่ว่าคู่แข่งจะหลุดเดี่ยว ได้เทคตัวขึ้นโขกเน้นๆ จะยิงมุมแคบ ยิงไกล ส่องไกล M.Maignan ก็รับมือได้เกินคาด ทั้งการยืนตำแหน่งที่ดี เจอหลุดมาก็กางแขนขาทุ่มทั้งตัวเพื่อปิดมุมจนสุด มีสมาธิตลอดเวลา โดยเฉพาะปฏิริยาเซฟอันยอดเยี่ยม และมี “เซฟมหัศจรรย์” ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ชนิดที่หากใครไปกดคลิปดูไฮไลท์ผลงานของเค้าใน Youtube เอาแค่ฤดูกาลนี้กับมิลาน ก็มีให้ดูมันส์ๆ เยอะพอกับผู้เล่นเอาท์ฟิลด์เลยทีเดียว สรุปผลงานรวมลงเล่นไปทุกรายการทั้งหมด 39 นัด ทำสถิติคลีนชีทไปถึง 19 นัด นี่ถ้าไม่เจ็บมือจนพักยาวไปร่วมเดือน สถิติคงสูงกว่านี้อีกแน่ๆ
อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในต้นแบบของนายทวารยุคใหม่ที่ใช้เท้าได้เป็นเลิศ จับบอลนิ่ง กล้าเล่นและชัวร์ด้วย การเตะเปิดเกมกกำได้ดีเลยล่ะ ช่วยให้ทีมได้เปรียบ ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลที่บุกเฉือนซามพ์ ก็เป็นเค้าที่มีส่วนเปิดขึ้นไปให้ D.Calabria เติมควบมาสุดเส้นแล้วจ่าย Cut Back ให้ B.Diaz ได้จบสกอร์
Assists ให้ R.Leao ทำประตูชัย
รวมถึงเกมเลกสองที่เจอกัน เค้าก็เป็นคนวางบอลยาวให้ R.Leao ได้ยิง มีชื่อเป็นคนทำ Assist หล่อๆ เลย แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เห็นโกลจ่ายให้เพื่อนยิงแบบนี้คือตอนไหน จากฤดูกาลที่แล้วช่วยให้ Lille คว้าแชมป์ลีกเอิง พร้อมตำแหน่งผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำลีก มาฤดูกาลนี้ช่วยให้ AC Milan คว้าสคูเด็ตโต้ ตามด้วยการคว้า “ถุงมือทองคำ” ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งกัลโช่ เซเรียอาไปครอง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่า M.Maignan คือ “ของจริง” แค่ไหน จนแทบจะลืม G.Donnarumma หมดไปจากหัวใจเลย จุดนี้ต้องให้เครดิตทีมผู้บริหารอย่าง P.Maldini- R.Massara ที่แสดงให้เห็นว่าทีมสำคัญเหนือตัวบุคคลเสมอ ไม่ง้อเด็กงอแงขอค่าเหนื่อยแรงๆ ชิงตัดหน้าคว้านายด่านชาวฝรั่งเศสมาร่วมทัพก่อนเลย นับว่าค่าตัว 15 ล้านยูโรแทบจะน้อยไปด้วยซ้ำกับผลงานของเค้าคนนี้ ฟอร์มโคตรดีและมีอารมณ์ร่วมกับเกมสูง
อีกส่วนอยากให้เครดิต “Dida” อดีตนายด่านระดับตำนานของทีมที่ผันตัวมาเป็นโค้ชผู้รักษาประตู เป็นผู้อยู่เบื้องหลังติวเข้มให้น้องๆ และมักจะยืนหลังโกล์คอยช่วยสั่งการไมค์เป็นประจำ ขอบคุณการสูญเสียบางคนที่หมดใจ ที่ทำให้พบกับคนใหม่ที่ใช่กว่าเหมือนคุ้นเคยกันมานาน
"เกมรุกจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับที่ดีจะทำให้คุณเป็นแชมป์!" ประโยคคลาสสิคนี้สะท้อนเรื่องราวความสำเร็จของมิลานฤดูกาลนี้ได้ดีจริงๆ ทั้ง F.Tomori-P.Kalulu- M.Maignan ล้วนเป็นลมใต้ปีกที่คอยกระพือโอบอุ้มทีมไว้ให้บินไปได้ไกลจนสุดทาง
7. การกลับมาของ “พี่ใหญ่”
11 ปีที่จากไปและกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
- จบฤดูกาล 2011-12 หลังการจากไปของพระเจ้า มิลานไม่เพียงแต่สูญเสียนักเตะระดับเวิลด์คลาสคนท้ายๆ ของทีมในตอนนั้นอย่างเดียว หากแต่ยังสูญเสียจิตวิญญาณแห่งผู้ชนะไปด้วยตั้งแต่นั้นมา สังเกตได้ว่าในยุคมืดนั้นนักเตะหลายคนเล่นกัน สะเปะสะปะ ต่างคนต่างเล่น
ชนะได้ทีก็ด้วยความสามารถเฉาพะตัว หรือถ้าโดนยิงนำขึ้นมานี่แทบจะเตรียมปิดไฟนอนได้เลย ไม่มีลูกฮึด ไม่หือไม่อือ ภาพของขุนพลรอสโซเนรี่ที่พากันเดินคอตกออกจากสนามกลับกลายเป็นภาพที่คุ้นชินตาที่ทำยังไงก็ไม่อยากจะชิน
แต่เมื่อเค้าหวนคืนกลับมาก็เหมือนว่าทีมได้ยาแรงชั้นดีฉีดกระตุ้นเข้าจังๆ เริ่มจากวางตัวให้เด็กๆ มันดูว่าระดับโลกเค้าทำกันยังไง ใครเล่นเหยาะแหยะ ไม่ตั้งใจ แสดงความหงอยให้เห็นเดี๋ยวได้เจอเฮียโบก เข้ามาปลุกใจน้องๆ ในทีมให้กลับมากระหายในชัยชนะอีกครั้ง
กลับมามีพลังและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของสีเสื้อแดงดำที่ตัวเองกำลังสวมใส่ลงไปเล่น เข้ามาทำให้ “เชื่อมั่น” ใน DNA ของความเป็น AC Milan ว่านี่คือทีมที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ทำไมเราจะชนะไม่ได้วะ!?
บอก P.Kalulu ในเกมประเดิมสนามกับ Sparta Prague ศึกยูโรป้าลีก ว่าให้น้องถอดถุงมือกันหนาวออกซะ เริ่มแบบนี้พวกกองหน้าไม่มีทางกลัวนายแน่ๆ ติว R.Leao จนพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด เวลาอยู่ข้างสนามก็จะคอยออกมาช่วยตะโกนสั่งการ กระตุ้นน้องๆ อยู่ตลอด จนผลงานดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
I said, I did - Z.Ibrahimovic
ตั้งแต่การกลับมาฟาดแข้งหลังเบรกโควิดตอนนั้น ซึ่งเค้ากล่าวติดตลกว่าถ้าผมมาร่วมทีมแต่ต้นฤดูกาล ป่านนี้แชมป์ไปแล้ว ฮ่าา อาจฟังดูเหมือนการพูดกวนๆ สไตล์พระเจ้า แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเค้าก็ยังยืนยันความมุ่งมั่นเดิมว่าจะไม่แขวนสตั๊ดจนกว่าจะได้แชมป์อะไรซักอย่างกับมิลานอีกครั้ง และแล้วเค้าก็ทำได้จริงๆ กับการเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 19 นี้ “I said, I did: ผมบอกแล้วนะ และผมทำได้”
จริงอยู่ ผลงานยิง 8 ประตู 3 Assists รวมทุกรายการ อาจเป็นตัวเลขที่ดูน้อย เมื่อมองจากอายุที่ปาเข้าไป 40 ปี สภาพร่างกายก็ไม่เหมือนเดิม ทั้งพละกำลัง ความเร็ว ความแกร่งก็ถดถอยลงไปตามวัย เคยโดนโควิดเล่นงาน(จริงๆ ต้องบอกโควิดติดพระเจ้ามากกว่า) และอาการบาดเจ็บที่แวะเวียนหาบ่อยครั้งจนร้างสนามไปนาน กลับมาลงเล่นทีก็ได้ไม่เต็มเกม ถูกส่งลงไปก็เล่นได้ไม่นานเท่าเดิม
แต่คุณค่าที่เค้ามอบให้ทีมนั้นมีมากมายมหาศาลกว่าตัวเลขใดๆ จะเทียบได้ ทุกครั้งเวลาน้องๆ มองไปแล้วเห็นเฮียคอยดูคอยส่งพลังให้อยู่ ก็เหมือนได้บลัฟขึ้นอีกเป็นกอง วิ่งสู้ฟัดไม่ยั้งจนกว่าจะโค่นอีกฝ่ายได้
ถึงทีมจะมีกัปตันอย่าง A.Romagnoli / D.Calabria ทำหน้าที่สวมปลอกแขนนำทุกคนลงเล่น ทว่าเนื้อแท้จริงๆ แล้ว Z.Ibrahimovic นี่แหละคือผู้นำของมิลานทั้งในและนอกสนามอย่างแท้จริง ประโยคที่เค้าบอกทุกคนในห้องแต่งตัวยังคงตราตรึง
“Get everybody in here, Guys, stay calm. I'm not about to say goodbye. From day one when I arrived - then others arrived afterwards - very few believed in us. But we understood that we needed to make sacrifices, suffer, believe and work. When this happened, we became a group. And when you're a group, you can achieve the things we've achieved. Now, we're the champions of Italy
ตามทุกคนมานี่หน่อย พวกมึงใจเย็น กูไม่ได้จะมาบอกลา จากวันแรกที่กูมาที่นี่และคนอื่นๆ ตามมา น้อยคนที่จะเชื่อในตัวพวกเรา แต่เราต่างเข้าใจว่าอะไรที่ต้องเสียสละ ต้องเหนื่อยยาก เชื่อมั่น และลงมือทำ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น พวกเราได้เติบโตเป็นกลุ่ม และเมื่อเรารวมกันเป็นกลุ่มกันได้ เราก็ทำสำเร็จในสิ่งที่เราคว้ามาได้ ตอนนี้เราคือแชมป์ของอิตาลี
First of all, I want to thank all the players. We also want to thank Paolo, Ricky and Ivan. It hasn't been easy but we've been a real group this season.
At the beginning of the campaign no one believed in us but though our principles we became stronger. I'm very proud of all of you. Now, do me a favor and celebrate like champions because it isn't Milan than belongs to AC Milan... Italy belongs to AC Milan!
ก่อนอื่นผมอยากขอบคุณนักเตะทุกคน และขอบคุณเปาโล, ริคกี้และอีวาน ฤดูกาลนี้มันไม่ง่ายเลย แต่เรามีความเป็นทีมกันจริงๆ ทั้งที่ตอนต้นฤดูกาลแมร่งไม่มีใครเชื่อว่าเราจะทำได้ แต่ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นแหละที่มันได้ทำให้เราแกร่งขึ้น กูภูมิใจในตัวพวกมึงทุกคนนะ เอาล่ะ! ช่วยไรกูอย่าง มาฉลองกันอย่างแชมเปี้ยนเถอะ เพราะเมืองมิลานไม่ได้เป็นของเอซี มิลาน แต่อิตาลีต่างหากที่เป็นของมิลานโว้ยยยยย!!”
Z.Ibrahimovic
“Zlatan keeps us safe. Even watching him on the bench is worth more than a thousand words. He is a true champion who thinks about others first and then about himself. He took our hands like children. I hope he will still be with us. He raises our level and gives us confidence, both on and off the pitch:
สลาตันทำให้เรารู้สึกปลอดภัย แม้แต่ตอนที่มองเค้าอยู่ข้างสนามมันก็โคตรมีความหมายยิ่งกว่าถ้อยคำไหนๆ เป็นพันคำ เค้าคือแชมเปี้ยนตัวจริง คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ จับมือพวกเราไว้เหมือนเป็นพี่คอยประคองน้อง ผมหวังว่าเค้าจะอยู่กับเราต่อไป เค้าเข้ามายกระดับและมอบความเชื่อมั่นให้พวกเรา ทั้งในและนอกสนาม
S.Tonali
“It is a great honor for me to be able to rewrite the history of Milan with him. Ibra is a few years older than me. When I started playing professional football, Ibra was my point of reference. His mentality is crucial to this team. When he speaks, everyone listens and no one gets distracted.
Even after the game, he had the opportunity to speak to us. He is like the alpha male. He congratulated every member of the team. He reminds me of Braveheart sometimes. Staying in the film metaphor, I could be a gladiator in this group (laugh).Ibra is a great player and person. Personally, he is like an older brother:
สำหรับผม ถือเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้ร่วมจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของมิลานร่วมกับเค้า อิบราแก่กว่าผมไม่กี่ปี ตอนผมเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพ เค้าคือแบบอย่างที่ผมอยากไปให้ถึง พลังใจของเค้าสำคัญกับทีมมาก เวลาที่พูดมา ทุกคนพร้อมตั้งใจฟัง
แม้แต่หลังจบเกม เค้ามีโอกาสที่จะคุยกับพวกเรา เค้าเป็นเหมือนจ่าฝูงของทีม แสดงความยินดีกับทุกคนในทีม บางครั้งก็คอยเตือนผมให้เข้มแข็ง กล้าแกร่ง ถ้านี่คือหนัง ผมคงเป็นนักรบกลาดิเอเตอร์ไปแล้ว(ฮ่า) อิบราคือยอดนักเตะและยอดคนอย่างแท้จริง โดยส่วนตัวนะ เค้าเป็นเหมือนพี่ชายผมเลย
O.Giroud
Ibrahimovic has been very important for us. He brought mentality, quality, intelligence, personality that a young team needed. He is still a point of reference today. His teammates have been equally good at following him:
อิบราฮิโมวิชเป็นคนสำคัญสำหรับพวกเรามาโดยตลอด เค้านำเอาหัวจิตหัวใจนักสู้ คุณภาพ ความสามารถ บุคลิกผู้ชนะที่น้องๆ ในทีมต้องการ เค้ายังคงเป็นตัวอย่างที่ดีมาจนวันนี้ น้องๆ โชคดีที่ได้ติดตามพี่ใหญ่อย่างเค้า
Stefano Pioli
จุดนี้อยากขอบคุณเฮียจริงๆ ที่ตั้งแต่ย้ายไป นอกจากไม่เคยว่าทีมแล้ว ยังคงเชื่อมั่นในตัวทีมเสมอมา กลับมาร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ต้องลงเล่นแบบไม่มีเอ็นไขว้หน้าเข่ามาตลอด 6 เดือน ใจสู้และรักทีมมากจริงๆ จนถึงวันนี้ที่ทุกสิ่งสมหวังดั่งตั้งใจ กับชายผู้พาทีมคว้าแชมป์เมื่อ 11 ปีก่อน
เค้าได้กลับมาปลุกชีพเปลวไฟแห่งปีศาจแดง-ดำให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ว่าแล้วก็หยิบซิการ์มาสูบเสพรสชาติความสำเร็จนี้อีกซักหน่อยแบบคูลๆ เท่ๆ ขอให้ได้ลงเล่นลุยไปด้วยกันต่ออย่างที่หวังในฤดูกาลหน้านะครับ
8. หัวจิตหัวใจของทุกคนในทีม
- อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ AC Milan กลับมาพุ่งชนความสำเร็จอีกครั้งนั่นคือบรรยากาศเดิมๆ ที่ทีมขาดหายไปนานเหลือเกิน ทั้งการกลับมาจุติของพระเจ้าที่ติดบลัฟให้น้องๆ อย่างที่เล่าไป การบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยมของ P.Maldini-R.Massara ที่คัดสรรเฉพาะนักเตะที่เหมาะกับสีเสื้อตัวนี้จริงๆ ทั้งในด้านของราคา ฝีเท้า และตัวตน ใช้เงินอย่างชาญฉลาด
รวมถึงกลุ่มทุน Elliott ที่ค่อยๆ ฉุดสถานะการเงินของทีมจากติดลบเป็นหนี้ก้อนโตให้กลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ พาทีมกลับมาจากขุมนรกที่เจ้าของจีนแดงเคยสร้างชื่อเสียไว้ รอดูฟ้าใหม่อีกครั้งกับกลุ่ม RedBird Capital แล้วครับตอนนี้
การทำงานหนักของ “Stefano Pioli” ที่ก้มหน้าก้มตาพัฒนาทีมต่อไปอย่างมุ่งมั่นไม่ว่าต้องพบเจอกับสถานการณ์กดดันตึงเครียดแค่ไหนทั้งในและนอกสนามที่ช่วงนึงมีข่าวโหมกระหน่ำพร้อมกระแสเรียกร้องถึง Ralf Rangnick ที่เคยได้ยินใครหลายคนยกให้เป็นปรมาจารย์ลูกหนัง จากผลงานในรั้วโรงละครแห่งความฝัน ถึงตอนนี้เชื่อว่าแฟนบอลมิลานทุกคนคงได้คำตอบกันหมดแล้ว ขอบคุณงามๆ อีกครั้งที่จารย์ปฏิเสธทีมผมนะครับ
จนได้ตระหนักว่าคนที่ใช่จริงๆ ก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง ตลอดเวลากว่า 3 ปีที่อยู่กับทีมมา ปิโอลี่ไม่เพียงแต่เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต พัฒนาแท็กติคการเล่นให้หลากหลายขึ้น เน้นความชัวร์มากขึ้น อย่างเกมส่งท้ายกับ Sassuolo ก็รีบถอด S.Tonali ที่โดนใบเหลืองในครึ่งแรกออกเลย คอยตะโกนกระตุ้นลูกทีมจากข้างสนามตลอดเวลา
เค้ายังเป็นทั้งโค้ชทั้งเพื่อนให้ลูกทีม สังเกตได้ว่านักเตะทุกคนต่างเคารพรักทั้งในสนามซ้อม สนามจริงและในม้านั่งสำรอง โมเม้นต์ที่ต่างสวมกอด ตบไหล่ D.Calabria กำลังยืนให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังพิธีรับถ้วยแชมป์ ก็เจอบอสเดินเข้ามาหยอกล้อ ยิ้มแย้มกันน่ารัก ตื่นเต้นกับ S.Tonali อยู่ข้างสนามระหว่างที่เวลากำลังจะหมดและใกล้เวลาเป็นแชมป์
เจอ T.Hernandez เปิดขวดแชมเปญฉลองใส่ก็ยืนเต้นลิงโลดกับลูกทีมอย่างเป็นกันเอง คอยซัพพอร์ตเป็นพลังให้กันเสมอมา
และอีกสิ่งสำคัญคือ “หัวจิตหัวใจแห่งนักสู้” ของทุกคนในทีม ที่กลับมามีความกระหายในชัยชนะอีกครั้ง จากที่เคยเอาแต่แพ้ทีมใหญ่ด้วยกันแทบจะตลอด มาวันนี้ลงไปหวดใส่อย่างไม่กลัวอีกแล้ว เพราะกลับมาเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้งว่าพวกกูทำได้ นี่คือ "AC Milan" ไม่ได้น้อยหน้ากว่าใครที่ไหน ถลกหนังงูใหญ่ตายคาที่ กระชากปีกอินทรีฟ้าขาวและหักเขี้ยวหมาป่าแบบไปกลับ
โค่น Atalanta ที่ตัวเองเคยแพ้ทางได้แบบหมดจดทั้งเหย้าเยือน กลับไปเฉือน Napoli คืนถึงถิ่น เรียกได้ว่าเก็บทีมใหญ่เรียบเกือบหมด และสยบทีมกลางทีมเล็กได้มากขึ้น เทียบกับเมื่อก่อนที่ใจดีแจกแต้มเค้าเป็นว่าเล่น ฤดูกาลนี้ก็ยังมีพลาดทำแต้มหกให้เห็นแบบไม่ควรพลาดอยู่
แต่ถือว่าดีขึ้นมาก ถ้าปรับตรงนี้และเรื่องการเล่นให้ละเอียดขึ้นได้จะยิ่งเพิ่มโอกาสสำเร็จขึ้นอีกแน่ๆ เพราะ Inter Milan-Juventus คงไม่ใจดีพลาดให้แบบนี้อีกบ่อยๆ
ซึ่งความใจสู้ในที่นี้ยังรวมถึงการที่พวกเค้ากลับมาเป็น
มิลานทีมเดิมที่เล่นกันอย่างดุดัน เอาจริงเอาจัง รุกก็ลุยไม่ยั้ง รับก็ถอยลงมาช่วยกันขึงเชือกให้แน่นจนสุดในยามที่ต้องเน้นผลสกอร์ไว้ หรือยามไหนที่ต้องบุกเพื่อเอาชนะให้ได้ก็จะลุยจนสุด เราเลยได้เห็นมิลานกลับมายิงในช่วงนาทีบาปได้มากขึ้น อย่างเกมบุกชนะ Spezia และ Lazio แบบไล่บดจนหยดสุดท้าย
และเกมที่โดนยิงนำไปก่อนก็จะสู้เพื่อกลับมาให้ได้ไม่ว่าเสมอหรือชนะอย่างน้อยก็ให้รู้ว่าพวกกูสู้ ไม่มีขวัญเสียง่ายเหมือนก่อน ตัวอย่างก็เกมบุกชนะ Bologna ที่พวกเค้าบุกนำ 0-2 แล้วโดน 2-2 ก็ยังฮึดรัวกระสุนอีกครั้งจนเบียดชนะไป 2-4
บุกไล่ตีเสมอในเกมเยือน Udinese ช่วงทดเจ็บด้วยสกอร์ 1-1 เจอน้องใหม่จอมแจกแต้มอย่าง Salernitana สู้กลับมานำ 2-1 ถ้าเป็นแต่ก่อนคงขวัญกระเจิงกันหมดแล้ว เวลาโดนทีมเล็กกว่าเยอะมาลูบคมแบบนี้ ยังดีที่ได้ A.Rebic ยิงตีเสมอช่วงท้ายเกม
เกมสุดท้ายกับของแสลงอย่าง Sassuolo ที่แฟนบอลต่างแอบหวั่น พอถึงเวลาแข่งจริงที่ไหนได้ ไม่คิดเลยว่าพวกเค้าจะเล่นกันคึกขนาดนี้ วิ่งดีดกันเหมือนม้า วิ่งรับส่ง บุกกระหน่ำสร้างโอกาสเข้าทำตลอด ยิงแล้วต้องยิงอีกให้ชัวร์ 0-2 แล้ว 0-3 ก็แล้วยังบุกต่อ นี่ถ้าเจ้าบ้านไม่ได้ A.Consigli ช่วยเซฟไว้สกอร์ไหลไปกว่านี้อีกเพียบแน่
ทั้งโค้ชและนักเตะทุกคนต่างมีอารมณ์ร่วมไปกับเกม ไม่เว้นแม้แต่ซุ้มมานั่งสำรอง อย่าง A.Florenzi ที่มักจะออกมายังข้างสนาม เถียงจารย์ ช่วยโวยแทนเพื่อนๆ โดยเฉพาะช็อตที่เดินดุ่ยๆ
ออกมาด่างูพิษอย่าง H.Calhanoglu ที่กำลังเอามือป้องหูใส่แฟนบอลมิลาน หลังอาสาลุกมายิงจุดโทษทีมเก่าเอง ถึงตอนนี้ไหนล่ะถ้วยสคูเด็ตโต้ของมึง อิอิ ยอมรับนะว่าพอย้ายไปห่มหนังงูยักษ์แล้วเจ้าตัวเล่นดีขึ้นมาก ดูเข้ากับรักครั้งใหม่ได้ทันที ผลงานยิงจ่ายรัวๆ แต่ก็นั่นแหละ You’re a good midfielder but not a man ได้อีกสิบแชมป์ก็ไม่มีวันได้รับการยอมรับจากใจคนดูจริงๆ ไม่ต้องแฟนมิลานหรอก แฟนบอลอื่นเค้าก็เห็นกัน
นอกจาก A.Florenzi ก็มี B.Diaz ที่มาด้วยสัญญายืมตัวเช่นกัน แต่ยังดูรักทีมมากกว่าบังคานคนทรยศซะอีก สังเกตจากสีหน้า แววตา และใจสู้ของเจ้าจี๊ดจิ๋วที่กล้าเลี้ยงกล้าลุย อย่างเกมเยือน Inter Milan ที่เค้าบุกขึ้นมาตวัดยิงและบอลกระดอนไปเข้าทาง O.Giroud ยิงตีเสมอ 1-1
เจ้าเด็กเลือดกระทิงคนนี้ก็ชี้นิ้วไปที่ตราสโมสร ร้องตะโกนไปบนอัฒจรรย์ S.Tonali ที่แสดงให้เห็นว่าแพสชั่นนั้นซื้อด้วยเงินไม่ได้ บอกว่ารักมั่นในทีมก็ทำแบบนั้นจริงๆ
อย่าง Z.Ibrahimovic ที่อาจดูปากร้าย น่าหมั่นไส้ ในสายตาสื่อและคนทั่วไป ย้ายทีมเป็นว่าเล่นแบบจบไม่ค่อยสวยซักทีม แต่ AC Milan คือ 1 ในไม่กี่ทีมที่เค้าไม่เคยต่อว่า แม้ยามย้ายออกไป และเป็นทีมเดียวที่เค้ากล้าพูดเต็มปากว่าที่นี่คือ “บ้านหลังที่สองของตัวเอง”
หรือโมเม้นต์มรดกความสำเร็จของตระกูล Maldini จากรุ่นปู่ สู่รุ่นพ่อและลูกในที่สุด สายตาของพ่อที่เฝ้ามองลูกชายที่เติบโต ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่ ทำผลงานยิง 1 ประตูในเกมบุกชนะ Spezia ได้โอกาสบ่มเพาะฝีเท้า ซึมซับแนวคิดดีๆ และร่วมศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกพี่ๆ
บรรยากาศที่บรรดาแฟนบอลต่างพากันแห่มาต้อนรับนักเตะของพวกเค้า ไม่ว่าจะเกมเหย้า เกมเยือน ก็จะมาให้กำลังใจกันเสมอ ยิ่งในเกมสุดท้ายที่พากันมาเชียร์กันอย่างคับคั่งจนถึง 3 ใน 4 ของ Mapei Stadium จนเหมือนเป็น San Siro ขนาดย่อม ส่งเสียงเชียร์กันดั่งสนั่นข่มขวัญกองเชียร์และนักเตะ Sassuolo เจ้าบ้านจนเล่นไม่ออก
ระหว่างทางอาจมีสะดุดล้มบ้าง
โดนจารย์ตัดสินผิดพลาดเล่นงานอย่างเจ็บแสบบ้าง
พลาดทำแต้มหกเองบ้าง
แต่ทั้งทีมสต๊าฟโค้ชและนักเตะ AC Milan
ก็ยังคงกอดคอ จับมือสู้ ฟันฝ่าด้วยกันมาได้
ทำให้เห็นว่าทีมที่เป็นแชมป์
ไม่จำเป็นต้องเล่นสวยงามหมดจดไปทุกนัดหรอก
ขอเพียงรักษามาตรฐาน ความนิ่ง เบียดชนะไปได้เรื่อยๆ
เหมือนหลายเกมในฤดูกาลนี้ที่พวกเค้ามีรูปเกม
ที่อึดอัดแต่ยังคว้าชัยไปได้ในที่สุด
จะเฉือนชนะ จุดโทษ อีกฝ่ายยิงตัวเอง
เรายิงทดเจ็บหรืออะไรก็แล้วแต่
ขอแค่ลุยเพื่อชนะให้ได้ไว้ก่อน
เล่นดีเล่นสวยแล้วเสมอหรือแพ้
สู้เล่นแย่แล้วเบียดชนะได้ 3 แต้มกลับมาก็ยังดีกว่า
หรือถ้าได้ทั้งเล่นสวยแล้วชนะก็ยิ่งดีใหญ่
ยิ่งใน 19 นัดหลังสุดรวมทุกรายการ
พวกเค้าแพ้ไปแค่นัดเดียวในบอลถ้วยเลกสอง
ที่โดน Inter Milan รัวกระหน่ำไป 3-0
โดยหนล่าสุดต้องย้อนไปถึงเกมลีกที่แพ้คาบ้าน
ให้ Spezia 1-2 เกมที่ผู้ตัดสิน
เหมือนเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือความสายสัมพันธ์ในทีมที่
กลมเกลียวกันหนักแน่นเสมอมา
อย่างตอนที่ M.Maignan ทำ Assists ให้ R.Leao ยิง
น้องมันก็ถ่อจากหน้าประตูมากอดขอบคุณพี่
โดยมีทุกคนพร้อมใจกันมายินดีกับไมค์ด้วย
การกลับมาของเหล่าตำนานอย่าง
P.Maldini, D.Bonera และ Dida
ที่มาช่วยสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่ไปด้วยกันอีกครั้ง
ยิ่งทำให้อบอุ่นหัวใจไปด้วยว่าครอบครัวนี้ยังคง
รักและผูกพันกันดีเฉกเช่นวันวาน
เรื่องราวระหว่างทางที่ผ่านมา
ทั้งปัญหาภายในและนอกสนาม
การเล่นไม่เอาอ่าว หาตัวเองไม่เจอ
เคยหล่นไปใกล้โซนตกชั้น แพ้รัวๆ ก็เคย
จนค่อยๆ รวมพลังกันใหม่พากันขึ้นมา
จากท้ายมากลางตารางสู่การคว้า
ตั๋ว UEL และ UCL เวทีที่คุ้นเคย
จนมาวันนี้ที่สำเร็จกลับมาคว้าสคูเด็ตโต้อีกครั้ง
แน่นอนยังมีอะไรอีกมากให้
ต้องปรับปรุงและพยายามพัฒนาต่อ
ทั้งประสบการณ์ในเกมยุโรปที่ต้องมาจูนกันใหม่
เพิ่งได้กลับมาเล่น UCL ฤดูกาลแรก
ก็อยู่ Group of Death กับ
Liverpool, Atletico De Madrid และ FC Porto
จมบ๊วยตกรอบไปตามระเบียบ
แต่คุณค่าและประสบการณ์ที่ได้นั้นมากมาย
ตอนนี้การได้กลับมาแข่งรายการนี้ต่อเนื่องคือสิ่งสำคัญ
ที่จะช่วยให้ทีมพัฒนาต่อไปได้ กลับมาเป็นยักษ์แห่งยุโรป
และระดับโลกที่ทุกคนต่างคุ้นเคยได้อีกครั้ง
ด้วยทีมพลังหนุ่มที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 26 ปี
เชื่อเหลือเกินว่ายังเก่งขึ้นได้อีกเยอะ
เม็ดเงินจากความสำเร็จที่ได้มาก็จะช่วย
เป็นแม่เหล็กดึงดูดแข้งดัง แข้งฝีเท้าดี
มาร่วมทีม เสริมขุมกำลังเชิงลึกให้มีคุณภาพ
พร้อมไปต่อได้ในทุกรายการต่อจากนี้
รสชาติแห่งการรอคอยที่ผ่านอะไรมาเยอะ
จนถึงช่วงเวลาที่กลับมาประสบความสำเร็จ
มันช่างอบอุ่นหัวใจ เปี่ยมสุขเหลือเกิน
ขอบคุณปิโอลี่ ทีมสต๊าฟโค้ชและนักเตะทุกคนจากใจ
ที่ทำงานกันมาอย่างหนักจนมาถึงวันนี้
วันที่พวกเค้าทำได้แล้วจริงๆ
แม้แต่โค้ชและอดีตนักเตะยังพร้อมใจกันมาร่วมยินดี
เพราะ “AC Milan ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นผู้คน”
เป็นความสุข ความทรงจำที่เปี่ยมล้น
ยังคงไหลวน พรั่งพรูอยู่ในใจมากมาย
ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีร้าย ก็ดีใจจริงๆ ที่เลือกมา
เชียร์ทีมนี้ตลอดมาและจะคอยจับมือเคียงข้างกันตลอดไป
ขอบคุณ Radu ด้วยนะ คริคริ
We believed in achieving our goal to the very end.
Two matches turned out to be crucial:
in the second round against Inter and Lazio.
Winning the last six games of the season,
despite the worse schedule,
showed our mental strength.
This success is amazing.
This is one of the best things that can happen in life
เราเชื่อมั่นว่าจะทำได้ตามเป้าในที่สุด
เกมเลกสองที่เจอ Inter กับ Lazio นั่นคือจุดเปลี่ยน
รวมถึงการคว้าชัยรวดใน 6 เกมหลังสุดของฤดูกาล
แม้ตารางการแข่งจะแอบโหดร้าย
แต่เราก็แสดงให้เห็นถึงหัวจิตหัวใจอันแข็งแกร่ง
ความสำเร็จครั้งนี้มันน่าทึ่งจริงๆ
เป็นหนึ่งในโมเม้นต์ที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตเลย
Stefano Pioli
Now We’re the Champ19ons of Italy!! 🏆🇮🇹🇮🇹🎉🎉
ขอบคุณภาพจาก AC Milan
โฆษณา