30 มิ.ย. 2022 เวลา 05:56 • ดนตรี เพลง
Bring Me The Horizon นี่คือชื่อวงร็อกแห่งยุคปัจจุบันที่จะให้บอกว่าพวกเขาคือวงระดับโลกก็กล้าเรียกได้เต็มปากอย่างแน่นอน พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่และขวัญใจของผู้นิยมชมชอบดนตรีอันหนักหน่วงได้ทั่วโลก ทุกเพลง ทุกอัลบั้มต่างได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ
แต่เส้นทางการไต่ระดับไขว้คว้าความสำเร็จใช่ว่าจะมาจากโชคช่วย แต่มันมาจากการวางแผนของสมาชิกวงรวมไปถึงค่ายเพลงที่มีส่วนช่วยผลักดันให้อดีตวงเล็ก ๆ ในเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นมากลายเป็นวงระดับโลกได้ตามที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งมันก็มาพร้อมความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเลือกที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีมาแทบจะทุกอัลบั้ม ถือเป็นโจทย์ที่โคตรเสี่ยงตายแบบหาตัวแสดงแทนไม่ได้ของจริง
แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Bring Me The Horizon ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ทาง Unlockmen จัดการถอดรหัสมาให้ดังนี้
1.ความเป็น ICONIC ของ OLIVER SYKES
คำว่า "Iconic" ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่ Oliver Sykes นักร้องนำของวงสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ และมันมาจากความพยายามของตัวเขาเองแทบจะ 100%
เริ่มแรกเลยความได้เปรียบของวง Bring Me The Horizon คือการมีฟรอนต์แมน (หรือนักร้องนำ) หน้าตาดี, มีความสามารถในการร้องเพลง, มีรอยสักที่โคตรเท่ถูกใจชาวร็อก, มีการแต่งตัวเข้ากับแฟชั่นทุกยุคทุกสมัย แถมยังรู้จักวิธีโปรโมตตัวเองด้วยแบรนด์สินค้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง
ด้วยองค์ประกอบที่ครบแบบนี้มันจึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกที่จะเข้ามาติดกับด้วยภาพลักษณ์ก่อนที่จะเข้ามารู้จักตัวเพลง และสุดท้ายบรรดาคนเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นแฟนเพลงในที่สุด
2.เปลี่ยนสไตล์แต่ไฉไลเสมอ
อย่างที่ได้เกริ่นไปตั้งแต่ตอนต้นว่าพวกเขาเปลี่ยนแนวแทบจะทุกอัลบั้ม การทำแบบนี้มันส่งผลให้หลาย ๆ วงตายอนาถมาแล้วมากมาย บางวงก็ทำให้แฟนเพลงหนีหายเอือมระอากันไปเลยทีเดียว
แต่สำหรับ Bring Me The Horizon ก้าวข้ามเรื่องดังกล่าวมาได้อย่างสุดคูล แถมยังเพิ่มแฟนเพลงมาได้ตลอดจากทุก ๆ อัลบั้ม ไล่ตั้งแต่ "EP.This Is What the Edge of Your Seat Was Made For" ที่เล่นในสไตล์แมตส์คอร์/เมทัลคอร์ กับซาวด์ที่ดิบเกินบรรยาย, ตามมาด้วยอัลบั้ม "Count Your Blessing" ที่มาในสไตล์เดธคอร์แบบดุดัน จนมาถึง "Amo" ในสไตล์อิเลกทรอนิกส์ป๊อป/ร็อก จนล่าสุด "Post Human : Survivor Horror" ที่มาในรูปแบบโมเดิร์น เมทัลคอร์
แม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีไปมาจนแฟนเพลงแทบจะตามไม่ทัน แต่ในทุก ๆ อัลบั้มพวกเขาก็ใส่ใจรายละเอียด เรียบเรียงสร้างสรรค์งานออกมาได้อย่างมีมาตรฐานที่สูงและน่าฟังเสมอ ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกตลอด ไม่เคยโดนคว่ำบาตรจากแฟนเพลงเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะมีบ้างจนไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของวง
นับว่าเป็นจุดที่น่าชื่นชมของวง Bring Me The Horizon ที่กล้าจะลองทำอะไรใหม่ ๆ โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบความสำเร็จเดิม ๆ
3.ใช้ LINKIN PARK เป็นแรงบันดาลใจ
.
วงดนตรีทุกวงล้วนมีอิทธิพลและแรงบันดาลใจเป็นของตัวเอง ซึ่ง Bring Me The Horizon ก็ถูกจัดรวมอยู่ในหมวดหมู่นั้นเช่นกัน และวงดนตรีที่สร้างพลังให้กับวงพวกเขาโดยตรงนั่นคือ Linkin Park
จุดสังเกตแรกคือการเปลี่ยนแปลงซาวด์ของวงที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดไม่ต่างจากวง Linkin Park ที่มักจะมีการทดลองซาวด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอในทุก ๆ อัลบั้ม โดยเฉพาะอัลบั้มสุดท้ายก่อน Chester Bennington จะเสียชีวิตนั่นคือ "One More Light" ที่มีการเปลี่ยวแนวทางมาเป็นอิเลกทรอนิกส์ป๊อป/ร็อก แบบเดียวกับอัลบั้ม "Amo" ของ Bring Me The Horizon เป๊ะ ๆ
เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังหยิบเอาวิธีการเรียบเรียงดนตรีและเมโลดี้การร้องมาจากวง Linkin Park ซึ่งมันคือข้อดีตรงที่ว่าทุกเพลงมันจะเต็มไปด้วยท่วงทำนองที่ติดหูทำให้ฟังง่ายและเข้าถึงง่ายขึ้นแม้ตัวเพลงจะหนักก็ตาม ซึ่งตัว Oliver Sykes เองก็ยอมรับว่ามีวง Linkin Park เป็นแรงบันดาลใจโดยตรง
4.ขยายฐานแฟนเพลงด้วยการร่วมงานศิลปินต่างแนว
ข้อนี้น่าจะเป็นวิธีที่ใครหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมันไม่ใช่แค่ศิลปินเมืองนอกที่นิยมทำกัน แต่ในไทยก็มีให้เห็นกันอยู่เป็นประจำ
Bring Me The Horizon เองก็เลือกวิธีดังกล่าวมาใช้เพื่อขยายฐานแฟนเพลงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำมาแจมกับวงหรือส่งนักร้องไปแจมกับศิลปินคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น Ed Sheeran, Babymetal, Machine Gun Kelly, Yungblud, Olivia O’Brien หรือ Sigrid เป็นต้น
การเคลื่อนไหวลักษณะนี้นอกจากจะได้แชร์แฟนจากศิลปินที่ไปร่วมงาน ยังเป็นการเลี้ยงชื่อเสียงของตัวเองให้อยู่ในกระแสและพื้นที่สื่อตลอดเวลาอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือภาพที่เราเห็นได้ชัดมากตลอดระยะเวลากว่า 18 ปีที่ Bring Me The Horizon โลดแล่นอยู่ในวงการ และด้วยการที่เราเดาใจไม่ได้เลยว่าอัลบั้มต่อไปพวกเขาไปในทิศทางไหน มันก็ทำเรายิ่งรู้สึกสนุกที่จะติดตามผลงานของพวกเขาอยู่เสมอครับ
โฆษณา