30 มิ.ย. 2022 เวลา 08:36 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องจริงที่อยู่ใกล้ตัว แต่มักถูกมองข้าม
สามสี่วันก่อน เกิดความผิดพลาดเรื่องการงาน ทำให้จิตใจว้าวุ่นไม่ยอมสงบลงสักที เมื่อวานหลังอาหารเย็น พ่อโทรมาหาแล้วบอกว่า "พรุ่งนี้พ่อจะเอาข้าวสารกับผักไปให้ ที่บ้านปลูกเอง ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อข้างนอก........"
พ่อยังไม่ทันพูดจบ จิตใจที่ว้าวุ่นอยู่แล้วเลยโพร่งออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อปนความรำคาญว่า "อากาศหนาวซะขนาดนี้ ขอร้องเลย อย่าทรมานตัวเองได้เปล่า ของที่จะหิ้วมามันจะสักกี่สตางค์กันเชียว"
ภรรยาที่ยืนเช็ดโต๊ะอยู่ข้างๆ รู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมณ์นัก รีบเข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปพูดแทน หล่อนรีบเออออกับพ่อพร้อมกล่าวคำขอบคุณไม่ขาดปาก
หลังวางโทรศัพท์ ภรรยาหันมาตำหนิว่า "พ่อพี่อุตส่าห์จะหิ้วข้าวหิ้วผักมาให้ เป็นความปรารถนาดีของพ่อแท้ๆ แล้วพี่พูดจาแบบนั้นกับพ่อได้ไง ลองคิดถึงตอนที่พี่สื่อสารหรือปฏิบัติตนกับหัวหน้าสิ พี่ควรจะเอารูปแบบเหล่านั้นมาใช้กับพ่อบ้าง อย่างน้อยได้สักครึ่งก็ยังดี"
เออ มาลองคิดๆดูก็จริงอย่างที่หล่อนวิจารณ์ พออยู่กับหัวหน้า การพูดการจาต้องระวังทุกคำพูด ทั้งเคารพทั้งยกย่อง แต่พอพูดกับพ่อ มันช่างต่างกันลิบลับ สงสัยพ่อจะคุ้นเคยกับนิสัยแย่ๆแบบนี้ของผมไปแล้ว เลยไม่เคยถือสา
ชอบกล่าวหาว่าภรรยามักบ่นเพ้อเจ้อไร้สาระไปวันๆ แต่คำพูดเมื่อสักครู่มันช่างกระแทกหัวใจได้ตรงเป้าจริงๆ เอานะ ไอ้ที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยมันไป จากนี้ไปจะต้องรู้จักพูดดีทำดีกับพ่อแม่ยิ่งๆขึ้น
วันรุ่งขึ้น พ่อฝ่าความหนาวเหน็บมาถึงบ้าน ผมรีบชงชาร้อนๆแล้วรินใส่ถ้วย สองมือประคองถ้วยชานั้นมายืนโค้งตัวอยู่หน้าพ่อ พ่อตกใจเล็กน้อย พอตั้งสติได้ พ่อรีบลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือทั้งสองมารับชาถ้วยนั้นไป
พอพ่อดื่มชาถ้วยนั้นไปได้สักครึ่ง ผมกำลังจะยื่นมือเพื่อไปหยิบชาถ้วยนั้นไปเติมให้เต็มอีก แต่พ่อก็รีบจับมือผมกุมไว้แน่น ยังไงก็ไม่ยอมให้ผมจัดการให้
พ่อเป็นคนติดบุหรี่ สังเกตว่าระหว่างที่นั่งคุยกัน มือพ่อยกขึ้นไปจับกระเป๋าเสื้อที่ใส่ซองบุหรี่ไว้ถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้ดึงบุหรี่ออกมา แล้วหดมือกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมรู้ว่าพ่อเกรงใจผมเรื่องสูบบุหรี่ในบ้านผม แต่พอผมเห็นพ่อยกมือขึ้นไปจับกระเป๋าเสื้ออีกครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมรีบหยิบไฟแช็คจากลิ้นชักโต๊ะข้างโซฟา แล้วบอกพ่อว่า “อยากสูบก็สูบเลย ไม่เป็นไรหรอก”
พ่อยิ้มด้วยความเก้อเขิน สายตาส่อแววลังเล จนกระทั่งผมกดไฟแช็คแล้วมีเปลวไฟพุ่งออกมา พ่อถึงได้ดึงบุหรี่ออกมาจากซอง
ตอนผมยื่นมือไปจุดบุหรี่ให้พ่อ สังเกตว่ามือพ่อสั่นเล็กน้อย
หลังอาหารเที่ยง พ่อจะกลับบ้านแล้ว พ่อตั้งใจจะขึ้นรถเมล์แล้วไปต่อรถไฟที่สถานี แต่ผมจัดการโทรเรียกแท็กซี่ให้พ่อนั่งไปสถานีแทน
พอแท็กซี่ขับมาจอดต่อหน้าพ่อ ผมรีบก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้พ่อ ตอนพ่อจะก้มตัวก้าวขึ้นรถ ผมรีบกางแขนไปกันขอบบนของประตูรถไว้ กลัวว่าหัวพ่อจะไปชนขอบประตู พ่อคงตกใจกับการกระทำที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้ของผม ทำให้รอยยิ้มน้อยๆที่มีอยู่บนใบหน้าหยุดชะงักไปแป๊ป ก่อนที่จะส่งแววตาที่ฉงนปนความประทับใจมองหน้าผม แล้วพ่อก็ก้าวขึ้นรถไป
ตอนเย็นสี่โมงกว่า แม่โทรมาบอกว่าพ่อกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่เล่าต่อว่า ดูพ่อจะดีใจมีความสุขมาก ดีใจจนคล้ายเด็กไปเลย พ่อเล่าเรื่องที่ผมเสิร์ฟชา จุดบุหรี่ เปิดประตูรถให้แม่ฟังเป็นฉากๆ แม้ว่าแม่เล่าให้ผมฟังด้วยความปิติ แต่ผมกลับรู้สึกว่าน้ำตาผมเริ่มซึมแล้ว มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ทั้งจุกทั้งสับสนอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
ไม่ว่าการเสิร์ฟชา จุดบุหรี่ เปิดประตูรถ สิ่งเหล่านี้ผมทำให้หัวหน้าไม่เว้นแต่ละวัน มันบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติที่แสนธรรมดาไปแล้ว แต่ต่อหน้าพ่อ ผมเพิ่งทำได้เพียงครั้งเดียว แต่กลับสามารถสร้างความประทับใจและความสุขให้กับพ่ออย่างล้นเหลือ บอกตรงๆ ผมรู้สึกละอายใจอย่างมากจนยากที่จะให้อภัยตัวเอง
***************
บทความนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่เป็นจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆคนก็คงเคยผ่านหรือปฏิบัติตนแย่ๆกับพ่อแม่มาแล้ว ว่ากันตามตรง พวกเราที่ดิ้นรนกันอยู่
ในสังคม ทุกคนล้วนอยู่ในสถานะที่มุ่งสร้างผลงานและอนาคตเพื่อตนเองทั้งนั้น กับเจ้านายหรือหัวหน้า กับลูกค้าหรือผู้มีอุปการะคุณ เราทำดีต่อพวกเขาได้สารพัดอย่าง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงเหล่านี้ เรามักลืมไปว่า
เรายังมีอีกหนึ่งสถานะ นั่นคือสถานะของความเป็นลูก เรายังมีพ่อแม่ที่ไม่ควรถูกมองข้าม ต้องไม่ลืมกันว่า ก็พ่อแม่ของเรานี่แหละ ที่เป็นคนเสียสละและให้ความรักแก่พวกเราอย่างแท้จริง โดยปราศจากเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนใดๆทั้งสิ้น แล้วเราจะเฉยเมยต่อพ่อแม่เราได้ลงคอเลยเหรอ ลองถามหัวใจตัวเองดู
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
Credit: 正能量家族
โฆษณา