30 มิ.ย. 2022 เวลา 15:24 • ครอบครัว & เด็ก
ตอนนี้ลูกสาวผม ไปโรงเรียนวันแรกแล้วครับ ทำให้เราได้ค้นพบความจริงบางอย่างด้วย เลยอยากเล่าให้ฟังครับผม
อยากอธิบายนิดนึงว่า สำหรับเด็กนักเรียนนั้น ตามหลักสูตรปกติ เทอม 1 จะเริ่มพฤษภาคม - กันยายน และเทอม 2 จะเริ่มพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์
ในเดือนพฤษภาคม 2565 ลูกสาวผมอายุ 2 ขวบ 9 เดือน ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าอนุบาล 1 (เพราะหลายๆ โรงเรียนจะกำหนดว่า เด็กที่จะเข้าอนุบาล 1 ต้องมีอายุ 3 ขวบขึ้นไป)
ที่โรงเรียนก็เลยแนะนำว่า เอางี้ละกัน ให้น้องเกว็น มาเรียนเนิร์สเซอรี่ ก่อน 2 เทอม เพื่อปรับตัวให้พร้อม แล้วพอเข้าสู่เดือนพฤษภาคม 2566 ตอนที่น้องอายุ 3 ขวบ 9 เดือน ก็ค่อยมาเข้าอนุบาล 1 ได้
ผมก็เห็นด้วยนะครับ เพราะปกติลูกเราไม่เคยไปเจอใครเลย เด็กเกิดยุคโควิดก็อย่างนี้ อยู่กับพ่อแม่ทุกวัน จะมีไปหาคุณปู่คุณย่าบ้าง หรือไม่ก็ไปเยี่ยมคุณยายที่ต่างจังหวัด แต่ประสบการณ์ในการเจอเด็กๆ คนอื่นนั้นไม่มีเลย การไปเริ่มจากเนิร์สเซอรี่ก่อน ค่อยๆ ให้เขาปรับตัวก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะ
แต่ตอนแรกผมคุยกับภรรยาว่า ถ้าจะเรียนเนิร์สเซอรี่ ก็ไม่เห็นต้องเรียน 2 เทอมเลย ไปเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน 2565 ก็ได้ แล้วค่อยเข้าอนุบาลพฤษภาปีหน้าไปเลย
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ ... ลูกอยากมีเพื่อนแล้ว
จริงอยู่ว่าเขาก็ชอบเล่นกับพ่อแม่นะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาดูโหยหาในการเล่นกับเด็กๆ วัยเดียวกัน คือเวลาไปเจอลูกญาติๆ ที่วัยใกล้กัน คือจะกระดี๊กระด๊ามาก มีความสุขเป็นพิเศษ มันเลยทำให้ผมกับภรรยาตัดสินใจได้ว่า โอเค งั้นส่งเข้าเรียนไปเลยละกัน ให้เขาไปมีเพื่อน มีสังคมของเด็กๆ ดู
ตอนนี้เกว็นไปเรียนเนิร์สเซอรี่ได้หลายวันแล้วครับ ก็ดูเขาสนุกดีนะ บางวันมีงอแงนิดหน่อย ร้องไห้ไม่อยากไป แต่ส่วนใหญ่จะยิ้มแย้มแจ่มใสดีครับ
7
ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า พอลูกไปโรงเรียน ชีวิตมันลงตัวมากขึ้น มันมี Gap เวลาว่าง ให้พ่อ-แม่มากขึ้น ช่วงเช้าถึงบ่ายตอนที่ลูกไปโรงเรียน แล้วพอตอนเย็นกลับมาเจอกัน ลูกก็ดูคิดถึงเรามากขึ้นนะ เหมือนแยกจากกันไปหลายชั่วโมง พอมาเจอกันก็อยากเล่น อยากอยู่ด้วย
2
อย่างที่เขาว่าอะเนอะ เว้นที่ว่างนิดนึงให้คิดถึงกัน ประโยคนี้ใช้ได้จริงๆ แม้จะเป็นกับลูกก็ตามนะนี่
สำหรับการไปโรงเรียนของลูกผม คิดว่าอะไรก็ดีหมดครับ ยกเว้นอย่างเดียว ที่ผมไม่ค่อยชินเลย คือโรงเรียนที่ลูกผมอยู่ จะมีเงื่อนไขคือ ระหว่างสัปดาห์ จันทร์ถึงศุกร์ จะไม่มีการรายงานอะไรกับผู้ปกครองทั้งนั้น
1
วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ก็ไปรับไปส่งตามปกติ แต่พอในวันศุกร์ตอนไปรับ ทางโรงเรียนจะให้สมุด Black Book หนึ่งเล่ม โดยคุณครูประจำชั้นจะ เขียนว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีกิจกรรมอะไรบ้าง อาหารแต่ละมื้อเป็นอะไร หรืองานศิลปะอะไรที่ลูกเราทำ ก็จะไปแปะลงอยู่ใน Black Book อันนั้นแหละ
คือว่าง่ายๆ ระหว่างสัปดาห์ พ่อแม่จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ลูกกินอะไร เรียนอะไร มีเพื่อนไหม มีรีแอ็กชั่นกับสิ่งต่างๆ อย่างไร จะไปรู้เอาอีกทีก็คือวันศุกร์เลย
โอเค ผมก็ถามลูกแหละ ว่า "วันนี้สนุกมั้ยคะ" "วันนี้กินข้าวกับอะไร" "วันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง" "เพื่อนหนูชื่ออะไรบ้าง" แต่ลูกก็ไม่ค่อยตอบ ตามประสาเด็ก 2 ขวบกว่าๆ ที่ยังเรียงคำไม่เก่ง (หรืออาจจะขี้เกียจตอบพ่อก็ไม่รู้ 55555)
คือผมอึดอัดเป็นบ้าเลย 5555 แบบว่า อยากรู้อ่ะ! จากที่เคยรู้ทุกอย่างของลูก ตอนนี้เขาก็มีสังคมเล็กๆ ของเขาแล้ว เป็นโลกอีกใบของเขา ซึ่งเราก็อยากรู้อะนะว่าเขาไปเจออะไรมาบ้าง แฮปปี้ดีใช่ไหม หนูเอ็นจอยหรือเปล่า
โดยปกติลูกจะไม่ค่อยบอกอะไรผมหรอกครับว่าไปเจออะไรที่โรงเรียน แต่นานๆ ที เขานึกอยากเล่าก็เล่าขึ้นมาเอง เช่น วันนี้กินมะละกอมา วันนี้ครูพาไปดูนก วันนี้มีเพื่อนแล้วนะชื่อน้องไมร่า วันนี้ร้องเพลงเอบีซี ฯลฯ
เชื่อไหมครับ แค่ลูกเล่านิดหน่อยว่าไปทำอะไรมา มันใจฟูมากเลย มันดีใจที่เขาบอกเล่าสิ่งต่างๆ ที่ไปเจอมา เหมือนอยากแชร์สิ่งนั้นไปกับเรา
1
แค่ลูกบอกว่าวันนี้กินแตงโมสองชิ้น ผมก็ดีใจแล้ว คือเขาทำอะไรแม้จะเล็กน้อยแค่ไหน ผมก็อยากรู้หมด คนเป็นพ่อแม่อะเนอะ
1
สิ่งที่ผมรู้สึกกับลูกสาวตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผมเกิดตั้งคำถามขึ้น 1 ข้อ
ว่าถ้าหากผมยังอยากรู้ทุกเรื่องของลูกแบบนี้ ในทางกลับกัน พ่อแม่ของผม ก็ควรจะอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมเหมือนกันหรือเปล่านะ?
3
คือบุคลิกของผม ตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว เป็นคนโลกส่วนตัวสูง กับพ่อแม่ก็รักนะ แต่เราไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้เขารู้เท่าไหร่
1
ทำอะไรมา เจออะไร ผมบอกพวกเขาน้อยมากเลย เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องจิปาถะไร้สาระใดๆ เขาจะอยากรู้ไหม บางเรื่องรู้สึกมันไร้สาระเกินกว่าจะเล่า
2
ยิ่งโตมากขึ้นแล้ว พอทำงานได้สักพัก ผมก็แยกมาอยู่คอนโด ตรงนี้ความห่างยิ่งมากขึ้น การไม่ได้เจอหน้ากัน โอกาสสนทนานี่นั่นก็น้อยลง
พอผมแต่งงาน มีลูก การพูดคุยกันยิ่งน้อยลงเข้าไปอีก เอาเป็นว่าใน FB ส่วนตัวผมแทบไม่โพสต์อะไรเลย เขาจะไม่ได้ข่าวสารอะไรจากผมเลย จนพ่อแม่ต้องไปแอดเป็นเฟรนด์กับภรรยาผม เพื่อจะได้ดูรูปหลาน ว่าน้องเกว็นไปทำอะไรมาบ้าง
ทุกวันนี้พ่อแม่ รู้ความเคลื่อนไหวของผมจากหน้าเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง ว่าผมไปไหนมา ไปเจอใคร มากกว่าตัวผมเล่าด้วยซ้ำ
คือผมคิดเอาเองว่า พ่อแม่เขาก็คงเอ็นจอย ชีวิตหลังวัยเกษียณของเขา ลูกๆ โตแล้ว มีครอบครัวแล้ว ก็คงไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น (อาจจะอยากรู้เรื่องหลานมากกว่าลูก) ดังนั้นเราเล่าเรื่องที่จำเป็น ที่เขาควรจะรู้จริงๆ ก็น่าจะดีกว่า
1
แต่หลังจากลูกเข้าโรงเรียน ผมเลยเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกตัวเอง ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนผมก็อยากรู้ทั้งนั้น
2
เขาคิดอะไร ชอบอะไร ทุกข์ใจตรงไหน ไปเจอกับใครมา ผมอยากรู้ทั้งหมดเลย จะช่วยอะไรได้หรือไม่ได้ ก็ไม่รู้ แต่เราก็อยากรับรู้
ซึ่งถ้าหากผมยังคิดแบบนี้กับลูก พ่อแม่ก็ควรจะคิดแบบนี้กับผมเหมือนกัน คืออยากฟังทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะสุข จะทุกข์ จะสำคัญ จะไม่สำคัญ
1
จริงๆ มันไม่น่าจะคิดยากเลย แต่กว่าผมจะเข้าใจอะเนอะ ล่วงเลยมาจนถึงตัวเองอายุ 37 ปี
1
ดังนั้นสิ่งที่ผมพยายามจะทำต่อจากนี้ คือคุยกับพ่อแม่มากขึ้น จะพยายามวีดีโอคอลทุกวันถ้าทำได้ และไปเจอกันบ่อยขึ้น แม้จะไม่มีโอกาสเทศกาลใดๆ ก็ตาม
2
มันเคยมีประโยคที่ผมได้ยินบ่อยๆว่า "ถ้าคุณมีลูก วันนั้นคุณจะเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่"
2
ใช่ มันอาจจะดู Cliche แต่มันก็เป็นตามนั้น อย่างที่เขาบอกไว้จริงๆ
2
#THEENTIRESTORYOFYOU
โฆษณา