1 ก.ค. 2022 เวลา 02:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ
อัปเดต! 5 หุ้นโรงไฟฟ้าใหญ่ของไทย ตอนนี้มีปัจจัยอะไรหนุนการลงทุนบ้าง?
เมื่อไหร่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นไทยจะกลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีกว่าตลาดสักที เพราะก่อนหน้านี้โรงไฟฟ้าหลายแห่งถูกปัจจัยกดดันในทางลบมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP รวมถึงการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี เกินระดับ 35 บาทไปแล้วทำให้งบไตรมาส 2/65 อาจจะมีผลกระทบจาก fx loss เพราะการมีหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์
แต่กลับกันเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง ในสภาวะที่พื้นฐาน และความแข็งแกร่งของธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้นักลงทุนอาจจะต้องกลับมาทบทวนดูว่า ความน่าสนใจของหุ้นโรงไฟฟ้าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร หุ้นโรงไฟฟ้าตัวไหนที่ราคาปรับลดลงรับข่าวไปพอแล้ว รวมถึงในอนาคตแผนธุรกิจที่วางไว้จะสร้างกลับมาช่วยสร้างมูลค่าให้กับหุ้นได้หรือไม่ ดังนั้น Wealthy Thai จะพานักลงทุนไปอัปเดต performance ของหุ้นโรงไฟฟ้า และทิศทางในอนาคตผ่านมุมมองจากนักวิเคราะห์
BGRIM-GPSC ค่า Ft ขึ้นช่วยเพิ่มกำไร
โดยหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 2 แห่งอย่าง BGRIM และ GPSC ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งสองบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าผลประกอบการไตรมาส 2/65 จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น
บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) รายงานมุมมองพื้นฐานหุ้น GPSC ว่า ต้นทุนเชื้อเพลิงที่พุ่ง ในช่วงปี 64-65 ได้ฉุดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของบริษัทลงจาก 32% ในไตรมาส 1/64 เป็น 10% ในไตรมาส 1/65 ขณะที่ปัจจัยลบยังค้างคาอยู่ต่อเนื่องจนถึง ครึ่งหลังของปี 65 และฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากนั้น เพราะคาดว่าราคาก๊าซจะกลับสู่ระดับปกติ ทั้งนี้ประเมินว่าการปรับขึ้นค่า Ft จะช่วยชดเชยราคาก๊าซได้
ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรไตรมาส 2/65 จะปรับดีขึ้นจาก 1) อัตรากำไรในธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่ดีขึ้น 2) การรับรู้กำไรเต็มไตรมาสจากโครงการ GE เฟส 5 หลังจากปิดซ่อมบำรุง และ 3) ส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจากโครงการ XPCL เพราะระดับน้ำที่ฟื้นตัวขึ้นภาพรวมทั้งปี 65ยังอ่อนแอ เพราะคาดว่า EPS จะหดตัวลง 37%.YoY จากอัตรากำไรกลุ่ม SPP ที่เผชิญกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากต้นทุนก็ซระดับสูง
ส่วน BGRIM หากราคาก๊าซจะยังคงยืนตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงไตรมาส 3/65 (ราคา poogas price ของ PTT ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาแตะจุดสูงสุดอีกครั้งที่ราว 450 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งน่าจะเทียบเท่ากับราคาก๊าซสำหรับ SPP ราว 500-530 บาทต่อล้าน BTU) ส่งผลให้ผลประกอบการในปี 65 ยังดูอ่อนแอ ทั้งนี้หากสามารถขยายกำลังผลิตไฟฟ้าได้ตามแผนก็จะส่งผลให้ตลาดมีการปรับประมาณการกำไรระยะยาวและราคาเป้าหมายขึ้น
โดย SPP replacement 5 โครงการที่จะ COD ในปีนี้ น่าจะช่วยลดต้นทุนก๊าช(จากประสิทธิภาพที่ดีขึ้น) ได้อีกราว 15% และ BGRIM ยังมีโครงการลด ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะช่วยหั่นค่าใช้จ่ายลงได้อีกมากกว่า 120 - 1 25 ล้านบาทต่อปี
GULF ทุกธุรกิจยังเติบโตได้ดี
บริษัท หลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า GULF ตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต +80% จาก 1) รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าที่เปิดไปเมื่อปี 64 เต็มปี, 2) เปิดดำเนินการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 ในเดือนมี.ค.และต.ค.65, เปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าลมในทะเล ประเทศเวียดนาม และเปิดดำเนินการโซลาร์รูฟทอป Gulf 1 และ 3
รวมถึงรับส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH เต็มปี ณ 24 ก.พ.65 ทาง Gulf Energy Development ถือหุ้น INTUCH ทั้งหมด 42.52% ซึ่งจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรราว 4.7 พันล้านบาท/ปี (สมมติฐาน INTUCH มีกำไรสุทธิ 1.1 หมื่นล้านบาท/ปี)
ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นค่า Ft ซึ่งทางกกพ.ให้ปรับขึ้น 23.38 สตางค์/หน่วยในช่วงเดือนพ.ค.-ส.ค.65 และจะปรับขึ้นอีกในรอบก.ย.-ธ.ค.65 ตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งGULF มีการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม 14% ของทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 86% เป็นการขายให้กับ EGAT ที่สามารถปรับราคาขายได้ตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
1
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำ ซื้อลงทุน GULF ให้ราคาพื้นฐาน 1 ปีที่ 55 บาท โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 เติบโต +75% และขยายตัวต่อ +20% ในปี 66 นับว่าเติบโตแข็งแกร่งมาก และแนวโน้มระยะยาวไปได้ดี ทั้งจากธุรกิจด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และสินทรัพย์ดิจิตอล
RATCH-EGCO โรงไฟฟ้าใหม่กำลังทยอยจ่ายไฟ
บริษัท หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีมุมมองด้านบวกต่อปัจจัยที่มีเข้ามาหนุนกำไรของ RATCH ต่อเนื่องในไตรมาส 2/65 และครึ่งหลังปี 65 ทั้งจากการปิดซ่อมลดลง, การทยอย COD โรงไฟฟ้าใหม่ และโรงไฟฟ้าที่ซื้อเข้ามาเพิ่มอย่างโรงไฟฟ้า Paiton ขนาดราว 931 MWe (+13% เข้ามาในไตรมาส3/65) คงมุมมองกำไรปกติไตรมาส2/65 โตจากปีก่อน
เพราะแรงหนุนโรงไฟฟ้าใหม่ คงคำแนะนำ ซื้อ ต่อ RATCH ที่ราคาเป้าหมาย 67 บาท มองเป็นโอกาสซื้อรับการฟื้นตัวของกำไรตลอดปี 65 จากแรงหนุนโรงใหม่ที่ทยอย COD และโรง Paiton ที่คาดเข้ามาในไตรมาส 3/65
ขณะที่ EGCO เรามอง Slightly positive ต่อเป้าเพิ่มกำลังการผลิตของ EGCO มากกว่าเดิมราว 387 MWe (equity MW) และเป็น upside ต่อประมาณการปี 66-67 ของเรา โดยแผนธุรกิจด้านอื่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า ทิศทางการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าใน 65-66 มีต่อเนื่องจากโครงการระหว่างก่อสร้างทำได้ตามแผน ส่งให้กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสะสม +5% (ไม่รวม APEX)
ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ Buy ต่อ EGCO ที่ราคาเป้าหมาย 257 บาท มองเป็นหนึ่งในตัวเลือกโรงไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจาก Geopolitical risk ต่ำกว่า GPSC/BGRIM/GULF และธุรกิจเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวตามการ COD โรงไฟฟ้าใหม่ คาดกำไรปกติโตเฉลี่ย 5% CAGR ใน 65-67
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา