2 ก.ค. 2022 เวลา 02:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
[A blast from the past]
🗓2 กรกฎาคม พ.ศ.2540 : จุดเริ่มต้นของวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” วันที่ไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท
🔻ปรากฏการณ์ #ต้มยำกุ้ง วิกฤตทางการเงินครั้งร้ายแรงที่สุดของเมืองไทยปี 2540 โดยมีจุดเริ่มต้นในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลไทยในสมัยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี #ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างมาก จากเดิมอัตราแลกเปลี่ยน 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไต่ระดับไปถึง 56.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
#วิกฤตต้มยำกุ้ง เกิดจากนโยบาย BIBF (Bangkok International Banking Facilities) หลักการคือ การเปิดเสรีทางการเงิน ทำให้เงินไหลเข้าออกประเทศได้คล่องขึ้น ไม่เข้มงวดเหมือนที่ผ่านมาในอดีต เมื่อมีการเปิดเสรีทางการเงิน สถาบันการเงินไทยพากันกู้เงินจากต่างประเทศ เนื่องจากให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าการกู้ในประเทศ และนำมาปล่อยกู้ต่อในประเทศเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง
🔻ทำให้มีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่ออย่างหละหลวม และไทยไม่ได้มีนโยบายกำกับดูแลรองรับในการเปิดเสรีอย่างรัดกุม และไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภายในประเทศให้สอดคล้องกับต่างประเทศ จนกลายเป็นช่องโหว่งให้เก็งกำไรผ่านอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศมหาศาลในเวลาไม่กี่ปี
🔻เมื่อกู้เงินง่ายคนในประเทศก็พากันกู้ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน คอนโด และตลาดหุ้น จากนั้นปล่อยขายในราคาที่สูงกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ จนเกิดภาวะที่สินค้าราคาแพงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งเป็นการสร้างอุปสงค์เทียมที่ไม่ได้เกิดจากความต้องการในสินค้านั้นจริง ทุกอย่างจึงเป็นเหมือนกับฟองสบู่ ยุคนั้นดูเหมือนมีคนรวยมากแต่กลับเป็นความรวยจากการกู้ยืม ประเทศขาดดุลการค้าสะสมด้วยการนำเข้ามากกว่าการส่งออก แถมหนี้ที่กู้ยืมกำหนดชำระเป็นเงินสกุลดอลลาร์
🔻สุดท้ายตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเกิดการชะลอตัว เพราะเงินในระบบเริ่มหมด ความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินลดลง เจ้าหนี้ไม่มั่นใจว่าไทยจะมีเงินคืน นักลงทุนต่างชาติถอนเงินกลับละขายเงินบาทก่อนที่เงินจะถูกด้อยค่าไปกว่านี้
🔻กองทุนของจอร์ส โซรอส เล็งเห็นโอกาสจึงเข้ามาโจมตีค่าเงินบาทไทยอย่างหนัก ในช่วงใกล้ฟองสบู่แตกโซรอสนำเงินบาทที่ซื้อเก็บไว้มาแลกเป็นดอลลาร์ในอัตรา 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ก่อนนำเงินดอลลาร์ไปขายเป็นเงินบาทในตลาดต่างประเทศซึ่งมีมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่า แล้วทำกำไรจากส่วนต่างที่เกิดขึ้น เพื่อต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินบาทธนาคารแห่งประเทศไทยต้องนำเงินดอลลาร์ที่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมาซื้อเงินบาทคืนเพื่อพยุงอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ไว้
🔻จนกระทั่งไทยสูญเสียเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปเกือบหมด ส่งผลให้รัฐบาลไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท คนไทยที่เป็นหนี้ต่างชาติมียอดหนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในทันที สุดท้ายประเทศไทยต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นมูลค่ากว่า 510,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนสำรองในคลัง และกู้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน (FIDF) มูลค่ากว่า 1.14 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยพยุงสถาบันการเงิน
🔻การประกาศของรัฐบาลส่งผลให้หลายบริษัทล้มละลาย กระทรวงการคลังสั่งปิดสถาบันการเงินปิดตัวไปถึง 58 แห่ง กำลังซื้อในประเทศลดลง คนถูกลดเงินเดือน ตกงาน ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว โดนยึดบ้าน บางคนต้องเปิดท้ายรถขายของมือสองตามตลาดนัดเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว เด็กหลายคนที่ครอบครัวเคยสุขสบายต้องเผชิญกับสภาพสังคมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
🔻เกาหลีใต้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบวิกฤตการเงินในยุคสมัยนั้นเช่นกัน หากใครได้ดูซีรีส์ เรื่อง Twenty-Five Twenty-One (2022) ชีวิตของพระเอกแพ็คอีจิน ที่ครอบครัวแตกแยก จากคุณหนูขับรถสปอร์ตหรู ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยมาส่งหนังสือพิมพ์หาเลี้ยงปากท้องนั้น น่าจะเป็นภาพที่อธิบายผลกระทบต่อผู้คนจากวิกฤตนี้ได้ดีที่สุด
🔻ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งนั้น เศรษฐกิจภายในประเทศไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนสื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่าไทยจะเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ใหม่ของเอเชีย แต่การขยายตัวดังกล่าวเป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนกับฟองสบู่ เมื่อฟองสบู่แตกระบบการเงินของประเทศเกือบจะล่มสลาย จนกลายเป็นช่วงเวลาแห่งหายนะทางเศรษฐกิจครั้งหนึ่งของประเทศไทย
📍ขอบคุณข้อมูลจาก :
#LetTheTrustedBeYourFriend
#TheTrusted
วิกฤตต้มยำกุ้ง
โฆษณา