1 ก.ค. 2022 เวลา 15:16 • ข่าวรอบโลก
8. บริกส์เตรียมสร้างไอเอ็มเอฟ2
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า คริปโตเป็นตัวหลอกให้คนทั่วไปมีความเข้าใจในคำจำกัดความของเงินร่วมกันว่า เงินเป็นหน่วยของจิตสำนึก(unit of consciousness)
แม้ว่าจะเป็นอากาศธาตุ คริปโตเป็นการต่อยอดจากเงินดอลล่าร์กระดาษที่ไม่มีทองคำหรือหลักทรัพย์หนุนหลัง เพื่อว่าหลังจากการรีเซ็ตระบบการเงินแล้ว ธนาคารกลางสหรัฐ หรือธนาคารกลางของประเทศต่างๆจะเปิดตัวเงินดิจิตัลของธนาคารกลาง (central bank digital currencies) ซึ่งจะเป็นเงินบริวารของSDRของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่จะทำหน้าที่เป็นเงินรีเสิร์ฟของโลก ซิตี้ออฟ ลอนดอนจะได้ควบคุมระบบการเงินโลกต่อไปหลังจากที่คอนโทรลระบบการเงินโลกมากว่า200ปีแล้ว
นายเจ พี มอร์แกน ผู้ก่อตั้งธนาคารยักษ์ใหญ่เจ พี มอร์แกน กล่าวได้ถูกต้องทีเดียว เมื่อเขาพูดว่าทองคำเป็นเงินที่แท้จริง ที่เหลือเป็นเครดิต (gold is real money. The rest is credit)
คริปโตไม่ใช่เป็นเงินตรา (currency)อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นทรัพย์สินดิจิตัล ซึ่งจับต้องไม่ได้ อยู่ดีๆทรัพย์สินดิจิตัลมีค่าขึ้นมาได้ ก็ต้องมีขบวนการสร้างจิตสำนึกของคนทั่วไปให้เข้าใจคำจำกัดความใหม่ของเงินว่าสามารถอยู่ในรูปของไซเบอร์ได้ และมีเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนรองรับ
โดยรวมแล้ว เงินจะต้องมีคุณสมบัติสามประการคือ เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการ (medium of exchange) สามารถรักษาค่าในตัวมันเองได้ (store of value) และมีหน่วยที่เป็นมาตรฐาน (standard of value or unit of account) จะเห็นได้ว่าคริปโตไม่ได้มีความสะดวกในการเป็นสื่อการในการแลกเปลี่ยนสินค้า รักษาค่าให้มีเสถียรภาพได้ เพราะว่าราคาคริปโตขึ้นลงวันละ20%-30% หน่วยที่เป็นมาตรฐานก็ไม่มีความชัดเจน
เข้าในกันว่าบิทคอยน์ หรือคริปโตตัวแรกถูกสร้างขึ้นมาโดยทีมงานในสภาความมั่นคงของสหรัฐ (US National Security Agency) เพื่อเป็นพัฒนาการต่อยอดจากเงินกระดาษ เพื่อว่าแบงค์วอลล์สตรีท และซิตี้ ออฟลอนดอนจะสามารถคอนโทรลระบบการเงินโลกได้ต่อไป
ในขณะเดียวกันคนวงในที่สร้างคริปโตที่ตอนนี้มีอยู่10,000กว่าตัว เช่นนายจอร์จ โซรอสหรือนักลงทุนที่ตามเกมทันจะสามารถเล่นตามน้ำทำกำไรได้มหาศาล ส่วนแมงเม่าที่หวังรวยเร็วเห็นแสงไฟบินเข้าไปตลาดคริปโตจะพากันวอดวาย เพราะว่าในท้ายที่สุดคริปโตจะถูกควบคุมเพื่อว่าจะได้ไม่มาแข่งกับเงินดิจิตัลของธนาคารกลาง
ขบวนการปั่นคริปโตมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงที่แพรวพราวมาก มีแต่รัฐลึกเท่านั้นที่จะทำได้
จะเห็นได้ว่าแรกเงินที่คริปโตเริ่มออกมาสู่ตลาด พวกนักลงทุนในสถาบันหลักในตลาด วอลล์สตรีท หรือเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางของสหรัฐ อังกฤษ หรือยุโรปต่างก็ไม่ยอมรับ ส่งคำเตือนตลอดว่าให้ระวังว่าจะหมดตัว เพราะว่าไม่มีกฎหมายรองรับ อาจจะเป็นที่ฟอกเงินได้ ของพวกก่อการร้าย หรือพวกมาเฟีย ภาษีจะโดนเก็บ
แต่ก็มีนักลงทุนรายใหม่ หรือหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายเป็นดอกเห็ด รวมท้ังผู้เล่นทั่วโลก เนื่องจากราคาของคริปโตขึ้นลงหวือหวา ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่หน้าเก่าที่คุ้นเคยกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์คลั่งไคล้ การเปิดบัญชเล่นคริปโตก็สะดวก มีตลาดรอง(exchange)รองรับกว่า600เจ้า เหมือนกับว่าคริปโตเป็นตลาดที่แยกออกมาเป็นเอกเทศจากตลาดการเงินตลาดทุน หรืออยู่กันคนละโลก เพราะว่าไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ มีแต่การวิเคราะห์เชิงเทคนิค
ในขณะที่มีดาราหน้าจอโฆษณาชวนเชื่อว่า บิทคอยน์จะมาแทนดอลล่าร์ที่พิมพ์ไม่อั้นในขณะที่บิทคอยน์มีจำนวนจำกัด และจะเป็นหลักทรัพย์ประกันความเสี่ยงของเงินเฟ้อ ราคาบิทคอยน์จะพุ่งไป$100,000 หรือ$1ล้าน ไม่ต่างจากการเก็งกำไรตลาดทิวลิปทีอัมสเตอร์ดัมในศตวรรษที่ 17
สภาคล่องที่ล้นเหลือของดอลล่าร์จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของสหรัฐ และธนาคารกลางทำให้มีเงินเครดิตหมุนเวียนสูงในระบบ ส่วนหนึ่งถูกกันออกมาลงทุนในตลาดคริปโต ทำให้มาร์เก็ตแคปเติบโตแบบก้าวกระโดดไปถึง$3 ล้านล้านในเดือนพฤศจิกายนปี 2021
จะเห็นได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ และผู้ดูแลระบบการเงินส่วนใหญ่ในโลก รวมท้ังสภาคอนเกรซรู้เห็นเป็นใจให้ตลาดคริปโตเติบโต เพราะว่าทุกคนได้ประโยชน์ แม้ว่าจะออกมายู่เป็นระยะๆ หรือมีคำเตือนที่ดูเหมือนว่าขึงขังว่าจะจัดการกับคริปโตที่ไม่ถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์ แต่ก็ไม่มีแอคชั่นอะไรออกมา
ธนาคารวอลล์สตรีทค่อยๆซึมเข้ามามีบทบาทในตลาดคริปโต ด้วยการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน ดูแลบริษัทที่ทำหน้าที่ตลาดรองของคริปโตให้เข้าตลาดหุ้น มีการตั้งกองทุนขึ้นมามากมายเพื่อลงทุนในคริปโต และเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลส่งเสริมตลาดคริปโต แทนทีจะควบคุม ตอนหลังทางการเสียงเริ่มอ่อย ว่าความท้าทายต่อไปจะทำอย่างไรให่คริปโตเชื่อมโยงกับระบบชำระเงิน หรือระบบการเงินดั้งเดิม
จีนรู้ดีว่า คริปโตเป็นแผนลวงที่จะดูดเงินหยวน ในรูปแบบเอาเกลือมาแลกกับพิมเสน จึงสั่งแบน ตอนที่จีนสั่งแบนคริปโตใหม่ๆ เมื่อ3-4ปีที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติต่างประนามจีน ว่าเป็นประเทศที่มีระบบเผด็จการ ไม่ต้องการให้มีนวัตกรรมทางการเงิน เพราะว่ากลัวสูญเสียการคอนโทรล แต่ตอนนี้ ทุกคนก็ตาสว่างว่า จีนดำเนินนโยบายที่สุขุมรอบคอบ มิเช่นนั้นคนจีนจะเสียหายมากจากคริปโต ไม่ได้เสียหายธรรมดา เพราะว่ามันจะลามไปถึงสถาบันการเงิน และระบบการเงินดังที่โลกตะวันตกกำลังเผชิญในเวลานี้
ส่วนไทยแลนด์ชอบเห่อของใหม่ ใครเฮโลมาก็เฮโลตาม น่าจะเจ็บตัวกันมากในเวลานี้ ส่วนคนที่มีไหวพริบก็รวยอู้ฟู้ไม่รู้เรื่อง แต่น่าจะมีจำนวนน้อย
ตอนนี้ขนาดของมาร์เก็ตแคปของตลาดคริปโตเหลือแค่$800,000กว่าล้าน เทียบกับ$3ล้านในปลายปี 2021 เรียกว่าหายไปมากกว่า2ใน3เลยทีเดียว บิทคอยน์จากราคาพีคที่ $69,000 ตอนนี้ลดลงเหลือ$20,000 จากอารมณ์ของตลาดที่เปลี่ยนไป เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐกำลังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้สภาพคล่องของเงินในระบบลดลง
ปรากฎว่า บิทคอย์ไม่ใช่เป็นทองคำดิจิตัลจริงตามที่อ้างกันอย่างพร่ำเพรื่อ และไม่ได้เป็นหลักประกันเงินเฟ้อ (hedging inflation) เพราะว่าทองคำแท่งแท้ๆราคาไม่ได้ลดลงมาก หรือยังคงเสมอตัวเมื่อเทียบกับทรัพย์สินการเงินอื่นๆ จากการกดราคาของระบบธนาคารยักษ์ใหญ่ที่ไม่ต้องการให้ทองคำมาท้าแข่งกับดอลล่าร์ ในขณะเดียวกัน เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูง นักลงทุนกลับทิ้งบิทคอยน์ เมื่อเทียบกับทองคำดำ หรือน้ำมันแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใหญ่ เพราะว่าทองคำดำมีราคาพุ่งสามเท่าตัวกว่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ในระหว่างการตอบข้อซักถามของสมาชิกของคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารของสภาเซเนทของสหรัฐในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายเจโรม เพาแวลล์ถูกถามว่า เขาติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดคริปโตใกล้ชิดมากน้อยเพียงใด ราคาคริปโตที่ร่วงลงมาจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบการเงินของสหรัฐหรือไม่
นายเพาแวลล์ตอบว่า เฟดติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดคริปโตอย่างใกล้ชิด แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นสัญญานใดๆที่จะชี้ให้เห็นว่า ตลาดคริปโตจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินของสหรัฐ เนื่องจากตลาดคริปโตมีขนาดแค่$889,250ล้าน เทียบไม่ได้กับขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐที่$25.34ล้านล้าน และขนาดของตลาดหุ้นของสหรัฐที่ $49ล้านล้าน
ปรากฎว่า นายเพาแวลล์ไม่ได้พูกความจริงทั้งหมด The Wall Street Journalรายงานว่า ตลาดคริปโตทั้งโลกน่าจะมีขนาด$10ล้านล้าน โดยนับรวมคริปโตประเภทพต่างๆที่นำเสนอออกมาสู่ท้องตลาด ตราสารอนุพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต การกู้ยืมเงินในระบบเพื่อเอามาลงทุนในคริปโต ถ้าหากว่าคริปโตแทรกซึมเข้าไปในระบบธนาคาร หรือระบบการเงิน มีความเสี่ยงว่าเวลาคริปโตพังจะลากระบบการเงินทั้งหมดลงมาด้วยhttps://www.wsj.com/articles/crypto-currency-crash-financial-markets-regulation-banking-11655496169?mod=latest_headlines
ล่าสุดมีรายงานว่า มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตลาดรอง (exchange)ระดับเทียร์สามหลายแห่งกำลังประสบกับปัญหาขาดสภาพคล่อง อาจจะประกาศล้มละลายได้ หลังจากThree Arrows Capital บริษัทคริปโตของสิงคโปร์ที่ลงทุน$200ล้านในลูน่าผิดนัดชำระหนี้ไปแล้ว ผู้ที่ลงทุนในคริปโตลูนน่าทรัพย์สินละลายหายไปแล้ว$40,000ล้าน TerraUSDที่มีสเตเบิ้ลคอยน์หนุน$16,000ล้านที่โยงกับลูน่าก็พังพินาศลงมาจากการเก็งกำไรแบบบ้าระห่ำ และภาวะตลาดหมีโดยรวมของตลาดการเงิน celsiusก็มีปัญหาล้มละลายโกลแมนด์กำลังเข้ามาอุ้ม
อนาคตของคริปโตจะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครทราบชัด อาจจะเหลือศูนย์ หรือหายไปหมด หรืออาจจะมีบางตัวที่ยังทนทานอยู่ต่อไปได้ แต่ท้ังนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการเปิดตัว จะเร็วหรือช้าของเงินCentral Bank Digital Currencies ของเฟด หรือธนาคารกลางอื่นๆ รวมท้ังSDRที่จะทำหน้าที่เป็นเงินรีเสิร์ฟของโลก
นั้นคือเส้นทางทางการเงินของโลกตะวันตก ส่วนบริกส์จะตั้งหน้าตั้งตาสร้างสถาบันการเงินของตัวเองที่จะทำหน้าที่คล้ายไอเอ็มเอฟ และจะสร้างเงินรีเสร์ฟของบริกส์ที่เป็นเอกเทศ หรือแข่งกับSDRของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยจะพยายามลากระบบการเงินให้กลับมาอิงทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อสร้างความแตกต่างกับดอลล่าร์กระดาษ คริปโต และเงินดิจิตัลของธนาคารกลางที่ขาลอย ไม่มีทรัพย์สินใดๆรองรับ 30/6/2022
โฆษณา