3 ก.ค. 2022 เวลา 01:08 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Emerging Market Crisis 2022-2023
1
สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป ก็คือ วิกฤตในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือ Emerging Market
ที่รอบนี้ เริ่มต้นจากประเทศเล็กๆ เช่น ประเทศศรีลังกา
และกำลังค่อยๆ กระจายออกไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ปากีสถาน กาน่า แซมเบีย สปป ลาว
โดยจะสะสมพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะ Emerging Market โดยรวม กำลังถูกกดดันจาก
(1) ดอกเบี้ยโลกที่กำลังเพิ่มขึ้น จากการสู้ศึกกับเงินเฟ้อของประเทศหลักๆ ทำให้ต้องมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
(2) วิกฤตพลังงาน และวิกฤตอาหารโลก ที่ทำให้ราคาพลังงาน ราคาอาหารราคาปุ๋ยแพงขึ้น
(3) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ส่งออกได้น้อยลง
ทั้งหมดนี้ จะนำไปสู่การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น และการไหลออกของเงินจากกลุ่ม Emerging Market
1
นำไปสู่เงินสำรองระหว่างประเทศที่ลดลง ค่าเงินที่อ่อน เงินเฟ้อที่สูง และสุดท้าย ลุกลามขึ้นป็นวิกฤตในที่สุด
1
ยิ่งวิกฤต Perfect Storm จากสามทวีป ที่กำลังถาโถมเข้าใส่ประเทศหลักของระบบเศรษฐกิจโลก เช่น สหรัฐ ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น มีความรุนแรง ยาวนานมากขึ้นเท่าใด วิกฤตใน Emerging Market ก็จะมีความลำบาก ท้าทายมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ที่น่าสนใจ เกี่ยวกับวิกฤตในตลาดเกิดใหม่รอบนี้ก็คือ โดยปกติแล้ว วิกฤตในประเทศเกิดใหม่ จะเกิดเป็นพื้นที่ๆ เช่น
1
Latin American Debt Crisis ที่เริ่มในปี 1982
Asian Financial Crisis ระหว่างปี 1997-98
Eastern European Crisis หลังเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008
เนื่องจากประเทศในพื้นที่เดียวกัน มักจะทำตัวคล้ายๆ กัน มีปัญหาคล้ายๆ กันทำให้เวลาที่เกิดวิกฤต ก็จะล้มไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
แต่ในรอบนี้ วิกฤตจะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาค
อย่างที่เห็นในภาพแผนที่ด้านล่าง
โดยจะเริ่มจากประเทศเล็กๆ ที่มีฐานะการเงินและเศรษฐกิจอ่อนแอก่อน เช่น ศรีลังกา กาน่า ปากีสถาน สปป ลาว และค่อยๆ วนขึ้นมาในประเทศที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า
สาเหตุที่วิกฤตรอบนี้จะไม่อยู่ในพื้นที่เดียว ก็เพราะว่า ปัญหามีสาเหตุร่วมเดียวกัน ราคาพลังงาน ราคาอาหาร อัตราดอกเบี้ยโลกที่เพิ่มขึ้น หนี้ที่ทุกคนต่างกู้ยืมมาง่ายๆ เป็นจำนวนมากในช่วงสู้ศึกกับโควิด ทำให้ Emerging Market ทั้งหมดถูกกระทบ
เพียงแต่คนที่อ่อนแอสุด จะเป็นคนที่เข่าอ่อนก่อนคนอื่นๆ
ทำให้นักลงทุนโลก เริ่มมองหาคนถัดไป ด้วยคำถาม Who is Next
พร้อมเตรียมการ โดยทยอยโยกเงินออกจากกลุ่มประเทศเสี่ยงใน Emerging Market ทำให้ประเทศเหล่านี้ ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในพันธบัตรที่ออกมาใหม่
1
ล่าสุดจะเห็นว่า EMBI Global Diversified Composite หรือดัชนีการลงทุนในกองพันธบัตรรัฐบาลในกลุ่ม Emerging Markets ที่สร้างโดย JP Morgan ได้ลดลงไปใกล้ช่วงที่รุนแรงสุดจากโควิด แล้ว !!!
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรที่มี Spread สูงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยของสหรัฐ อยู่ประมาณ 17 ประเทศ
1
นับเป็นจำนวนสูงสุด มากกว่าช่วง 2008 หรือช่วงโควิด
1
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ดอกเบี้ยของเฟดที่เพิ่มขึ้นไป ก็จะกดดันให้มีประเทศในกลุ่ม Emerging Market ที่เข้าไปอยู่ใน Radar ของนักลงทุนมากยิ่งขึ้น
วนจากประเทศที่อ่อนแอมาก ไปยังประเทศอ่อนแอ ประเทศที่พอไปได้
ทำให้เป็นวิกฤต Emerging Market ในรูปแบบใหม่ ที่กระจายไปทุกพื้นที่ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
ทั้งหมดหมายความว่า สุดท้ายแล้ว หางของมรสุมใน Emerging Market ก็จะฟาดหัวฟาดหาง ไปทุกที่ รวมถึงประเทศไทย
ถ้าเราเตรียมการดี ตั้งแต่วันนี้ ทำตัวให้ดี ให้แตกต่าง ให้มีภูมิคุ้มกันภัย
ไม่แตกต่างกับช่วงโควิด ที่เมื่อเรารู้ว่ามีเชื้อร้ายกำลังระบาด ก็หมั่นออกกำลังกาย ทานวิตามิน สร้างภูมิต้านทาน ปกป้องตนเองด้วยสุขอนามัยที่ดี
เราก็จะผ่านไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ
#ท่องเศรษฐกิจกับดรกอบ #EmergingMarketCrisis
ขอขอบคุณภาพจาก DW
โฆษณา