7 ก.ค. 2022 เวลา 14:43 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Honestly, Nevermind - Drake
ไม่เป็นไร…ไม่ได้ !!!
-นี่มันเพลงห้องเสื้อชัดๆ แปลกดีเหมือนกันที่ผมดันไม่อินแนวเพลง House หรือตื่นเต้นไปกับมันมากขนาดนั้น House Music ที่ผมจดจำก็มีแค่ Daft Punk อีกคนนึงคือ Jamie xx (แกเคยเป็นหนึ่งในทีมโปรดิวซ์อัลบั้ม Take Care) นี่คือตัวอย่างศิลปินสาย House ที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ในการรังสรรค์มันลงไปจริงๆ ต่อให้เพลงในอัลบั้มของคนที่ยกตัวอย่างมาส่วนใหญ่จะเป็นเพลงบรรเลงก็ตาม แต่มันเป็น theme song ที่พาเราไปสู่ห้วงอารมณ์แห่งความตระการตา พิศวง แล้วเกิด spark joy ในความรู้สึกทางใดทางนึงได้จริงๆ
-แปลกดีที่อัลบั้มชุดใหม่สุดเซอร์ไพรส์ในรอบ 9 เดือนของ Drake กลับให้ความรู้สึกตรงข้าม ไม่ทำให้ผมรู้สึกพิสมัยเหมือนที่ผมเคยเจอใน More Life แต่อย่างใด เป็นประสบการณ์ความรู้สึกที่แบนราบไปเรื่อยซะเหลือเกิน ที่ผมบอกว่าอารมณ์เพลงห้องเสื้อที่เค้าชอบเปิดกัน
-นั่นแหละครับ มันเต็มไปด้วยความประเดี๋ยวประด๋าวที่ถูกเปิดตามโอกาสเฉพาะจริงๆเท่านั้น ผมคิดว่าคุณคงไม่เสพเพลงแนวนี้ไปได้ตลอดแน่ๆ ไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าแล้วได้ยินเพลงเหล่านี้ รู้สึกเก๋ไก๋ตอนเลือกเสื้อผ้าไปด้วยคลอเพลงดังกล่าวไปด้วย จบการช้อปปิ้งปุ๊บ คุณคงไม่คิดถึงต่อเลยด้วยซ้ำ
-ทุกคนไม่ปฏิเสธว่า Drake คือแรปเปอร์ที่มีเซนส์ป็อปสูงมากคนนึง สัมผัสได้ตั้งแต่ยุคเดบิวท์ และคุณสมบัติแรปเปอร์ที่ร้องเพลงได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ชาวฮิปฮอปไม่คิดจะถือสาอีกต่อไป สาย Old School ที่ส่ายหน้า เมื่ออัลบั้มใหม่มาถึงคงไม่ใช่กงการที่สาย Old School จะต้องสนใจอยู่แล้ว
-ปัญหาของ Drake ในช่วงตั้งแต่ Scorpion เป็นต้นไป น่าจะอยู่ที่ passion ส่วนตัวที่ลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นเพราะการทิ้งช่วงที่ไม่นาน ต่อให้ไม่มีสตูดิโออัลบั้ม ก็มักจะมีผลงานปลีกย่อยอยู่ร่ำไป ราวกับระบายเพลงในสต๊อกออก ขาดการลดทอนและการทำเพลงยืดยาดเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ไม่เว้นแม้แต่ Certified Lover Boy ที่เคยบ่นไว้ จนกระทั่งอัลบั้มนี้ที่เอิ่มมม พี่ยังไม่เข็ดสูตรนี้อีกรึเนี่ย
-14 แทร็คด้วย run time 53 นาที ปริมาณเพลงที่ลดจากอัลบั้มก่อน 7 แทร็ค ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยแล้วสำหรับเสี่ยแคนาดารายนี้ ปริมาณมากน้อยไม่สำคัญ หากคอนเทนท์และการนำเสนอดีจริงจนน่าจุใจ แต่ก็เสียใจด้วยที่ปริมาณที่พี่แกยอมลดแล้ว กลับกลายเป็นการมานั่งฟังพ่อลูกหนึ่งสุดเหงาคนนึงพร่ำพรรณนาชีวิตรักที่ผ่านมาไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย
-เราจะได้เห็นการ repeat hook ซ้ำไปเรื่อยแบบ Falling Back การปล่อย Outro ไหลยาวเกินจำเป็น โดยเฉพาะ Currents ที่จะมีเสียงเอี๊ยดๆคล้ายเก้าอี้โยก คือเราต้องฟังแบบนี้ลากยาวในช่วง Outro เนี่ยนะ ให้ตายเหอะ การพึ่งเสียงแรงเสียดสีแบบนี้มันไม่ใช่ไอเดียที่บรรเจิดเลยนะ น่ารำคาญมากกว่าว่ะ พยายามหาข้อโต้แย้งที่มีคนบอกว่า แกติดใจกับ Passionfruit แล้วจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบในอัลบั้มนี้เสียเลย ไม่ผิดที่คนจะมองแบบนั้น สำหรับผมดันเห็นต่างในจุดนี้ Drake ก็พยายามเสาะหา แทรกโน่นนี่ให้พอแตกต่างที่สุดเท่าที่เป็นได้
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย)
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่ inbox เพจ และอีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
-ลูกเล่นการ drop down ที่เห็นได้บ่อยในเพลงสาย EDM ก็ถูกนำมาใช้ในเพลง A Keeper, Massive การวาดลวดลายดีดสีกีตาร์สำเนียงละตินในเพลง Tie That Binds แนวทาง tropical house ที่เคยเห็นใน More Life ก็มีเห็นแว๊บๆในเพลง Down Hill มีอยู่เพลงนึงที่ผมดันชอบ รู้สึกว่าเออเพลงนี้โดดจากเพลงอื่นๆอย่าง Texts Go Green แทร็คลำดับที่ 3 ที่มีจังหวะเคาะมันส์ๆพอจูงใจให้ผมไปต่อ ไม่รู้สึกอืดอาดแบบ Falling Back ไปมากกว่านี้ และเพลงก็สอดรับกับความรักยุคดิจิตอลซะด้วย (แต่เค้าใช้ iMessage นะ)
-Liability การเอาออโต้จูนมาช่วยเสริมบริบทความอ่อนล้า เจือด้วยบีทดาร์คๆเนือยแบบเอาให้สุด ชวนระลึกถึง Outro เพลง Marvin Room ในเวอร์ชั่น MV ที่ทุกคนต่างถามหาจิ๊กซอว์ตัวนั้น แล้วในที่สุดเราก็เจอจิ๊กซอว์ที่มีตัวต่อคล้ายๆกันในเพลงนี้
-ทั้งนี้การบิดพริ้วเหล่านั้นไม่ได้หมายความว่าจะช่วยเติมเต็มมิติความวาไรตี้ได้อย่างชัดเจนขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดของน้ำเสียง Low Tone ที่ผูกขาดทางเอกลักษณ์ของเขาคนนี้ นำพาให้เพลงยืดๆเฉื่อยๆ ต่อให้เปลี่ยนบีทหรือเปลี่ยน vibe ผลลัพธ์ที่ได้ดันเหมือนกันหมด
-มีข้อน่าสังเกตอย่างนึงจากสถิติชาร์ทเพลง ปกติแล้วคนอย่าง Drake เป็นเจ้าสถิติที่เกิดมาเพื่อเตรียมยึดครอง Top 10 อยู่แล้ว ต่อให้เพลงใน CLB ไม่ได้ดีเลิศน่าไฮป์ขนาดนั้น สามารถยึดพื้นที่ 10 อันดับแรกได้ถึง 9 เพลง แต่ทำไมอัลบั้มนี้ที่เนเจอร์ของมันคือ Pop ซึ่งมันย่อยง่ายเก็ตง่ายต่อคนหมู่มากอยู่แล้ว น่าจะสอย Top 10 ได้มากกว่า 70% แต่กลับทำได้แค่ 3 เพลง 30% เท่านั้น
-โดยสองเพลงดันเป็นเพลงแร็ปที่มีอยู่ในอัลบั้มทั้ง Jimmy Cooks ที่เดบิวท์อันดับ 1 ซะด้วย Sticky และเพลงบ่งบอกทิศทางอัลบั้ม Falling Back ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลพร้อม MV เสร็จสรรพ ผลของชาร์ตเพลงกำลังบอกว่า คนฟังหมู่มากเริ่มรู้แกว และไม่ได้อินการร้องรำทำเพลงของแร็ปเปอร์เจ้าสำราญเสมอไป ตราบใดที่ข้อจำกัดต่างๆ pattern ที่ซ้ำรอยเดิมที่ได้สาธยายไปข้างต้น กลับเป็นภาพจำที่คนเริ่มไม่ตื่นเต้นกับมันแล้ว
-พูดถึงโหมดแร็ปของอัลบั้มนี้ดีกว่า แทรกมาประหนึ่งกลัวคนลืมว่าแกเป็นแร็ปเปอร์ Sticky แร็ปหนืดๆของคนที่ติดอยู่ในภาวะชะงักงัน กลับเป็นเพลงที่ดูดีในแง่ของความไม่ฝืนเนเจอร์ เค้นสกิลเป็นเรื่องเป็นราวไปแข่งกับใครมาก Jimmy Cooks การเดินบีทที่สนุก เคมีที่เข้ากันกับ 21 Savage
การส่งไม้ต่อที่ดี สวิตช์บีทให้ tense ขึ้น เปิดช่องทางให้น้องชายคนสนิทได้เชือดเฉือน พร้อมตบด้วยวลีเด็ด ถ้ากูเป็นวิล สมิทธ์ กูจะตบมึงด้วยด้ามปืนหนึ่งฉาก ซึ่งเพลงนี้ดันน่าไฮป์กว่า Knife Talk ที่เคยร่วมงานกันใน CLB เลยด้วยซ้ำ ผมแอบคิดเหมือนกันว่าความเป็นเพลงแร็ปที่เป็นลูกโดดท่ามกลางหมู่เพลง House ถ้าไอ้สองเพลงนี้มันไปอยู่ในอัลบั้มโหมดแร็ป มันอาจจะไม่ใช่เพลงที่โดดเด่นเลยก็ได้
If I was Will Smith, I would've slapped him with a stick
21 Savage
-หลังจากที่ได้พูดคุยกับแอดมินเพจ DrizzyDarke Thailand ผมขอกลับไปฟังอีกซักหน เผื่อผมมองอัลบั้มนี้เปลี่ยนไป ให้ตายเหอะ ผมไม่ได้ชอบมากขึ้นว่ะ เบื่อและแบนราบตามที่เคยตอบเค้าไป คงไม่ได้เกิดความรู้สึกกลับไปฟังอีกแน่ๆ
-ใครสาวกของแร็ปเปอร์ธงใบเมเปิ้ล ไปกด Like ให้หน่อย ขอบคุณที่ทาบทามอีกครั้ง >>> https://www.facebook.com/473567929519938/posts/pfbid0232A6bTz9pbasM5UyheQU33Zt5agnCzqZSupHtnzQUT1q36u8JA7p5B9vb8uVhwC8l/?d=n
-ทีนี้ผมก็กลับไปอ่าน statement ยาวๆที่หนุ่มเหงาคนนี้เค้าได้ทิ้งไว้เป็นการบอกเล่าถึงความเป็นไปที่อาจจะทำให้เราได้เข้าใจอัลบั้มนี้ได้มากขึ้น จริงๆ statement อันนั้นก็ไม่ได้จักสำคัญมาก ไม่ได้ทำให้ผมจับต้องเนเจอร์ที่เจ้าตัวได้บอกไว้มากนัก คงเป็นหนุ่มเหงาคนนึงที่ถามหาถึงความจริงใจของคนแวดล้อมเขา
-จะมีใครมั้ย? ที่ยอมวางมือถือซักพักแล้วจ้องมองไปที่นัยน์ตาคู่นั้นแล้วเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริง ยอมปรับสมดุลตัวเองด้วยการเข้านอนสามทุ่ม หันมาตื่นตีห้าแบบผู้ว่าชัชชาติ ไม่ได้บังเกิดความ alert หรือสดใหม่ทางไอเดียแต่อย่างใด เป็นความลอยตัวที่ปล่อยตามอารมณ์จนเกินไป จนไม่รู้สึกรู้สาถึงการจัดวางแก่นสารที่ทำให้เราเข้าใจเนเจอร์ของมันได้จริงๆ เป็นผลงานที่น่าผิดหวัง ชอบน้อยสุดในบรรดาผลงานที่ปล่อยออกมา
ด้วยความสัตย์จริง ถูกลืมไม่เปลี่ยนแปลง
Top Tracks: Texts Go Green, Sticky, Liability, Jimmy Cooks
Give 5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา