11 ก.ค. 2022 เวลา 03:44 • ความคิดเห็น
- พูดถึงกัญชามาก็เยอะแล้ว งั้นเรามาเหมารวมปัญหางง ๆ ในสังคมบ้านเราดีกว่า !!!
คำเตือน บทความนี้จะมีเนื้อหาตรงไปตรงมา และอาจมีข้อความที่แอตี้การข่มขืนกระทำชำเราด้วยสำนวนที่รุนแรง
- ตัวผู้เขียนไม่ได้เข้ากับฝ่ายใด ไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดวงการเมือง ทุกปัญหาเป็นสิ่งที่เราบังเอิญเดินไปเจอมาล้วน ๆ
- เนื้อในบทความนี้เป็นความคิดเห็นของเราเพียงคนเดียว และขออภัยกับคำผิดล่วงหน้า เพราะผู้เขียนขี้เกียจจะกลับมาอ่านทวนเอามาก ๆ
ปกแบบขี้เกียจ ๆ
- ในตำราเรียนสมัยเด็กมักจะบอกกับเราว่า ประเทศเรานี้ดีเริดในเรื่องต่าง ๆ นา ๆ ตั้งแต่อดีตไปจนถึงอนาคตที่ไม่มียังไม่มีใครรู้
- เด็กทั้งหลายก็อาจจะท่องจำมาแบบนั้น จนเมื่อโตขึ้นแล้วได้มาเจอโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่า ประเทศเรามันไม่ได้มีอะไรวิเศษไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แถมยังมีเรื่องราวของการละเมินสิทธิมนุษยชนมากมาย การค้าทาส การค้าประเวณี เรียได้ว่าเละกันมานานแล้ว
- บนความเน่าแฟะในเรื่องคุณธรรมในประวัติศาสตร์ เราก็เหมือนจะเห็นร่องรอยการต่อสู้เพื่อให้สังคมมันดีขึ้น แต่มันก็มักจะถูกกลุ่มผู้ชายเอาแต่ใจที่มีอำนาจคอยขัดขวางอยู่ตลอลเหมือนกัน แต่ประวัติศาสตร์ในปัจจุบันนั้น ส่วนมากก็ดันถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชายกลุ่มนี้ แต่ยังโชคดีที่พวกเขาไม่ฉลาดพอที่จะเขียนให้เนียน แล้วก็ยิ่งโชคดีที่มีกลุ่มคนที่ฉลาดพอจะบันทึกความจริงเอาไว้
- ผลจากความเสื่อมทรามในอดีตยังส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ ค่านิยมชายเป็นใหญ่ก็ยังมีคนบางกลุ่มหวงแหนเอาไว้ ... เออ สังคมชายเป็นใหญ่นี่ก็ ไม่ได้หมายถึงผู้ชายทกคนจะเป็นใหญ่หรอกนะ เรื่องค่านิยมชายเป็นใหญ่มันเป็นแค่ขนมที่คนฉลาดนิดหน่อยเอามาใช้ล่อลวงคนให้อยู่ในโอวาทของตัวเองต่างหาก ...
- ค่านิยมชายเป็นใหญ่ ในความเป็นจริงแล้วมันก็แค่ระบบอำนาจนิยม ที่ใครมีอำนาจมากกว่าก็ยึดทรัพยากรได้มากกว่าแค่นั้นเอง แล้วทรัพยากรนั้นเหมารวมถึงชีวิตของมนุษย์ด้วย
- ในระบบอำนาจนิยมมันมันไม่ได้เป็นระบบที่คนฉลาดเข้ามาทำน่าทีดูแลประชาชน แต่มันเป็นระบบที่ผู้มีอำนาจนั้นต้องการจะอยู่ในอำนาจตลอดไป เราก็เลยจะได้เห็นว่ากษัตย์บางพระองค์นั้นก็จะสแหวงหายาต่าง ๆ ที่จะมาทำให้ตัวเองมีอายุยืนยาว เพื่อที่ตัวเองจะได้อยู่เล่นกับสนมทังหญิงชายไปได้นาน ๆ
- ช่าย ... เลดี้บอยกับเลดี้เกิล เป็นของที่คนมีอำนาจชอบสะสมเอาไว้ นึกถึงทำเนียมซามูไรที่คนใหญ่คนโตมักจะมีซามูไรชั้นผู้น้อยหน้าตาดีคอยรับใช้ แล้วก็ทำเรื่อง Y กันให้กลายเป็นธรรมเนียมอันดีงาม บระ!! เจ้า!!
- เรื่องของการเลี้ยงผู้หญิงและผู้ชายเอาไว้บำเรอกามนั้น ปัจจุบันก็ยังมีให้เห็น ในประเทศไทยก็พอจะมีอยู่บ้าง หรือออกไปแถวดินแดนอาหรับก็จะเห็นได้กับคนรวยทั้งหลายที่สะสมเลดี้บอยเอาไว้อวดกัน
- เรื่องของนักสะสมรู้นั้นก็มีมาช้านาน (มาก) และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะการที่คนเราจะไปมีอำนาจแบบนั้นได้ เขาก็ต้องแย้งชิงจากคนอื่นไป แล้วเมื่อคนแย่ ๆ แย่งอำนาจไปได้สำเร็จ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจใคร อยากได้อะไรก็แย่งมาเลย ใครไม่ให้สิ่งที่เขาต้องการก็กำจัดซะ ไม่ต้องพูดถึงคุณธรรม นโมธรรม หรือธรรมอื่น ๆ เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่มี กฎหมายก็แค่กระดาษ เพราะระบบอำนาจก็คือ คนมีอำนาจ = ถูกเสมอ ...
- ใครเคยเป็นทหารหรือเคยเรียนทหารก็อาจจะเคยได้ยินเรื่อง กฎ 2 ข้อ (หรือสามข้อ ? เราก็ลืมละ) ตัวกฎมันก็จะประมาณว่า
1 ผู้บังคับบัญชาไม่มีวันผิด
2 ถ้าผู้บังคับบัญชาทำผิด ให้กลับไปดูข้อ 1
... มันก็ประมาณนี้
- ด้วยความที่ระบบมันเอื้อให้คนมีอำนาจซะขนาดนี้ คนจำนวนไม่น้อยก็เลยอยากมีอำนาจกันม๊ากกกก !!! ระบบอำนาจมันก็เลยไปกันไม่ได้กับความเท่าเทียม ความเสมอภาค แล้วก็ขัดกับหลักคุณธรรม จริยธรรม สังคมมันก็เลยขมุกขมัวแล้วก็มีค่านิยมแปลก ๆ ที่เกิดจากแอเฟ็กของระบบเต็มไปหมด
- ทุกค่านิยมแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น มันล้วนแล้วแต่มีผลกับชีวิตคนทั้งสิ้น และค่านิยมแย่ ๆ ที่ผู้ชายหลายคนหลายกลุ่มเอามาดัดแปลงใช้เข้าข้างตัวเอง ก็คือค่านิยมชายเป็นใหญ่ มันถูกเอามาใช้ให้ครอบครัวหันมาซัพพอตลูกชายเป็นหลัก เราเรียกมันว่า ค่านิยมชายเป็นใหญ่เวอร์ชั้นหัวกรวยแล้วกัน
- ในสมัยก่อน หน่วยงานรัฐส่วนใหญ่จะรับผู้ชายเป็นหลัก ตำรวจกับทหารนี่หาผู้หญิงไม่ได้เลย ครอบครัวไทยส่วนใหญ่ก็เลยส่งเสริมแต่ลูกชาย
- ช่วงปี 2480 - 2530 (เวลานี้อาจจะคลาดเครื่อนได้ตามแต่ละสถานที่นะคะ) ชีวิตของผู้หญิงรุ่นนี้มักจะคล้ายกัน นั่นคือต้องทำงานส่งพี่หรือน้องที่เป็นผู้ชายให้ได้รับการศึกษา หรือบางคนก็เป็นตำรวจ,ทหาร
- หลังจากส่งเสียผู้ชายที่เป็นพี่น้องสำเร็จแล้ว ผู้หญิงหลายคนก็ต้องกลับมาแบกภาระดูแลคนแก่ แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นภาระที่แบกกันเปล่า ๆ ไม่ได้มีใครช่วย ดูแล้วก็เป็นชีวิตที่เกิดมาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองอะนะ
- ค่านิยมหัวกรวยนี้มันค่อย ๆ จางหายไปเพราะผู้หญิงก็เริ่มต่อต้านกัน แต่มันก็ยังมีควันหลงจากคนรุ่นเก่าที่ไม่ยอมปล่อยค่านิยมนี้ไปสักที บางครอบครัวนี่ถึงกับทำลายชีวิตลูกหลานจนย่อยยับเพียงเพื่อจะเก็บเอาไว้เป็นทาสก็มี แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ชตากรรมที่เลวร้ายนี้มันจะไปตกอยู่กับเด็กคนใดคนหนึ่ง
- บางคนอาจจะบอกว่าคนเป็นลูกก็ต้องดูแลพ่อแม่ ต้องมีความกตัญญู ... เราก็ขอบอกเลยว่า ถ้ารักลูกจริง ต้องปล่อยให้เขาไปได้ดีและมีครอบครัวของตัวเอง คนทุกคนควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง แล้วคนแก่ที่ดูแลตัวเองไม่ได้แล้ว ถ้าเลียงลูกให้เป็นคนมาแต่แรก เดี๋ยวเขาก็รับไปดูแลเอง หรือถ้าจะไม่มีคนดูแลจริง ๆ ก็ควรจะมีบ้านพักคนชรา
- เรื่องบบ้านพักคนชรามันก็เป็นอะไรที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าถึงได้ ถ้าจะเอามันมาเป็นพื้นฐานให้กับบันปลายชีวิตของทุกคนได้ ประเทศนี้มันก็ยังมีอะไรที่ต้องพัฒนาอีกเยอะมาก
- เรื่องการพัฒนาคน เป็นเรื่องหลักของการพัฒนาประเทศ เราหลีกเลี่ยงมันไม่ได้หรอกค่ะถ้าหากว่าต้องการให้ประเทศของเราพัฒนา แต่ปัจจุบันรัฐทำคนหลุดจากการศึกษาไปเท่าไหร่แล้ว ?
- การจะพัฒนาคนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าคนในประเทศมีความดีไม่มากพอ ประเทศจะถอยหลังค่ะ ... ใช่... คุณอ่านไม่ผิด ... ความดีน้อย ประเทศถอยหลัง ... สงสัยใช่มั้ยว่าตรรกะนี้มายังไง
- มันเป็นเรื่องของเจตนาดีที่คนมีต่อคนด้วยกัน ถ้ามีคนบอกว่าตัวเขานั้นหวังดีกับคนนั้นมาตลอด แต่เรามมองดูคนนั้นแล้วก็เห็นแค่คนที่ชีวิตพังกับบาดแผลทางใจมากมาย เราจะสันนิฐานว่าผู้ที่บอกว่าตัวเองหวังดีนั้นโกหก เพราะสังคมไทยมันยังเป็นสังคมที่มีการล่ามเด็กไว้ดูแลคนแก่ มันเลยยังมีเด็กโชคร้ายที่ถูกตัดอนาคตอยู่เสมอ
- การที่คนเราจะพัฒนาได้ มันมีวิธีหลัก ๆ 2 วิธี นั้นคือการพัฒนาแล้วก็ศึกษาเรียนรู้เอาเอง กับการมีคนสอน
- การเรียนรู้เอาเองในทุกวันนี้ก็ง่ายกว่าแต่ก่อนเพราะมันมีคนแจกความรู้ฟรียู่เยอะ คนที่ตั้งใจจะศึกษาด้วยตัวเองจริง ๆ ก็เลยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ อย่างเรานี่ก็หาความรู้จากกูเกิลเป็นหลัก เรื่องไหนอยากรู้ลึกหน่อยก็ซื้อหนังสือมาอ่าน ในห้องก็มีชุดทดลองเคมีเล็ก ๆ เอาไว้ทดลองเอง มีเครื่องมือช่างเอาไว้ทำนั่นทำนี่ เวลาว่างก็มาทำอะไรเล่นไปเรื่อยเปื่อย มันก็เพลินดี
- ต่อมาคือการพัฒนาตัวเองที่เร็วขึ้นมาอีก นั่นคือการไปเรียน ... แต่การจะมีเวลาไปเรียนนั้นก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีได้ เราก็เลยนั่งคิดว่าทำไมประเทศอื่นเขาถึงทำได้ แล้วทำไมประเทศนี้ทำไม่ได้วะ ? คิดไปคิดมาก็วนกลับมาเรื่องเดิม ... คือ คนในประเทศเรา หรืออาจจะแค่คนที่ครอบครองทรัพยากรส่วนใหญ่ของบ้านเรา ไม่ใช่คนที่ดีมากพอที่จะอยากพัฒนาประเทศตัวเอง
- กลับมาที่ความจริงกันก่อนว่า ตอนนี้ประเทศเราเป็นยังไง ประเทศเรายังมีการแบ่งแยก ยังมีชนชั้น เรื่องความสามารถของคนยังไม่ได้มีค่าเท่ากับว่าคนคนนั้นเป็นใคร นั่นก็คือ คุณคือใครมีค่าน้อยกว่าคุณทำอะไร
- แม้ว่ามีคนจำนวนมากที่ยอมรับแล้วว่าผลงานของคนมีค่ามากกว่านามสกุล แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่คนธรรมดาในประเทศนี่จะประสบความสำเร็จ (มันแค่ยากนะ ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้)
- ปัญหาของเรื่องนี้ เรามองว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเวลาทำงานแล้วเรื่องค่าแรงขั้นต่ำมากที่เดียว เพราะค่าแรงขั้นต่ำที่มันต่ำมากจนเกินไปบวกกับเวลาทำงานที่เยอะเอามาก ๆ มันทำให้คนส่วนมากไม่มีเวลาที่จะไปพัฒนาตัวเอง แล้วก๋ไม่มีเงินมากพอที่จะเข้าถึงการศึกกษาด้วย
- แล้วการที่เราจะขยับค่าแรงขึ้นจนทั้งประเทศหลุดพ้นจากความจนได้นั้น มันก็ต้องอาศัยความสามารถทั้งของภาครัฐแล้วก็ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่ เรามองว่ารายเล็กก็คงยิ่งต้องส่งเสริมการพัฒนาคนในประเทศกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะถ้าคนในประเทศมีเงินในกระเป๋าเยอะขึ้น เขาก็มีโอกาสหารายได้มากขึ้น หลังจากนั้นภาครัฐก็เข้ามาแนะแนวทางการขายสินค้าให้ต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการรายย่อย
- แล้วผู้ประกอบการรายย่อยก็มีโอกาสกลายเป็นรายใหญ่ แล้วเราก็จะมีรายย่อยเกิดขึ้นแล้วก็ล้มหายไปจนเป็นปกติ แต่ที่รายย่อยจะล้มหายไปมันก็มีหลายปัจจัย
- การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมันไม่ได้น่ากลัวถ้าเราควบคุมได้ เงินบาทอ่อน ของแพง... แล้วไง ก็ขึ้นค่าแรง ของก็ขายแพงขึ้น ดอกเบี้ยในธนาคารก็ลอยตัว ที่จะตายจริง ๆ จากการที่เงินเฟ้อหนักก็คือเจ้าหนี้นอกระบบ แต่ก็ย้ำหนักมากว่าต้องคุมค่าเงินอยู่ แล้วบอกตามตรงเลยว่าเราหวาดเสียวกับรัฐบาลชุดนี้มาก ๆ เพราะดูจากที่จัดการเรื่องโควิดกับกัญาเสรีแล้วก็ปวดใจจริง
- เราว่าเรื่องค่าแรงขั้นต่ำคงต้องเขียนแยกอีกซักบทความ เพื้อให้มันชัดเจนว่ามันควรจะขึ้นให้เป็นประโยชน์อย่างมีแบบแผนชั้นเชิง ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ก็ขึ้นเลยแล้วเจ้าของธุระกิจเขาบาดเจ็บฉิบหายกันหมด แบบนั้นมันไม่ได้นะ ...
- เอาเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของกัญชาเสรีแล้วก้น เพราะดูเหมือนบทความนี้จะยาวเกินไปละ
- เรื่องของกัญชาเสรี แรก ๆ เราก็ไม่ได้สนใจ ได้ยินมาผ่าน ๆ ก็คิดว่า...เออ... ดีเหมือนกัน เพราะเรารู้มาตลอดว่ามันมีคนแอบปลูก แล้วก็มีกัญชาเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน
- กัญชามันเป็นพืชที่หลายประเทศเขาเล็งมาตลอด ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและยังไม่พัฒนา ญี่ปุ่นก็มีมาทำสัญญากับเวียดนามแล้ว
- เรามองว่า ... ไม่ว่าตัวกัญชามันจะผิดหรือถูกกฎหมาย มันก็จะไม่หายไปจากประเทศแน่นอน เพราะงั้นเราเลยหวังว่า ถ้ามันจะเป็นการเปิดเสรี ก็อยากให้มันเสรีอย่างมีการควบคุม แต่ก็ดันปลูกกันได้ทุกบ้าน เราก็สงสัยอยู่ว่าเขาจะควบคุมมันยังไง
- มันน่าเสียดายที่แผนการใช้กัญชามันดูน่าเป็นห่วงมากกว่าจะมีประโยชน์ คือเราก็หวังนะว่าเขาจะคุมกัญชาได้จริง แล้วก็หวังมาก ๆ ว่าผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อยจะให้ความร่วมมือแล้วก็ช่วยกันควบคุมดูแลอย่างจริงจัง
- บางทีนะ ถ้ากัญชาเอาไว้สันทณาการได้น่าจะดีกว่า แต่ต้องจำกัดสายพันธุ์และสวนที่เอามาใช้ สายพันธุ์ไทยนี่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นกัญชงหรือสายพันธุ์รัสเซียที่มันไม่เมา อันนั้นก็อยากให้ลองพิจรณาดู เพราะเราก็ยังเชื่อว่ากัญชามันช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่า เลิกบุหรี่แล้วมาติดกัญชาแทนนะ ย้ำว่ามันต้องถูกควบคุม เพราะถ้าคุมไม่ได้ มันจะเป็นปัญหาใหม่ในอนาคต
- ส่วนคนที่ต้องใช้ทางการแพทย์ เราว่าไปขอสารสกัดจากโรงพยาบาลหรืออนามัยเอาดีกว่า อย่าถึงขั้นว่าปลูกกันได้ทุกบ้านเลย ให้เฉพาะคนที่ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจะดีกว่า
- และสิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความรู้ ให้ความรู้แบบชัดเจนไปเลยว่ากัญชาที่ว่าเป็นยาได้ เขาใช้ยังไง อะไรที่ทำให้มันมีคุณสมบัติเป็นยา แล้วโทษของมันคืออะไร อะไรที่ทำให้มันเป็นโทษกับร่างกาย ไม่ใช่จะมาบอกแค่ว่ามันเป็นยาวิเศษรักษาโรคได้ หรือมันเป็นโทษต่อร่างกายและทำลายสมอง ... เราไม่ได้อยู่ในยุคท่องจำบทสวดมนต์นะคะ และคนก็ไม่ควรจะถูกลงโปรแกรมจากบทสวดง่าย ๆ ด้วย
- สุดท้ายแล้ว บางทีความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งต่าง ๆ นี่แหละมั้ง ที่จะสามารถมาเป็นเกราะป้องกันให้กับคนเราได้ดีที่สุด เพราะถึงว่าเราจะไม่เห็นด้วยว่าประเทศเราควรจะทำกัญชาเสรีในตอนนี้ แต่เราก็ไม่ใช่คนกำหนดว่ามันจะผ่านกฎหมายหรือไม่
- ถ้ามันไม่ผ่านกฎหมาย ก็ต้องเข้าใจอีกว่ามันก็ไม่ได้หายหรอก และการให้ความรู้ต่อไปมันก็เป็นเรื่องดี หรือถ้ามันดันผ่านขึ้นมา มันก็ต่างกันแค่จากที่ผิดกฎหมายกลายเป็นถูกกฎหมายแค่นั้นแหละค่ะ ก็อยู่ที่ว่าเขาจะหาวิธีควบคุมมันยังไง ส่วนเราก็เรียนรู้วิธีที่จะหาประโยชน์จากมันดีกว่า (เนาะ)
- อ่อ ... เราขอบอกไว้นิดนึงนะคะ ตอนที่มันผิดกฎหมาย เราก็ไม่คิดว่าเขาควบคุมได้หรอกค่ะ ส่วนตอนที่มันถูกกฎหมาย เราก็ไม่มันใจเหมือนกันว่าเขาจะคุมได้
โฆษณา