[Podcasts #W7Day2] มาระโก บทที่ 11 ข้อ 22 พระเยซูจึงตรัสตอบเหล่าสาวกว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้า.”
โรม บทที่ 8 ข้อ 31 ด้วยเหตุเหล่านี้ เราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงช่วยเหลือเรา ใครผู้ใดจะต่อต้านเราได้?
เอเฟโซ บทที่ 3 ข้อ 20 แต่ขอให้สง่าราศีจงมีแด่พระองค์ ผู้ทรงสามารถกระทำสำเร็จซึ่งสิ่งสารพัดอย่างล้นเหลือเหนือกว่าที่เราจะขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ดำเนินการอยู่ภายในเรา.
เราต้องมีความเชื่อในพระเจ้า (มก.11:22). พระเจ้าทรงเที่ยงแท้, ทรงพระชนม์, เป็นปัจจุบัน, และสะดวกง่ายดาย. เราจำเป็นต้องมีความเชื่อในพระองค์.
เรายังต้องมีความเชื่อในพระทัยของพระเจ้าด้วย.... พระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่อเราย่อมดีเสมอ. ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราหรือการทนทุกข์ที่เราประสบนั้นเป็นอย่างไร เราก็ควรเชื่อในพระทัยที่ดีงามของพระเจ้าเสมอ (รม.8:31–39). พระเจ้าไม่ทรงมุ่งหมายที่จะลงโทษเรา, ทำให้เราบาดเจ็บ, หรือทำให้เราต้องสูญเสีย. (The Conclusion of the New Testament, p. 3464)
ถ้าจะพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว การ “ขอหรือคิด” ใน อฟ.3:20 ไม่ได้ชี้ถึงเรื่องฝ่ายวัตถุ แต่ชี้ถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณที่เกี่ยวกับคริสตจักร. สำหรับเรื่องฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ เราจำเป็นต้องคิดและขอด้วย. สิ่งที่เราคิดอาจมีมากกว่าสิ่งที่เราขอ.
แต่พระเจ้าไม่เพียงกระทำให้สิ่งที่เราขอเพื่อคริสตจักรสำเร็จเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังทรงทำให้สิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับคริสตจักรสำเร็จเป็นจริงแล้ว และพระเจ้าก็ทรงสามารถที่จะกระทำได้อย่างล้นเหลือเหนือกว่าที่เราจะขอหรือคิดได้ตามฤทธิ์เดชที่ได้ดำเนินการอยู่ภายในเรา. (อฟ.3:20 อธิบาย 2)
ฤทธิ์เดชที่อยู่ภายในซึ่งถูกกล่าวไว้ใน อฟ.1:19–20 ก็คือฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นของพระเจ้า ไม่ใช่ฤทธิ์เดชในการเนรมิตสร้างของพระองค์. ฤทธิ์เดชในการเนรมิตสร้างของพระเจ้าได้ก่อกำเนิดสิ่งของฝ่ายวัตถุที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของเรา (รม.8:28) ส่วนฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นของพระเจ้าได้ทำให้เรื่องราวฝ่ายวิญญาณสำหรับคริสตจักรสำเร็จสมบูรณ์อยู่ภายในตัวเรา. (อฟ.3:20 คำอธิบาย 3)