13 ก.ค. 2022 เวลา 23:02 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์
เรือคำหยาด 7 แผ่นดิน แห่งหนองคาย
เรือคำหยาด (ภากจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน 2540)
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม, ฉบับเดือนเมษายน 2540
ผู้เขียน สิทธิพร ณ หนองคาย
เผยแพร่ วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2565
คําหยาด เป็นชื่อพระตําหนักของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด) สมเด็จพระราชอนุชาของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ตามพงศาวดารว่า สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พระชนกนาถ ทรงระบุให้ครองราชย์ โดยข้ามสมเด็จพระเชษฐาไปเสีย สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต จึงทรงผนวชหลีกเลี่ยงปัญหานี้ จนได้พระสมัญญาดังกล่าวและมาสร้าง “พระตําหนักคําหยาด” ประทับอยู่เมืองอ่างทอง
เมื่อครั้งคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ และคุณขรรค์ชัย บุนปาน ยังเป็น 2 กุมารสยามอยู่มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็ได้สํารวจและนําเรื่องพระตําหนักคําหยาดนี้ออกเผยแพร่ จนท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ รัตนกวีศรีสยาม ประทับใจคำไพเราะเพราะพริ้งนี้ เมื่อรวมกวีนิพนธ์ครั้งเป็นวัยจ๊าบครั้งแรก จึงตั้งชื่อรวมบทกวีนี้ว่า “คําหยาด”
แต่คําหยาดแห่งเมืองหนองคายมิใช่พระตําหนักหรือหนังสือรวมบทกวี หากแต่เป็นเรือประจำตำแหน่งเจ้าเมืองหนองคาย ในอดีตคุณตาชัยโย ณ หนองคาย อายุ 73 ปี ผู้ดูแลเรือในปัจจุบันถ่ายทอดให้ฟังว่า พระปทุมเทวาภิบาลที่ 1 (บุญมา ณ หนองคาย) ครั้งเป็นท้าวสุวอธรรมา (ราชทินนาม) อุปฮาดเมืองยโสธร นําทัพลูก
หลานพระวอพระตา ร่วมกับเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สมุหนายกมหาดไทย บุกเวียงจันท์แก้แค้นให้บรรพบุรุษ จนตั้งเมืองหนองคายขึ้นแทนที่ และได้เป็นเจ้าเมืองท่านแรก พ.ศ. 2370 นั้น เมืองหนองคายก็ต้องเผชิญศึก “อานาม-สยามยุทธ์” ถึง 15 ปี ด้วยสถานการณ์ในลาวและเขมรที่เวียดนามหนุนอยู่
พระปทุมเทวาภิบาลที่ 1 จึงให้บ่าวไพร่หาต้นไม้มงคลที่งามที่สุด เพื่อขุดสร้างเรือเร็วประจําตําแหน่งขึ้น เพราะเป็นภาหนะสําคัญตามเส้นทางน้ำยุคนั้น เช่น แม่น้ำโขง ห้วยโมง ห้วยสวย หรือแม่น้ำงึม เพื่อยันศึกและรักษาความสงบ จนมาพบต้นตะเคียนหินขนาดใหญ่ ณ ดงละคุ (ท้องที่ตําบลหนองนาง อําเภอท่าบ่อ ในปัจจุบัน) โดยจัดพิธีล้มไม้อย่างโบราณ ซึ่งในระหว่างทําพิธีล้มนั้น มีหยาดน้ำไหลหยาดเยิ้มตลอด (ไม่ทราบว่าตกมันหรือหยดน้ำจากต้นไม้อื่นหรือน้ำค้างลง) แล้วใช้ช้างชัก
ลากมาโฮงเฮือเจ้าเมือง (ซอยไปรษณีย์ ปัจจุบัน) โดย “ญาคูใหญ่บ้านนาฮ่อง” ประกอบพิธีขุด เป็นเรือขนาดใหญ่ 40 ฝีพาย ตั้งชื่อตามหยาดน้ำ ในพิธีล้มว่า “เรือหยาดคำ” (คําหมายถึง ทองคำ) ไม่ทราบวันเดือนปีแน่ชัด แต่คาดว่าคงระหว่าง พ.ศ. 2370-2371 เพราะเป็นห้วงศึกสงคราม จึงต้องรีบเร่งสร้าง และใช้เรือคำหยาดนี้รับศึกอานาม-สยามยุทธ์ด้านนี้จนสงบ
พระปทุมเทวาภิบาลที่ 2 (เคน ณ หนองคาย) ผู้บุตรเป็นเจ้าเมืองต่อมา เมืองหนองคายก็เผชิญ “ศึกฮ่อ” (ขบถไทเผงของจีน) ที่แตกพ่ายลงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2418 เป็นศึกใหญ่ เมื่อทัพฮ่อบุกจะข้ามแม่น้ำโขงถึง 3 ครั้ง เรือคําหยาดก็ได้มีส่วนสําคัญรับศึกทุกครั้ง จนล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 โปรดให้ พ.อ.กรมหมื่นประจักษ์ศิลปา
คม (พลตรีกรมหลวงต่อมา) เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้นำทหารหัดใหม่แบบยุโรป (ซีปอย) มาตั้งเป็นเมืองหนองคายปราบฮ่อครั้งที่ 4 พ.ศ. 2428 เสด็จในกรมทรงนำทัพขึ้นไปตีขนาบร่วมกับทัพเหนือ ณ ทุ่งเชียงคำ (แขวงเชียงขวาง ประเทศลาวในปัจจุบัน) เรือคําหยาดก็ได้ร่วมศึก บรรทุกข้าวสาร เสบียง เวชภัณฑ์ ฯลฯ พายทวน
แม่น้ำโขง แม่น้ำงึมไปส่งหลายเที่ยว ขากลับก็นําผู้บาดเจ็บมารักษาที่เมืองหนองคาย จนวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 ตรงกับวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2428 (พ.ศ. 2429 แบบสากล) ก็ตีค่ายฮ่อแตก เรือคําหยาดได้นําเชลยศึกฮ่อ และอัฐิทหารที่เสียชีวิตกลับเมืองหนองคาย เสด็จในกรมนําเชลยมาคุมขังไว้ข้างวัดลําดวน ซึ่งเรียก “ซอยฮ่อ” ปัจจุบัน และสร้างสถูปบรรจุอัฐิทหารไทยไว้ข้างสถานีตํารวจภูธร อําเภอเมืองหนองคาย
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 พ.ศ. 2436 กับฝรั่งเศสกรณีพระยอดเมืองขวาง เจ้าเมืองคําเกิดคําม่วนเป็นปฐมนั้น คาดว่าฝรั่งเศสหวาดเกรงเรือคําหยาดมาก จึงไม่กล้าส่งเรือรบบุกแม่น้ำโขง เบนเข็มส่งเรือรบ ลังคองสตังส์, ลูแตงและโคเมต บุก
แม่น้ำเจ้าพระยาแทน (ฮา) จนสยามสละสิทธิ์ฝั่งซ้ายให้ และฝรั่งเศสตั้งเวียงจันท์เป็นศูนย์กลางการปกครองขึ้นมาใหม่ พระกุประดิษฐ์บดี (สาลี, ชาลี กุประดิษฐ์) เจ้าเมืองจันทบุรี (เวียงจันท์) ไม่พอใจอยู่กับฝรั่งเศส จึงเทครัวอพยพมาอยู่ “บ้านท่าบ่อเกลือ” ฝั่งขวา ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงปีติโสมนัส ในความจงรักภักดีนี้ จึง
โปรดให้ยกเป็น “เมืองท่าบ่อ” (รวมอำเภอสังคม, ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี) และเป็นเจ้าเมืองตลอดชีวิต เสด็จในกรมข้าหลวงต่างพระองค์ และพระยาวุฒาธิคุณ (เคน ณ หนองคาย) ที่ปรึกษาฯ ต้องถอยไป ตั้งมั่นอยู่อําเภอหมากแข้ง (อ.เมืองอุดรธานี) เจ้าคุณวุฒาฯ จึงยกเรือคําหยาดให้เจ้าเมืองท่าบ่อซึ่งเป็นบุตรเขยด้วย
พระกุประดิษฐ์บดีและคุณนายเปี่ยง ได้ดูแลเรือคําหยาดมานาน โดยผูกไว้โรงเรือวัดท่าคกเรือ เมืองท่าบ่อ ครั้นถึงแก่กรรมจึงยกเป็นมรดกให้ “ขุนกวนวันวาที” (สม สุมารสิงห์) กํานันตําบลกวนวัน อ.เมือง หนองคาย (คาดว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 พ.ศ. 2460) ขุนกวนวันวาทีก็ใช้ในราชการ และใช้เป็นเรือแข่งตามอําเภอต่างๆ
ริมแม่น้ำโขง ในงานบุญซ่วงเฮือออกพรรษาทั้งฝั่งลาวด้วยบรรดาเรือแข่งไทย-ลาว หนองคาย-เวียงจันท์ เชื่อว่า “แม่ย่านาง” เรือคําหยาดแรงมาก จึงชนะผูกขาดมาตลอด หากประกบกับเรือใด เสียงตะโกนก้องกระหึ่มทั้งสองฝั่งโขง “อีหยาดลําวัง อีหยาดเฮียเขา อีหยาดเข้าเส้นชัยแล้ว…” เฮ้ (อีหยาดอยู่ด้านนอก, อีหยาดตกแล้วเฮียหรือเหี่ย)
ห้วงสงครามอินโดจีน พ.ศ. 2483 ต่อด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือคําหยาดแห่งบ้านกวนวัน ก็มีส่วนช่วยราชการจนสงบศึก ครั้นท่านขุนถึงแก่กรรม เรือคําหยาดก็ถูกเข็นทิ้งไว้ใต้ถุนเรือนมาพักหนึ่ง จนคุณตา ชัยโย ณ หนองคาย บุตรหลานเจ้าเมืองเก่ามาแต่งงานกับคุณยายพร (สุมารสิงห์) ธิดาท่านขุน เมื่อทราบว่าเป็นเรือคําหยาดประจําตําแหน่งเจ้าเมืองหนองคายบรรพบุรุษ จึงขอแรงชาวบ้านซ่อมใหญ่โดยบีบเรือให้หดและขันชะเนาะให้ตึง เมื่อประมาณ พ.ศ. 2490 เรือคําหยาดก็โลดโผนโจนทะยานสู่แม่น้ำโขง อีกวาระหนึ่งดุจพญานาค
ชาวสองฝั่งโขงหนองคาย-เวียงจันท์ เมื่อจัดงานเทศกาลออกพรรษาปีใด หากไม่เห็นเรือคําหยาดจะรู้สึกว่างานพิธีปีนั้นไม่สมบูรณ์ ถามข่าวคราวกันทุกแห่ง ดุจญาติผู้ใหญ่ด้วยความเป็นห่วง นับเป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่เรือลําใด้ก็ไม่อาจทดแทนความรู้สึกผูกพันได้ถึงเพียงนี้
เรือคําหยาดซ่อมต่ออายุอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2537 คงหัวท้ายและแคมเรือเดิมไว้ คุณตาชัยโยหาไม้ตะเคียนใหม่ขุดท้องเรือและใช้แผ่นเหล็กยึดขันน็อตประมาณ 200 ตัวแน่นสนิท แต่คงทําพิธีบวงสรวง แม่ย่านางเรือไม่ถูกต้องนัก จึงชนะบ้างแพ้บ้างจนถึงปีนี้ คุณตาชัยโยอายุ 73 ปีแล้ว ตั้งปฏิญาณแน่วแน่ “คนอยู่ เรืออยู่”
ธรรมเนียมทหารเรือประเทศที่เจริญแล้ว เรือรบใดไม่ว่าไม้หรือเหล็ก หากมีเกียรติประวัติในการรบดีเด่น ประเทศนั้นจะถือเป็นเกียรติยศของชาติ ขึ้นระวางดูแลรักษาอย่างดีไว้เป็นอนุสรณ์และประดับอิสริยาภรณ์เหรียญตราต่างๆ ที่เรือลํานั้นผ่านสมรภูมิหรือยุทธนาวีด้วย เรือคําหยาดแห่งหนองคายลํานี้กรําศึกมาอย่างโชกโชน หากนับตั้งแต่ พ.ศ. 2370 ก็ถึง “169 ปีเต็ม 7 แผ่นดิน” รัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 ถึงปัจจุบัน ผ่านศึกอานาม-สยามยุทธ์, ศึกฮ่อ, ศึกฝรั่งเศส, สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
หากราชนาวีไทยซึ่งแบ่งภาคมาเป็น “หน่วยปฏิบัติการตามลําแม่น้ำโขง” (นปข.) รักษาความสงบและกฎหมายในภาคอีสาน ซึ่งมีความเชื่อและเคารพในแม่ย่านางเรือ ตามธรรมเนียมชาวเรือเช่นกัน จะทําเรื่อง ขอพระราชทานเหรียญปราบฮ่อ, เหรียญทหารอาสา (สงครามโลกครั้งที่ 1), เหรียญชัยสมรภูมิ (สงครามอินโดจีน
และสงครามโลกครั้งที่ 2) เหรียญราชการชายแดน, เหรียญพิทักษ์เสรีชน หรือเหรียญกล้าหาญ ประดับให้เรือคําหยาดแห่งหนองคายก็น่าจะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง หรือจะนําชื่อ “คําหยาด” ไว้ขอพระราชทานชื่อเรือหลวงราชนาวีไทยลําใดในอนาคต ชาวจังหวัดหนองคายก็พร้อมจะรับเกียรตินี้ทุกประการ
โฆษณา