15 ก.ค. 2022 เวลา 09:11 • กีฬา
ปิดท้ายเรื่องราวของ The Match ที่จบไปแล้ว กับเรื่อง "โทรฟี่แชมป์" นะครับ อ่านที่นี่ โพสต์เดียวจบเข้าใจทุกอย่างเลย
1
ก่อนอื่นเลย เรื่องโทรฟี่แชมป์ในแดงเดือดครั้งนี้ คุณวินิจ เลิศรัตนชัย ผู้จัดการแข่งขันให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้แรงบันดาลใจจากการเห็นโมเดลสนามแอนฟิลด์ ที่อังกฤษ ดังนั้นก็คงจะดี ถ้าเอาโมเดลสนามแบบนี้ มาเป็นโทรฟี่ให้ทีมแชมป์ในไทยบ้าง
ด้วยความที่การแข่ง The Match ครั้งนี้ มี Official Partner คือ บริษัทไอที Advice ดังนั้นเมื่อจะทำเป็นโมเดลแล้ว ก็เอามาเป็นธีมของสินค้าไอทีไปเลย
ทาง Advice จึงไปจ้างคุณสุเชาว์ เภาพงษ์ นักทำเคสคอมตั้งโต๊ะระดับโลก (Case Modder) ให้ช่วยดีไซน์และสร้างเคสคอม สำหรับงานนี้ขึ้นมาหน่อย ซึ่งเขาก็ออกแบบได้อย่างสุดยอดมากๆ
1
คุณสุเชาว์ทำเคสคอม เป็นรูปสนามราชมังคลากีฬาสถานเป็นฐาน โดยมีโทรฟี่แชมป์ The Match วางอยู่ด้านใน คือพูดกันแฟร์ๆ เลยนะ มันเป็นงานศิลป์ที่เหนือชั้นมาก แต่จะเหมาะเป็นโทรฟี่ไหม นั่นก็อีกเรื่อง
1
ที่ถามว่าเหมาะไหม เพราะโมเดลสนามกับเคสคอมพิวเตอร์ทั้งอัน รวมโทรฟี่ มีน้ำหนักรวมที่มากกว่า 20 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าหนักพอตัวทีเดียว (ลูกสาวผม 3 ขวบ หนัก 14 กิโลกรัมเอง)
1
ถ้าคิดว่า ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยังหนักแค่ 7.5 กิโลกรัม เคสนี้ก็หนักกว่าเกือบ 3 เท่า คือปกติถ้วยในทัวร์นาเมนต์เล็กๆ เตะนัดเดียวจบแบบนี้ มักจะกะทัดรัดหน่อยอ่ะนะ
1
แล้วด้วยความที่มันเป็นเคสคอม คนที่ได้โทรฟี่แชมป์ ก็ต้องแบกอุ้มเหมือนกระสอบเลย ก็เป็นภาพที่แปลกดีเหมือนกัน ไม่เหมือนใครในโลกดี
1
คุณโป้ง -จักรกฤษ รุกขเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ AMD Thailand ออกมาโพสต์อธิบายว่า ความจริง คุณสุเชาว์ผู้ออกแบบก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะถูกเอามาใช้มอบให้แชมป์ คิดว่าใช้แค่ตั้งโชว์เฉยๆ
1
"เจ้าตัวเองก็ไม่ทราบเลยว่า เครื่องนี้ จะถูกใช้ให้เป็น ถ้วยรางวัลในงานนี้ เพราะ ผมเชื่อว่า ถ้าเจ้าตัวทราบแต่แรก คงปรับรูปแบบให้เหมาะกับการใช้งาน มากกว่านี้แน่นอน"
1
"ผมแอบทราบมาว่า ผลงานของพี่เชาว์ ถูกใจทางผู้จัดงานมาก จนตัดสินใจเลือกเครื่องนี้เป็นถ้วยรางวัลของงานนี้"
ถ้าอ้างอิงจากคำของคุณจักรกฤษ ก็พอจะสื่อได้ว่า ตอนแรกสุดคุณสุเชาว์คงรับข้อมูลจาก Advice ให้จัดทำเคสคอมมาเพื่อจุดประสงค์หนึ่ง โดยไม่ได้คาดคิด ว่าจะให้นักบอลเอาไปชูในการฉลองแชมป์แบบนั้น
2
คือถ้ามันถูกใช้ตามจุดประสงค์แรกสุด คือการตั้งโชว์ถ่ายรูปมันคงตอบโจทย์มากเลย แต่พอนักบอลต้องยกเคสคอมมีใบพัดขนาดนั้น สำหรับการฉลองแชมป์มันก็แปลกพิลึกอยู่เหมือนกัน
1
หลายคนบอกว่า จริงๆ โทรฟี่มัน "แกะแยก" ออกจากฐานที่เป็นเคสคอมได้ แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ผู้จัดถึงมอบให้แมนฯ ยูไนเต็ด แบบทั้งเคส ไม่ได้แกะแยกเอาแค่โทรฟี่อย่างเดียว คือถ้าเอาแค่ตัวโทรฟี่มันคงจะเบากว่านี้พอตัว
หลังจากนักบอลทำพิธีฉลองแชมป์เสร็จ ก็มาถึงดราม่าในสเต็ปต่อไป นั่นคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เอาถ้วยเคสคอมติดตัวไปออสเตรเลียด้วย
ถ้วยเคสคอม เลยถูกวางไว้ที่ห้องของสื่อมวลชนในสนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยจังหวะนั้นเองคุณมายด์ เจ้าของเพจเปี๊ยกบางใหญ่ ที่ปัจจุบันเป็นผู้สื่อข่าวของขอบสนาม ได้เห็นถ้วยวางอยู่ จึงถ่ายรูปแล้วโพสต์ใน FB ส่วนตัวว่า "อ้าวไม่เอาถ้วยกลับหรอแชมป์ !! ถ้วยถูกวางทิ้งไว้ห้องนักข่าว"
ด้วย 2 ประโยคนี้ มันไปกระทบใจของแฟนบอลที่รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เห็นภาพบรูโน่ เฟอร์นันเดส อุ้มเคสคอมแล้ว หลายคนคอมเมนต์ว่า จะเซอร์ไพรส์อะไรล่ะ เอาโมเดลสำหรับตั้งโชว์มาให้นักบอลเขาชูถ้วยแชมป์ซะงั้น เขาไม่เอาไปด้วย ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
2
พอคนพูดต่อๆ กัน ก็กลายเป็นไวรัลอย่างแรงทันที ทีวีช่องใหญ่ๆ และเพจดังๆ ก็หยิบเอาเรื่องนี้ไปเล่น เรื่องมันเลยบานปลายเป็นการไปดิสเครดิตคนออกแบบอีก ว่าออกแบบยังไงให้นักบอลถือยาก (แต่จริงๆ จะโทษผู้ออกแบบได้หรือ เมื่อจุดประสงค์แต่แรก คือเข้าใจว่าจะเอาเคสคอมไปตั้งโชว์ ไม่ใช่ให้นักบอลยก)
1
สำนักข่าวต่างประเทศ ก็มีเอาไปเล่น มีเพจ Troll เอาไปแซว สุดท้ายวินิจ เลิศรัตนชัย ผู้จัดการแข่งขัน จึงต้องให้สัมภาษณ์กับเรื่องเด่นเย็นนี้ ทางช่อง 3 ว่า
"เรียกว่ามันเป็นดราม่านรกจริงๆ เราอย่าด้อยค่าในสิ่งที่ทุกคนมีความตั้งใจ ไม่ใช่แค่เห็นว่ามันอยู่ในห้องทีมงาน ถ้าผมไปวางไว้อยู่ที่ใต้กองขยะ มันอาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมครับ เราอย่าขับเคลื่อนด้วยดราม่าที่มองโลกในแง่ร้าย แล้วก็สร้างความสับสน และไม่เข้าใจ มันเป็นเรื่องความบอบช้ำและเสียหาย เสียหายๆจริงๆนะครับ คนที่ทำแบบนี้"
4
วินิจอธิบายว่า ด้วยความที่ถ้วยแชมป์หนักเกิน 20 กิโลกรัม แถมมีขนาดใหญ่โต ทำให้สตาฟฟ์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ไม่สามารถขนย้ายไปที่ออสเตรเลียได้ด้วย ทางผู้จัดก็เลยต้องใส่แพ็คเกจใส่กล่องให้เรียบร้อย แล้วส่งเดินทางตามไปที่อังกฤษด้วย DHL
1
สุดท้ายเพจเปี๊ยกบางใหญ่ ต้องลบโพสต์ทิ้ง แล้วเขียนสเตตัสขอขมาวินิจ และ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดท้ายเรื่องราวก็จบลงตรงนี้
------------------------
โอเค เหตุการณ์นี้มันมี 2 เรื่องที่ขนานไปด้วยกัน คือ 1) ความเหมาะสมของถ้วย และ 2) สิทธิ์ที่นักข่าวจะตั้งคำถาม เราอย่าเอาสองเรื่องนี้มันปะปนกันนะครับ เพราะมันคนละประเด็น
3
เอาเรื่องแรก คือความเหมาะสมของถ้วยก่อน ถามว่าเห็นครั้งแรกรู้สึกแปลกไหม ก็ต้องตอบว่าแปลก เพราะโทรฟี่ที่อยู่ในเคสคอมพิวเตอร์หนัก 20 กว่ากิโลกรัม เวลาชูถ้วยแชมป์ทีต้องแบกกันเหนื่อยเลย คืออย่างที่บอกว่า ถ้าโมเดลสนามได้ทำตามที่ผู้ออกแบบดีไซน์ไว้แต่แรกคือ "ตั้งโชว์ให้ถ่ายรูป" มันคงจะเพอร์เฟ็กต์กว่านี้ แต่พอเอามาให้นักบอลยก มันก็ดูไม่เหมือนใครดี
1
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า มันก็ไม่ควรมีดราม่าขนาดนั้น เพราะในงานฟุตบอลระดับนี้ ตัวแทนจากทั้ง 2 สโมสร ต้องเห็นโทรฟี่ก่อนแล้วแน่นอนครับ และต้องเห็นชอบร่วมกันด้วยว่าโอเคนะ รับได้
3
เพราะแม้จะหนัก 20 โล แต่ยกแป้บเดียวก็จบแล้วครับไม่ถึง 5 นาที นักบอลเขาไม่สนใจอะไรขนาดนั้นหรอก ในการมาทัวร์ปรีซีซั่นที่ต่างแดน พวกเขาต้องรู้อยู่แล้วว่า ต้องเจอวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกับที่ตัวเองคุ้นเคย ทั้งอาหารการกิน การเชียร์ รวมถึงโทรฟี่แชมป์
เคยได้ยินชื่อ กัลกัตต้า คัพ ไหมครับ เป็นการแข่งรักบี้ระหว่างอังกฤษ กับ สกอตแลนด์ ถ้วยของผู้ชนะรายการนี้ เป็นรูปช้างกับงูเห่า ซึ่งก็มีดีไซน์แปลกทีเดียว สาเหตุที่ออกแบบอย่างนี้ เพราะการแข่งครั้งแรกจัดขึ้นที่เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ดังนั้นถ้วยรางวัลก็ควรสะท้อนความเป็นอินเดียอย่างชัดเจนด้วย
3
ดังนั้นถ้วยแชมป์เคสคอม ผมว่าก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดรับไม่ได้ สองสโมสรเองก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร ใครได้แชมป์ก็ชูโทรฟี่กันให้เรียบร้อย แล้วก็บินเดินทางไปเมืองอื่นเพื่อแข่งต่อ
ส่วนที่ผู้จัดจะส่งไปให้สโมสร แล้วเขาจะเอาไปตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์หรือเปล่านั้น ผมก็อยากให้เขาทำนะครับ ถ้ามีสนามราชมังฯ ในพิพิธภัณฑ์ของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็คงเจ๋งดี แต่จากที่เคยไปโอลด์แทรฟฟอร์ดมาแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาจะแบ่งพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ให้กับโทรฟี่ใบนี้ได้จริงไหมๆ เพราะมันก็ใช้พื้นที่เยอะเหมือนกันนะ
3
ทีนี้มาประเด็นที่ 2 นั่นคือ สิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม
พอเห็นโทรฟี่ที่ออกแบบมาอย่างสะดุดตาขนาดนี้ แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ยอมเอาติดตัวไปด้วย ทำให้คุณมายด์โพสต์ใน FB ขึ้นมา
ทีนี้เราก็ต้องมาตีความว่า สิ่งที่เธอโพสต์ "อ้าวไม่เอาถ้วยกลับหรอแชมป์ !! ถ้วยถูกวางทิ้งไว้ห้องนักข่าว" 2 ประโยคนี้ เธอมีเจตนาอะไรกันแน่
- ถามเฉยๆ สงสัยว่าไม่เอาถ้วยกลับหรือ
- จงใจแซะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เพราะเธอเป็นแฟนลิเวอร์พูล)
- จงใจด้อยค่าการแข่งขัน ว่าแบบแมนฯ ยูไนเต็ดไม่ภูมิใจถึงขั้นไม่เอาถ้วยกลับ
ผมว่าที่คุณวินิจเขาเดือดดาลขนาดนี้ ถึงกับใช้คำว่า "ดราม่านรก" เพราะเปี๊ยกบางใหญ่ เป็นพนักงานของขอบสนาม ที่เป็นพาร์ทเนอร์ของการแข่งครั้งนี้เช่นกัน คือมีเบอร์โทรกันอยู่แล้ว สามารถโทรมาหาได้เลย เพื่อจะได้อธิบายว่า ทำไมถ้วยถึงวางไว้แบบนี้ พอคุณมายด์ไปโพสต์ใน FB ส่วนตัว จนสื่อต่างๆ เอาไปเล่น มันก็เลยเหมือนตัวเองถูกดิสเครดิตไปโดยปริยาย
ผมไม่รู้เจตนาของคุณมายด์ในการโพสต์แต่แรกคืออะไร (เธอบอกว่าไม่ทันคิด ว่าจะมีผลกระทบวงกว้างขนาดนี้) แต่ผมมองว่า คำถามทั้งหมดจะไม่เกิดเลย ถ้าผู้จัดมีการสื่อสารที่ชัดเจนตั้งแต่แรก
ถ้าหากแจ้งให้สื่อมวลชนรู้ตั้งแต่ก่อนแข่งว่า โทรฟี่จะเป็นเคสคอมแบบนี้นะๆ แล้วชี้แจงต่อว่า สองสโมสรตกลงเรียบร้อยแล้ว และทีมแชมป์ก็จะไม่เอากลับทันทีเพราะมีปัญหาเรื่องการขนย้าย ถ้าหากทุกอย่างเคลียร์ชัดเจนตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีคนตั้งคำถามอะไรเลย
ถ้าเราลองเสิร์ชข้อมูลดู จะพบว่าผู้จัดไม่เคยแจ้งอะไรเกี่ยวกับโทรฟี่เลย พอไม่มีใครรู้อะไร แล้วโทรฟี่วางอยู่ห้องนักข่าวเฉยๆ ไม่มีการติดป้ายแจ้งบอกอะไรสักอย่าง ใครจะสงสัยก็ไม่เห็นแปลกนะ
1
ผมเข้าใจที่คุณมายด์ออกมาขอโทษและลบโพสต์แรก เพราะยังไงซะเธอก็เป็นพนักงานของขอบสนาม มันก็ต้อง Take Action ออกมาในทิศทางนี้แหละ ไม่งั้นองค์กรตัวเองก็ได้ผลกระทบไปด้วย
1
อีกอย่างเธอคงจะลืมไปว่าแม้จะโพสต์ FB ส่วนตัว (คนติดตาม 5 พันกว่า) แต่เธอก็ยังมีสเตตัสของการเป็นนักข่าวอยู่ การโพสต์อะไร ที่จะนำไปสู่ความไวรัล ต้องคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นจริงๆ ยิ่งกรณีนี้ เธอมีเบอร์สายตรงคุณวินิจสามารถเช็กข่าวก่อนลงได้เลยด้วยซ้ำ
2
สุดท้าย ต้นสังกัดขอบสนามสั่งแบนคุณมายด์ เป็นเวลา 10 วัน เพื่อเป็นการลงโทษ
2
แต่ถึงกระนั้นผมก็คิดว่า จะไปโยนความผิดทั้งหมดให้เธอก็ไม่ใช่เรื่อง ก็ผู้จัดไม่สื่อสารแต่แรกนี่นา เมื่อไม่ชี้แจงให้เคลียร์ แล้วมาตำหนิว่าคนอื่นด้อยค่าทัวร์นาเมนต์ มันถูกต้องแล้วหรือ?
3
หากเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง ก็ออกมาอธิบายดีๆ ด้วยเหตุผลก็ได้ ผมว่าประชาชนก็พร้อมเข้าใจอยู่นะ แต่ไปบอกว่าอีกฝ่ายด้อยค่า และสร้างความบอบช้ำให้คนทำงาน มันเกินเบอร์ไปเยอะมากเลยครับ
1
บทสรุปเรื่องโทรฟี่แดงเดือดก็จบลงตรงนี้ครับ ถ้าถามเรื่องความสวยงามของการออกแบบ ผมต้องยืนปรบมือให้คุณสุเชาว์เลยครับ โมเดลราชมังคลากีฬาสถาน ตั้งอยู่บนเคสคอมพิวเตอร์ เป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ ได้เห็นคนไทยมีทักษะขนาดนี้ มันชื่นชมจริงๆ
7
ส่วนเรื่องความเหมาะสมว่าควรกับการเป็นถ้วยแชมป์ไหม อันนี้ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของทุกท่านนะครับ
ขณะที่ประเด็นการด้อยค่านั้น ผมมองว่าอยู่ที่คุณเชื่อมั่นในศักยภาพของทัวร์นาเมนต์ที่ตัวเองจัดแค่ไหน
ถ้าหากคุณทำทุกอย่างได้อย่างถูกต้องแล้ว มันไม่มีทางถูกด้อยค่าได้เพียงเพราะคำพูด 2 ประโยค ที่นักข่าวคนหนึ่งโพสต์ใน FB ส่วนตัวหรอกครับ
 
#LastTimeIwillWriteAboutYou
2
โฆษณา