16 ก.ค. 2022 เวลา 14:29 • สุขภาพ
กล้วยน้ำว้า มีประโยชน์สารพัดในการป้องกันและรักษาโรค
กล้วยน้ำว้า เป็นผลไม้ที่คนไทยรู้จักดี และคุ้นเคยกันตั้งแต่เด็ก เนื่องจาก เมื่อเราเกิด แม่ก็ป้อนกล้วยน้ำว้าให้เราทาน ถือว่าเป็นภูมิปัญญาไทย ซึ่งคนสมัยก่อนจะรู้ว่า กล้วยน้ำว้ามีคุณค่าทางโภชนาการและคุณประโยชน์มหาศาล
โดย กล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยกรดอะมิโน (Amino acid) คือ อาร์จีนิน (Arginine) ฮีสตีดิน (Histidine) ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีในน้ำนมแม่เช่นเดียวกัน คนจึงนำมาบดให้กับข้าวให้ลูกทาน
ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าระยะต่างๆ ซึ่งมีสีเปลี่ยนไป หรือ กล้วยน้ำว้า 4 สี มีมากมาย ทั้ง กล้วยดิบ (สีเขียว) กล้วยห่าม หรือกล้วยที่กำลังจะสุก (สีเขียวปนเหลือง) กล้วยสุก (สีเหลือง) กล้วยงอม (สีเหลืองเข้มดำๆ)
ก่อนที่จะกล่าวถึงประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการของกล้วยน้ำว้าห่าม ขอพูดถึงประโยชน์ของกล้วยน้ำว้า 4 สี คร่าวๆก่อนดังนี้
1. กล้วยดิบ (สีเขียว) จุดเด่น: แก้โรคกระเพาะ
อุดมไปด้วยสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีส่วนช่วยในการเคลือบกระเพาะ ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย และบรรเทาอาการท้องเสียได้เป็นอย่างดี และเนื่องจากเป็นกล้วยดิบทำให้ไม่มีรสหวาน จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย
2. กล้วยห่าม หรือกล้วยที่กำลังจะสุก (สีเขียวปนเหลือง) จุดเด่น: แก้ท้องเสีย
มีส่วนช่วยในการทดแทนโพรแทสเซียม (Potassium) ที่สูญเสียไปจากร่างกายในตอนที่ท้องเสีย นอกจากนี้ กล้วยห่ามจะช่วยเพิ่มจุลินทรีย์โปรไบโอติก (Probiotic) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีที่พบในลำไส้นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น กล้วยห่ามยังอุดมไปด้วยสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีส่วนช่วยในการรักษาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่รุนแรงได้อีกด้วย
3. กล้วยสุก (สีเหลือง) จุดเด่น: แก้ท้องผูก
มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ อุดมไปด้วยสารเพ็กติน (Pectin) ที่เป็นเส้นใย ช่วยเพิ่มกากอาหารทำให้สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น และมีส่วนช่วยป้องกันโรคริดสีดวงทวารได้ โดยแนะนำให้กินวันละ 1 ลูกก็เพียงพอแล้ว ไม่เช่นนั้นน้ำตาลอาจจะสูงเกินได้
4. กล้วยงอม (สีเหลืองเข้มดำๆ) จุดเด่น: ต้านมะเร็ง
อาจจะดูไม่น่ากิน แต่กล้วยงอมมีเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) ซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ทั้งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาร Tumor Necrosis Factor (TNF) ที่ช่วยป้องกันจากเซลล์ที่ผิดปกติ และส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมากเท่าไหร่ยิ่งดี
นอกจากประโยชน์ข้างต้นของกล้วยน้ำว้าแลัว นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ประธานคณะกรรมการสาธารณสุข และนายกสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย แนะนำให้กินกล้วยน้ำว้าห่าม จะได้รับคุณประโยชน์อย่างล้นหลามและน่าอัศจรรย์
กล้วยน้ำว้าห่าม    เครดิตภาพ:  Flickr
เนื่องจากกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยกรดอะมิโน (Amino acid) อาร์จีนิน (Arginine) ฮีสตีดิน (Histidine) ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีในน้ำนมแม่แล้ว
ยังมีโปรตีน (Protein) คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) รวมไปถึงวิตามินซี (Vitamin C) มีวิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินบี 3 บี 6 และบี 12 (Vitamin B3, B6 and B12) และเกลือแร่ต่างๆ เช่น แร่ธาตุโพแทสเซียม (Potassium) ธาตุฟอสฟอรัส (Phosphorus) ธาตุเหล็ก (Iron) แคลเซี่ยม (Calcium) แมกนิเซียม (Magnesium) น้ำตาล และมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ชะลอความเสื่อมของเซลล์ อีกด้วย จึงมีประโยชน์มากมาย คือ
1. กินกล้วยน้ำว้าห่ามแล้วอารมณ์ดี มีความสุข เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนเอ็นโดรฟีน (Endorphin)
2. ขจัดความเครียด ช่วยให้หลับสบาย และช่วยต้านภาวะซึมเศร้าได้ด้วย เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน (Tryptophan) ทำให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ควรกินก่อนอาหารเย็น 1 ลูก และหลังอาหารเย็น 1 ลูก
3. แก้ท้องผูก เพราะมีกากใย ไฟเบอร์สูง กระตุ้นการขับถ่าย ทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายง่าย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โรคกระเพาะ มะเร็งตับ และบรรเทาอาการโรคริดสีดวงทวาร
4. แก้ท้องเสีย เพราะกล้วยน้ำว่าห่ามมีสารแทนนิน (Tannin) ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
5. ลดความดันโลหิต เพราะมีสารโพเแทสเซียม (Potassium) จะช่วยขับโซเดียม (Sodium) ออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ ปัสสาวะ
6. ชะลอชรา ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพราะมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)วิตามินซี (Vitamin C) สูง และสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล
7. ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม 1 ผล มีน้ำตาล คือ ซูโครส (Sucrose) กลูโคส (Glucose) และฟรุกโตส (Fructose) ประมาณ 1 ช้อนชา เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ทำให้รู้สึกมีแรง ควรกินก่อนออกกำลัง หรือกินก่อนมื้ออาหาร 1 ผล ทำให้ กินข้าวต่อมื้อลดลง และลดความอยากอาหาร
8. ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงเร่ิมเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและผู้หญิงสูงอายุ เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม มีแคลเซียม (Calcium) สูง หากนำไปปิ้งหรือต้มปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มขึ้น 5-6 เท่า แนะ กินกล้วยป้ิง หรือต้ม วันละ 1 ลูก จะได้แคลเซียม (Calcium) ในปริมาณที่เพียงพอ
9. ดีท็อกซ์ลำไส้ ช่วยให้ถ่ายง่ายแล้ว ลำไส้สะอาด เพราะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์มากจนอุจาระมีกลิ่นเหม็น แนะนำให้กินกล้วยน้ำว้าห่ามวันละ 4 ลูกเป็นเวลา 1 อาทิตย์ อุจจาระไม่เหม็น
10. แก้ปัญหาปากเป็นแผล ร้อนใน ช่วยให้ปากไม่เหม็น
11. ป้องกันโรคโลหิตจาง เพราะกล้วยน้ำว้าห่ามมีธาตุเหล็ก (Iron)
12. บำรุงเหงือกและช่วยป้องกันฟันผุ จากแคลเซียม (Calcium) ฟอสฟอรัส (Phosphorus) และวิตามินซี (Vitamin C)
นอกจากนี้ ดร.นพ.พรเทพ ยังแนะนำ วิธีกินกล้วยน้ำว้าห่ามให้ได้ประโยชน์ คือ ควรเลือกกล้วยน้ำว้าที่มีสีเหลืองอ่อน ๆ ปนเขียวได้เล็กน้อย
ซึ่งจะเป็นช่วงที่กล้วยน้ำว้ากำลังเหมาะสมกับการรับประทาน เพราะกล้วยที่ห่ามเกินไปจะทำให้ท้องอืดจากสารแทนนิน (Tannin) ในกล้วย ส่วนกล้วยที่สุกเกินไปจะมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าปกติ 2 เท่า
โดยเมื่อปอกเปลือกแล้วเนื้อไม่เละ เปลือกมีปุยติด และรสชาติไม่หวาน
วิธีการกินกล้วยน้ำว้าห่ามที่ถูกต้อง ปอกเปลือกจากบนลงล่าง เริ่มกินจากข้างบนลงไป คำแรกๆ จะรู้สึกฝาดจากยางกล้วย แต่ยางนี้คือ ยาวิเศษ มีส่วนผสมของเพคติน (Pectin) ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยเคลือบกระเพาะป้องกันการเกิดโรคกระเพาะ และกรดไหลย้อน โรคทางเดินอาหาร
ค่อยๆ กินและเคี้ยวให้ละเอียดจนกินถึงปลายลูก ยางกล้วยจะค่อยๆ หมด จนกินคำสุดท้ายจะได้รสชาติหวานพอดี
จะเห็นได้ว่า กล้วยน้ำว้า เป็นผลไม้ที่ใช้รักษาสารพัดโรค ภูมิปัญญาไทยที่เราได้ทานกันตั้งแต่เด็ก ทานได้ทุกช่วงอายุ หาง่าย เป็นผลไม้ประจำบ้านก็ว่าได้
แล้ววันนี้คุณทานกล้วยน้ำว้ารึยัง?
อ้างอิง:
โฆษณา