28 ก.ค. 2022 เวลา 13:48 • หุ้น & เศรษฐกิจ
“พ่อตอกย้ำว่าชีวิตคนจน ต่อให้ขยันก็ยังต้องจน
มันมีชนชั้นนำไม่กี่คน ผูกขาดภาษีของเรา ถ้าหากวันหนึ่งพ่อแก่ตัว ลูกก็ดันมาตกงาน ก็ได้แค่หวังเบี้ยชราแค่ 600 ประชาชนไทยมันไม่มีสวัสดิการ ลูกต้องรับราชการ อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อยากจะข่มตานอนโดยไม่กังวล
อยากให้รัฐบาลเห็นค่าของคน เอาชนะความจนดวยรัฐสวัสดิการ”
คุยกับชูเวช เดชดิษฐรักษ์ นักร้องนำวงสามัญชน เจ้าของบทเพลง "อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้"
🔥กว่าจะมาเป็นเพลง “อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้”
เพลง “อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้” น่าจะเป็นเพลงแรกๆ ที่ทั้งวงมี consensus ว่าจะต้องเล่นเพลงนี้ในพื้นที่การชุมนุม ไอเดียเรื่องรัฐสวัสัสดิการจะต้องถูกขายในพื้นที่การชุมนุม แม้ว่ามันจะไม่อยู่ในข้อเรียกร้อง แต่ว่าในฐานะแนวร่วมวัฒนธรรมเราต้องขายเรื่องนี้ เพราะมันคือสภาวะที่สังคมต้องตั้งคำถามหลังจากโค่นศักดินาจบแล้ว อะไรคือสังคมที่เราอยากเห็น คุณภาพชีวิตของประชาชนอยู่ตรงไหน?
ภายใต้ข้อเรียกร้องที่มันดู radical แล้วหลายฝ่ายไม่ซื้อ คนอนุรักษ์นิยมไม่ซื้อ คนกลางๆ ไม่ซื้อ เราจะทำอย่างไรให้คำว่าประชาธิปไตยมันมีเนื้อหนังมังสาที่จับต้องได้ กินได้ คำว่ารัฐสวัสดิการคือคำตอบของเรื่องนี้ จึงจัดให้เพลงนี้เป็นเพลงหลักของวงในการชุมนุมปี 2563 เรียกว่าเป็นเพลงบังคับ
จำได้ว่าตอนที่แต่งเพลงนี้ ร้องไห้หลายรอบมาก ร้องไห้ทุกท่อนเลยเพราะมันคือชีวิตเรา เราไม่อยากเรียนสายการแพทย์เลย อยากเรียนนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์นี่แหละ แต่ตอนตัดสินใจสอบวันนั้น ไม่เด็ดขาดพอที่จะบอกพ่อแม่ ส่วนหนึ่งครอบครัวกดดัน คาดหวังอยากให้เราเป็นหมอ เราก็ไปสอบ กสพท. (วิชาความถนัดแพทย์) คะแนนขาดนิดหน่อย สำหรับเรา นิดหน่อยตรงนั้นคือหลักหมื่นคนแต่พ่อแม่อาจเข้าใจว่านิดเดียว ปีหน้าสอบใหม่สิ
แต่เรารู้สึกว่ามันพอแล้ว แต่เขาก็อยากให้ไปเรียนอย่างอื่นสายการแพทย์ไว้ก็ดี เราก็เลือกเรียนเลือกเรียนกายภาพบำบัดทั้ง 4 อันดับ จากนั้นก็สอบติดกายภาพบำบัดที่มหิดล
ตอนนั้นก็ใช้ชีวิตแบบเรียนไปด้วยความรู้สึกเริ่มแรกคืออินกับคนไข้แต่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ชีวิตเรา ไม่ได้ตั้งใจมีชีวิตเพื่อทำสิ่งนี้ไปตลอด จากนั้นคำพูดของมาม๊าโทรบอกว่า ไม่ลองกลับไปสอบดูเหรอลูก ยังถามจนปีที่แล้วเพราะอยากให้เรียนแพทย์ ท่อนเพลงที่บอกว่า “ให้ฉันมีชีวิตที่กำหนดเอง” หรือคำว่า “ข้าราชการ” สำหรับผมคือหมอ
แต่เพื่อให้ตีความครอบคลุมคนอื่นด้วยคือ ข้าราชการ แต่เราเชื่อว่าเด็กหลายคนในประเทศนี้ที่ถูกกดดันว่าต้องไปเป็นหมอ เพราะว่าเป็นวิธีเดียวที่จะยกระดับฐานะทางชนชั้นได้ภายในหนึ่งเจเนเรชั่น ไม่ว่าปู่ทวดจะเป็นจับกัง คนงานหาบเร่ เมื่อมีคนหนึ่งเป็นหมอก็จะเปลี่ยนชนชั้นได้ทันที
เราเข้าใจว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่ลูกหลานคนจีนจำนวนหนึ่งก็เป็นอย่างนั้นทั่วโลก นี่เป็นความทุกข์ทรมานของเด็กเอเชียเชื้อสายจีนที่จะต้องเจอแรงกดดันเช่นนี้ ทั้งที่เบื้องหลังของเรื่องนี้ก็คือว่าทำไมรัฐไม่โอบอุ้มคุณภาพชีวิตของคนทุกเจเนเรชั่นเอาไว้ และทำให้เด็กทุกคนได้ค้นพบตัวเอง ทำไมคุณต้องสร้างสภาวะที่เด็กทุกคนต้องทิ้งความฝันตัวเองเพื่อไปดูแลความฝันของครอบครัว
ช่วงนั้นมีประเด็น LGBTQ เด่นขึ้นมาด้วย เราพบว่าคนจำนวนหนึ่งต้องปิดบังเพศสภาพตัวเองเพื่อสมัครเข้าราชการ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับการยอมรับ คำถามก็คือ ทำไมเขาเป็นตัวเองไม่ได้ในที่ทำงานซึ่งเป็นพื้นที่ที่เขาควรจะรู้สึกว่าปลอดภัยกว่านี้
🔥ความสิ้นหวังและการชุมนุมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทั้งหมดนี้ เผด็จการสร้างเราขึ้นมา
แต่ละท่อนที่ร้องออกมา ก็ร้องไห้ทุกครั้งที่เล่นทั้งปี ไม่มีเวทีไหนปี 2563 ที่เล่นเพลงนี้แล้วไม่ร้องไห้จนเพื่อนรำคาญบอกว่า “ควบคุมตัวเองหน่อย อย่าอินเกิน ให้ร้องไป” ตอนหลังก็โชคดีที่มีอดีตแฟนเป็นนักละคร เขามีกระบวนทางละคร รู้สึกกับเพลงได้แต่ยังควบคุมตัวเองได้อยู่ คือการย้ายจุดโฟกัสไปที่อารมณ์ของเพลงมากกว่าอารมณ์ของตัวเอง
นึกถึงพ่อแม่ นึกถึงความยากลำบากช่วงที่บ้านล้มละลายและต้องทำงานเล่นดนตรีตอนกลางคืน ช่วยเก็บร้านถึงตี 2- ตี 3 นอนรอที่ป้ายรถเมล์มาตี 5 เพื่อผ่าอาจารย์ใหญ่ต่อตอน 7.30 น. ช่วงนั้นชีวิตมันลำบากมาก เรานึกถึงมันเรายังเจ็บปวด บาดแผลทางจิตใจตอนนั้นมันยังรักษาไม่หาย การผลิตซ้ำเรื่องนี้ออกมา จริงๆ แล้วมันเยียวยาเราทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงนี้ เรามีอภิสิทธิ์มากเลยที่มีผู้รับฟังเป็นแสน เรามี privilege มากที่มีผู้คนรับฟังอย่างตั้งใจและรู้สึกไปกับเราอันนี้ต้องขอบคุณคนฟังทุกคนที่อดทนฟังเพราะเพลงมันยาวมาก
แต่เอาเป็นว่าเพลงนี้ช่วยชีวิตผมจริง ทำให้ผมเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น เข้าใจบาดแผลในวินาทีนั้นมากขึ้น ทรมานกับมันน้อยลง สิ่งที่อดีตแฟนผมทำตอนนั้นคือ ให้ซ้อมเยอะๆ ซ้อมอยู่คนเดียว ซ้อมโดยตั้งใจร้องอย่างเดียว ไม่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต นึกถึงอารมณ์เพลงและผู้คนที่กำลังฟังจะได้รับประสบการณ์แบบไหนจากการร้องแบบไหน
ชีวิตช่วงปี 2559 – 2562 มันแย่มาก โดยเฉพาะปี 62 เดือนมีนาคม เอกชัย หงส์กังวานโดนเผารถ ต่อมาเดือนพฤษภาคมโดนกระทืบที่หน้าศาลอาญารัชดา เดือนมิถุนายน จ่านิวโดนกระทืบหน้าปากซอยบ้านตัวเอง ปี 62 ปีแห่งการกระทืบ เป็นปีที่ขวาพิฆาตซ้าย ยังไม่ถึงฆ่าแต่ขู่ มันปกคลุมด้วยความหวาดกลัวทั้งที่เป็นปีที่จะเลือกตั้ง เขาตั้งใจทำให้เรากลัว
พอปี 63 จากจิตใจที่ห่อเหี่ยว เราได้รับการเยียวยาจากผู้คนที่ออกมาชุมนุม อยากร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นผู้คนออกมาเยอะๆ พอเราร้องเพลงบางอย่างที่สื่อสารความรู้สึกของเราออกมาแล้วคนฟังเขารู้สึกเหมือนกันเป็นวินาทีที่อบอุ่นมาก เรารู้สึกว่าความกลัวหรือความรุนแรงปี 62 มันทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้วกับผู้คนที่มันรู้สึกขนาดนั้นต่อให้คุณมาทุบตีผมวินาทีนี้ คุณก็ไม่สามารถทำให้มวลชนกลับไปรัก ศรัทธา เทิดทูนแบบเดิมได้
ช่วงปี 60 ถือเป็นปีของการล่าแม่มด 100% ปี 61 คนอยากเลือกตั้งก็โดนจับมากมาย เป็นปีที่ bnk48 เริ่มดัง แค่อยากเลือกตั้งก็โดนคดีเต็มไปหมด นักข่าวก็โดนหมด ย้อนไปปี 59 แพ้ประชามติคือความหดหู่ระยะแรก พอปี 60 เริ่มมีการล่าแม่มด ปี 61 เริ่มจับกุมคนอยากเลือกตั้ง ปี 62 เริ่มใช้ความรุนแรง ปี 63 ยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำทุกอย่างเพื่อให้เราสิ้นหวัง
การชุมนุมในปี 63 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่เผด็จการสร้างเราขึ้นมากับมือ ช่วงปลายปี 59 ถึงปี 60 ช่วงการ์ตูนต้องลี้ภัยและไผ่ซึ่งเป็นสมาชิกที่สำคัญมากของวง ถูกจับกุม ติดคุก 2 ปี 4 เดือน 19 วัน ก็รู้สึกว่าตอนนั้นทุกคนชัดเจนมากว่า ศัตรูของเราคือใคร ทุกคนรู้อยู่แล้ว
🔥การหล่อเลี้ยงความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง
ปี 57 ตอนนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว มองไปป้าเสื้อแดง ความรุนแรงโดนสลายขนาดนั้น เด็กรุ่นใหม่อยากให้ใส่เสื้อดำ เขาก็ยอมถอดเสื้อแดงปี 57-59 กลัวทำให้เด็กเสีย เป็นกลุ่มที่เสียสละมาก เป็นตัวอย่างมากว่าเราจะเจอคนแก่แบบนี้ อีโก้ไม่เยอะ เด็กให้ทำอะไรก็ทำ เชื่อมั่นในตัวเขา ให้เขาได้เติบโต เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก การถามว่ากินข้าวรึยังลูก เดินลงเวทีบอกว่าวันนี้พูดดี ร้องเพราะ ควักค่าเดินทางให้ ค่าเครื่องเสียงเจ้าของก็ขนมาเองด้วยซ้ำ
ภายใต้ความโดดเดี่ยวของคนเจนเดียวกัน มีความอบอุ่นของคอมมูนิตี้เล็กๆ อยู่ เป็นการหล่อหลอมของการพิสูจน์ตัวเอง การยืนหยัดของคนเสื้อแดงที่ไม่หือไม่อือ ไม่เร่งให้เราโตเกินวัย ทำให้เราโตและเรียนรู้ว่าเราจะสื่อสารกับผู้คนอย่างไร
ได้บทเรียนเรื่องแรก🔥 จากป้าเสื้อแดงและการทำงานเรื่องคนพิการ เชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ อดทน รอคอย ไม่โบยตีเพื่อนว่าทำไมไม่ทำ เพราะนอกจากเขาจะเดินหนีแล้วจะไม่อยากพัฒนาทักษะอะไรเพิ่ม เรื่องที่สอง🔥 คนที่ตัดสินใจว่าจะทำแล้ว สามารถทำอย่างอื่นนอกจากม็อบได้ คิดเล็กเป็น สะสมชัยชนะไป
การทำให้คนหนึ่งคนเปลี่ยนความคิด เราไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรต่อ มันคือคุณูปการต่อชัยชนะแน่นอน เป้าหมายคือคน 3% ของประเทศนี้ออกมาเคลื่อนไหว แต่ 60-70% เห็นด้วยกับเรา ชี้วัดจากที่นั่ง สส 350 จาก 500 คนที่เป็น voter ให้ที่นั่ง สส มากพอจะชนะ สส. เพิ่มได้ 1 คน คุณก็ต้องทำ มองตัวเองเป็นนักปฏิวัติให้ได้ เป็นคนชงกาแฟ เป็นนักเขียน เริ่มจาก 1คน อย่าคิดว่าต้องเปลี่ยนให้ได้หลักแสนหลักล้าน
เรื่องที่สาม🔥 การสร้างวัฒนธรรมของการรวมกลุ่ม เพื่อให้เกิด unit ในการจัดการอะไรบางอย่าง เช่นเวลาเรารวมตัว ปี 63 ม็อบ 900 ครั้ง ปี 64 ม็อบ 1,600 ครั้งเมื่อมีการรวมกลุ่มจะคงสถานะ ได้โดยไม่มีมีองค์กรอื่น ถ้าเริ่มรวมกลุ่ม ไม่ใช่แค่จับคนเข้ากรุปไลน์ คือการปฏสัมพันธ์ต่อเนื่องใกล้ชิด พัฒนายุทธศาสตร์ กลุ่มราษฎัม ราษเพลส ทะลุแก๊ส ทะลุวัง ทะลุ มข ทะลุฟ้า คนรุ่นใหม่นนทบุรี กลุ่มพยาบาล กลุ่ม rad ฯลฯ
แม้แต่วงสามัญชน มันยืนระยะการเคลื่อนไหวได้ด้วยการรวมกลุ่ม มันประคับประคองความรู้สึกกัน เป็นพื้นที่ฟูมฟัก ถ้าเราเจอคนที่น่าสนใจ จากการเริ่มทำให้เขาเปลี่ยนความคิด หาภารกิจที่ทำร่วมกัน ชวนไปทำนั่นนี่ร่วมกัน
วัฒนธรรมการรวมกลุ่มอาจหมายถึงการสร้างการมีส่วนร่วมด้วยว่าอยากทำอะไร เชื่อเขาแม้ไม่เห็นด้วย อดทนรอคอย ทัศนคติทางการเมือง เหมือนที่ป้าเสื้อแดงทำกับพวกเราปี 57-58 นั่นเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เราเติบโต
🔥พ่อตอกย้ำว่าชีวิตคนจน ต่อให้ขยันก็ยังต้องจน มันมีชนชั้นนำไม่กี่คน ผูกขาดภาษีของเรา
เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้ในเพลงอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ “พ่อตอกย้ำว่าชีวิตคนจน ต่อให้ขยันก็ยังต้องจน มันมีชนชั้นนำไม่กี่คน ผูกขาดภาษีของเรา” เราคิดว่ารัฐสวัสดิการมันเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้โดยตรง ถ้าเราไม่มี sense ของความรู้สึกว่าทรัพยากรหรือภาษีของประเทศนี้เป็นของประชาชน มันไม่มีทางที่จะเกิดรัฐสวัสดิการเพราะเราจะต่อรองให้เกิดสิ่งที่ยกระดับคุณภาพชีวิตเราไม่ได้หรอก ถ้าเรายังยอมปล่อยให้ทรัพยากรของประเทศถูกใช้โดยเปล่าประโยชน์แบบไม่คำนึงถึงประชาชนในประเทศที่เหลือ
🔥ไอเดียเรื่องรัฐสวัสดิการไปกันไม่ได้กับค่านิยมรัฐศักดินา ประชาชนไม่ควรต้องใช้เงินภาษีปรนเปรอใคร
เดิม คำว่ารัฐสวัสดิการเป็นคำต้องห้ามที่พูดถึงทีไรต้องนึกถึง real ซ้ายคอมมิวนิสต์ ทั้งที่มีข้อเสนอที่ซ้ายกว่านั้นเยอะมาก ไปไกลกว่านี้ได้อีกด้วยซ้ำ แต่ว่าซ้ายไทยคือขวาโลก เราก็รู้สึกว่ามันคือการขยับบาร์ในการขายอุดมการณ์สังคมนิยม มันทำให้คำนี้ไม่อันตราย ไม่ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นคำคอมมิวนิสต์อีกแล้ว มันเป็นคำทั่วไปที่ทุกพรรคการใช้กันเป็นปกติ ไม่ได้ดูน่ากลัวแล้ว
หลายคนขับเคลื่อนเรื่องนี้ก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็นอาจาร์ยษัษฐรัมย์ อาจารย์ศักดินา หรือพี่ไผ่ นิติรัฐ อาจารย์เดชรัตน์ อาจารย์ผาสุก อาจารย์สฤณี ฯลฯ หลายคนพูดเรื่องรัฐสวัสดิการมาก่อนนานมาก แต่ในแง่การใช้คำนี้ในเนื้อในตัวของขบวนอาจจะไม่เคยมากเท่านี้
มวลชนพูดบนเวทีว่าต้องการรัฐสวัสดิการ เวทีปราศรัยก็พูดกันหมด น่าจะเป็นครั้งแรกในปี 63 ที่ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่ซึมซับมันมาจากเพลง จากข้อเสนอต่างๆ และก็สอดรับกับช่วงที่ผมทำงาน wefair เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อความเป็นธรรม มี workshop ให้แกนนำประมาณเกือบ 200 คนเรื่องรัฐสวัสดิการ ทำทั้งในส่วนงานวัฒนธรรมและงานจัดตั้งถือว่าเป็นการทำงานที่สอดรับกัน หลังจากนั้นก็ทำเวิร์คชอปไปเรื่อยๆ มันทำให้เราไม่ขาดแคลน speaker ที่จะพูดเรื่องรัฐสวัสดิการเลยในทุกเวที
ฝากติดตามเพจวงสามัญชน สามารถติดตามได้ทั้งผลงานเพลงและสินค้าที่ผลิตออกมา ถือเป็นความตั้งใจมาก อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเคยพูดว่า การเคลื่อนไหวอะไรก็ตามที่คน consume ตลอดเวลา ทั้งวี่ทั้งวัน อยากชวนให้ผลิตงานของตัวเองไม่ว่าจะเป็นนักเขียน กวี นักแต่งเพลง นักวาด นักเล่าเรื่อง พ่อแม่ ครู อาจารย์ เพื่อน สามารถส่งต่อประชาธิปไตยได้ตลอดเวลาในเนื้อในตัว ไม่ต้องพึ่งเพลงสามัญชนทั้งหมด เพราะเพลงสามัญชนก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็ทำเองได้
🔥ขอขอขอบคุณผู้ให้โอกาสสัมภาษณ์ ชูเวช เดชดิษฐรักษ์ นักร้องนำวงดนตรีสามัญชน🔥
📌อ่านเนื้อหาเต็มที่นี่ https://brandinside.asia/better-life-song-from-commoner-band-for-welfare-state-and-democracy/
📌ติดตามวงสามัญชนทาง Facebook ได้ที่นี่ https://web.facebook.com/CommonerThailand
📌ติดตามทาง YouTube ได้ที่นี่ https://www.youtube.com/channel/UClGKkeGQwj7-RoPU1wzoGGg
โฆษณา