28 ก.ค. 2022 เวลา 14:03 • ครอบครัว & เด็ก
มะเร็งมันเป็นโรคที่แพ้ทาง กําลังใจ คนเป็นมะเร็งไม่รู้ตัวอยู่ได้เหมือนคนปรกติ แต่พอไปตรวจเจอกับทรุดรักษาตัวเจอคีโมเข้าไปอีกสภาพร่างกายแทบรับไม่ไหว ยิ่งถ้าเป็นระยะสุดท้ายแล้วด้วยนั่นคือคิดว่าตัวเองไม่รอดแน่ๆ ความรู้สึกหวาดกลัว ความห่วงใย ความหวงแหนยึดติดกังวลจะมีมากกว่าปรกติ ถ้าไม่ได้เคยเจริญสติมาก่อน ไม่เคยฝึกระลึกถึงความตายบ่อยๆหรือที่เรียกว่าเจริญมรณานุสติ ก็จะเป็นเช่นนี้ทุกราย คือกลัวตายมะเร็งมันจะชอบมาก มันจะเร่งปฏิกิริยาขยายตัวให้ตายเร็วขึ้น
ดังนั้นในฐานะลูกที่ดี ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่า หากที่ผ่านมาทําดีแล้ว ใช้ชีวิตกับพ่อแม่ด้วยความรักความเข้าใจ แบบไม่มีอะไรขาดเหลือ ประเภทไม่มีปมอะไรต่างๆมาก เวลาที่ผ่านมาถือว่าคุ้มค่าแล้ว ตัวเขาเองก็คงระลึกได้ถึงความสุขที่เคยมีและก็จะจากไปด้วยความสงบ
หากว่าความสัมพันธ์กระท่อนกระแท่น ไม่เป็นดังว่า อย่างด้านบน เวลาที่เหลือยิ่งมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะคุณเหลือเวลาอันน้อยนิด ที่จะทําให้ปมอะไรต่างๆมันคลี่คลาย ประเภท ความไม่เข้าใจกัน ความน้อยเนื้อต่ำใจอะไรหลายๆอย่างที่มันยังคาใจ ความรักความผูกพันจะเกิดขึ้นในเวลานี้ หมั่นดูแล เอาใจใส่ ให้ความสำคัญกับเวลาที่เหลืออยู่ ให้ความสัมพันธ์ความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น ปมต่างๆจะคลี่คลายและจะจากไปด้วยความสงบเช่นเดียวกัน
ในวาระสุดท้ายของชีวิต การจากไป ด้วยความสงบสําคัญมาก เพราะจะนำไปสู่ภพภูมิที่ดี เป็นสุคติภูมิแต่เราไม่สามารถเลือกได้ เพราะคนเราทํากรรมมาแตกต่างกันนับไม่ถ้วน ทั้งกุศลและอกุศลกรรมสลับไปมา สุดท้ายกรรมตัวที่หนักและทําบ่อยๆจะส่งผลในบั้นปลาย จะสงบไม่สงบก็อยู่ตรงนี้ส่วนหนึ่งและ
ถ้ายังมีความยึดติดอะไรบางอย่างอย่างเหนียวแน่น เช่น หวงทรัพย์สมบัติ เงินทอง ห่วงลูกห่วงหลาน จิตไม่เป็นอิสระก็จะจากไปด้วยอํานาจของกรรมและไปสู่ภพภูมิตามความยึดติดนั้นๆ เช่นจะไปเกิดเป็นแมลงหรือสัตว์วนเวียนใกล้ๆลูกหลานหรือทรัพย์สมบัติ ประกอบกับอกุศลกรรมส่งผลด้วย
ดังนั้นเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มากในตอนนี้ แต่ในฐานะลูก ความรักของเราที่มีต่อพ่อแม่ เขาจะรับรู้ได้ตลอดถึงจะป่วยทางกาย หากเขาเคยปฏิบัติธรรมมาบ้างเป็นสายธรรมะ ก็ไม่น่าห่วงมาก แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมมาเลยทั้งชีวิต จะมาอธิบายธรรมตอนนี้ก็ไม่มีทางเข้าหัวหรือเข้าใจได้โดยง่าย
หากคุณเป็นสายธรรมะมาบ้าง ค่อยๆพูดให้กําลังใจในทํานองให้สู้ๆเพื่อที่จะมีชีวิตต่อ ใช้ความรักเข้าสู้กับโรคร้าย ค่อยๆปลดปล่อยความยึดติดยึดมั่นถือมั่นที่อยู่ในหัว เช่นถ้าห่วงลูกหลาน ก็คอยบอกเป็นนัยๆว่าไม่ต้องห่วง ลูกไม่เดือดร้อน ลูกมีฐานะการงานมั่นคงแล้ว ไม่ลําบากอะไร ส่วนน้องๆ ผมจะคอยดูแลเอง หากยังมีความห่วงในเรื่องอะไรอยู่ พยายามหาให้เจอและปลดปล่อยมันให้ได้ หรือว่ายังอยากจะทำอะไรที่ไม่ได้ทํา หากมีเวลาเหลืออยู่และมีความเป็นไปได้ก็ทําเลย
เช่นรู้ว่าจะอยู่ได้แค่ 6 เดือน หากตัดสินใจรักษาต่อด้วยคีโม( เป็นที่รู้กันว่าระยะสุดท้ายรักษาไม่ได้แล้ว) จะอยู่ไม่ถึง 6 เดือน แต่ถ้าตัดสินใจไม่รักษาปล่อยชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ เช่นออกเดินทางท่องเที่ยวพร้อมครอบครัว อยากกินอะไรก็ไปกินเลย อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ในกรณีนี้ส่วนใหญ่อยู่ได้เป็นปี เผลอ 2-3 ปีด้วย ดังที่ผมบอกว่ามะเร็งมันชอบความเครียดและความกลัว มันเกลียดความไม่กลัว
จิตจะถูกปลดปล่อยและเป็นอิสระ เมื่อถึงคราวที่จะต้องจากไปจริงๆก็จะไปด้วยความสงบ ไปสู่สุขคติภูมิ กรณีวาระสุดท้าย ครุกรรมหรืออาจิณกรรมส่งผลทําให้ไม่สงบ โดยแสดงออกทางเวทนา ความเจ็บปวด ส่งเสียงร้อง ก็ต้องหากุศลกรรมอื่นๆมาตัดรอน เช่นให้ฟังเสียงสวดมนต์ ให้กําพระไว้ในมือ พูดให้ระลึกถึงความสงบ ปลดปล่อยความยึดติด จิตดวงสุดท้ายจะเอากรรมตัดรอนนั้น นําทางไปสู่สุขคติภูมิ
โฆษณา