30 ก.ค. 2022 เวลา 08:51 • หุ้น & เศรษฐกิจ
“การลงทุนคือการเดินทางไกล เป็นเรื่องที่ต้องมีมุมมองระยะยาว คงไม่ต้องไปสนใจว่าจะวิ่งตามใครเขาไม่ทัน”
เป็นนักลงทุนในหุ้นจิตใจต้องนิ่ง ต้องเชื่อมั่นในหลักการหรือแนวทางอันมีหลักฐานพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง มีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ชัดเจนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน
คนหนุ่มสาวก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา (Full-time Investor) หลายคนมักชอบคิดว่าหากมีเงินเท่านั้นเท่านี้ก็จะลาออกจากงานอันน่าเบื่อหน่าย แล้วหันมาลงทุนหุ้นอย่างเต็มตัว เหตุเพราะเมื่อมีเงินเก็บออมหรือเงินลงทุนมากจำนวนหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าชีวิตตนเองเดินทางเข้าใกล้กับ “อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom)”
เหตุที่ผมแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ก็เพราะว่าช่วงเวลาที่เราทำงานประจำ มันคือช่วงเวลาแห่งการทำเงินจากแรงงาน สำหรับผมแล้วมันมีคุณค่าเทียบเท่ากับการได้รับอัตราผลตอบแทนสูงๆ จากการลงทุน แบบทบต้นทวีคูณโดยปราศจากความเสี่ยง เงินมันงอกเงยเพิ่มขึ้นมา มีแต่ค่าเป็นบวก ไม่มีลบ (แลกกับความเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ)
คนเรามีต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากให้คนหนุ่มสาวอย่าเพิ่งรีบลาออกจากงานเพียงเพื่อสนองความต้องการบางแง่มุมในชีวิต จงมุ่งมั่นทำงานหาเงิน แล้วนำเงินรายได้จากการทำงานนี่แหล่ะมาลงทุนต่อ ประเด็นสำคัญของการทบต้นทวีคูณมันอยู่ที่ตรงนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุณคาดหวังไว้เยอะแยะมากมาย อย่าคิดว่าจะสามารถทำได้เช่นนี้ตลอดไปในอนาคต
ฉะนั้นแล้วจะไม่เป็นการดีกว่าหรือที่คุณสามารถหาเงินจากแหล่งอื่นอีกหลายๆช่องทาง "การอดทน เฝ้ารอคอยบางสิ่งคือคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นนักลงทุนวีไอ (Value Investor)"
เฝ้ารอให้วันเวลาที่ความสำเร็จอย่างมั่นคงและยั่งยืนเดินทางมาถึงประตูบ้านของคุณแล้วไม่รีบร้อนวิ่งหนีหายจากกันไปไหน เมื่อถึงวันที่เงินเดือนหรือรายได้จากหน้าที่การงานของคุณกลับกลายเป็นสัดส่วนที่น้อยมากๆ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกระแสเงินสดจากการลงทุน เมื่อถึงวันที่เงินเดือนจากหยาดเหงื่อแรงงานไม่มีนัยสำคัญกับความมั่งคั่งส่วนตัว หรือกับชีวิตคุณอีกต่อไป
ตอนอายุ 30 กว่าๆ ผมไม่มีอะไรเลย ไม่มีเงินเก็บสักบาท ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เริ่มต้นจากศูนย์ ก้มหน้าก้มตาทำงานไปได้สัก 10 ปีก็มีเหตุให้ต้องตกงานสืบเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง โชคยังดีที่ขยันอดออม และมีเงินเก็บจากการทำงานช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ก้อนใหญ่พอสมควร ก็นำมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ณ ช่วงเวลาวิกฤติที่ผู้คนต่างเข็ดขยาดหนีหายออกไป แต่ผมก็ไม่เคยหยุดหางานทำ
วันที่คิดจะลาออกจากงานประจำนั้น เงินเดือนของผมเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรายได้จากการลงทุนแล้ว (เงินปันผลจากหุ้น) คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% จากรายได้รวมทั้งหมด
1
มิใช่อยู่ดีๆ ก็คิดจะลาออกเพียงเพราะคาดหวังว่าเมื่อผันตัวมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา มุ่งเน้นการลงทุนมากขึ้น แล้วจะสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ตรงส่วนนี้ผมคิดว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ มันไม่มีสิ่งใดมาการันตีได้เลยว่าเราจะสำเร็จ การเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) คุณไม่จำเป็นต้องมานั่งเฝ้าติดตามตลาดหุ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องมานั่งซื้อๆขายๆหุ้นบ่อยครั้ง
ตลอดชีวิตการลงทุนของผมมีหุ้นผ่านมือแค่เพียง 12-13 บริษัทเท่านั้นเอง เท่านี้ก็เพียงพอที่จะเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นและมีอิสรภาพทางการเงินอย่างยั่งยืน แต่หากคุณเป็นคนประเภทสุดโต่ง และมีความคิดว่าฉันจะต้องประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีหุ้นให้ได้ ฉันจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยมหาศาล นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็ไม่ผิด ไม่ว่ากัน คุณก็ต้องหาหนทางอื่นในการเดินไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จ ซึ่งรับรองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย คุณต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น
1
สำหรับบางคนแล้ว พวกเขาพึงพอใจแค่เพียงว่า ขอให้มีเงินใช้จ่ายอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่หรูหราฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็นที่จะต้องมีชื่อเสียง อยู่แบบเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมารู้จัก ใช้ชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ
แต่กับบางคนก็สุดโต่งมาก ถ้าฉันไม่ชนะ ก็ขอตายดีกว่า จะขอยืนอยู่เหนือค่าเฉลี่ย ถ้าทำไม่สำเร็จก็ขอล้มละลายไปเลย ฉันไม่อยากที่จะเป็นใครคนหนึ่ง หรือ “คนทั่วไป” ถ้าไม่โด่งดัง ไม่ร่ำรวย ก็ไม่อยากทำ ซึ่งต่างคนก็ต่างความคิดกัน จริตไม่เหมือนกัน “คุณจำเป็นต้องออกแบบเส้นทางชีวิตของตนเอง ด้วยตนเอง”
สำหรับตัวผมเองแล้วไม่ขอเสี่ยงเกินไปจะดีกว่า ค่อยๆไป ไปเรื่อยๆ สบายๆ ยุคสมัยที่ผมเริ่มต้นลงทุนในหุ้นอย่างจริงจังช่วงแรกๆ ผมจะพลาดไม่ได้ เพราะหากเราพลาดไป แล้วลูกเมียจะอยู่อย่างไร ลูกต้องย้ายโรงเรียน เมียต้องออกไปหางานทำ ผมรับไม่ได้หรอก ผมค่อยๆไปอย่างช้าๆดีกว่า คอยเฝ้าดูการลงทุนของเราที่กำลังเติบโตทบต้นไปเรื่อยๆ
“การลงทุนคือการเดินทางไกล เป็นเรื่องที่ต้องมีมุมมองระยะยาว คงไม่ต้องไปสนใจว่าจะวิ่งตามใครเขาไม่ทัน” เป็นนักลงทุนในหุ้นจิตใจต้องนิ่ง ต้องเชื่อมั่นในหลักการหรือแนวทางอันมีหลักฐานพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง มีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ชัดเจนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน
คุณอาจลองสังเกต “วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)” ดูก็ได้ว่าในอดีตที่ผ่านมา แทบไม่เคยมีปีไหนเลยที่บัฟเฟตต์โด่งดังจากการทำผลตอบแทนได้แบบมหาศาลหลายเด้ง หลายเท่าตัว หรือทำผลตอบแทนสูงๆติดอันดับโลก แล้วมาลองคิดดูสิว่าในทุกวันนี้เขาเป็นอย่างไร?
โดยส่วนตัวผมแล้วจะค่อยๆดูผลตอบแทนรวมจากพอร์ตการลงทุนเป็นรายปี ตรวจสอบว่าปีนี้ทำผลตอบแทนได้เท่าไหร่ ซึ่งถ้าผลตอบแทนยังเป็นบวก เพียงเท่านี้ผมมีความสุขแล้ว จากนั้นก็ปล่อยมันไป หุ้นในพอร์ตจะสลับกันขึ้นหรือลง ก็อย่าไปเสียดายหรือเสียใจอะไรทั้งสิ้น ตราบใดที่ทฤษฎีซึ่งอยู่เบื้องหลังหุ้นแต่ละบริษัทที่คุณถือครองอยู่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่คุณคาดการณ์ไว้ พยายามอยู่กับมันต่อไป
หากคุณอยากเป็นนักลงทุนมืออาชีพ อยากจะรวยจากหุ้นจริงๆ อย่างที่นักลงทุนวีไอไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาร่ำรวยเป็นร้อยเป็นพันล้าน คุณก็ต้องศึกษาหาความรู้อย่างหนัก ต้องทุ่มเทพัฒนาตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานประจำที่กำลังทำอยู่ หากคุณสามารถบริหารจัดการเวลาส่วนตัวได้ มันมีทางออก สามารถทำควบคู่กันไปได้
ยุคสมัยนี้การศึกษาหาข้อมูลนั้นง่ายดายกว่าสมัยก่อนเยอะ ส่วนตัวผมเองที่มีโอกาสร่ำรวยจากตลาดหุ้นไทย อันที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยได้ออกไปพบเจอบริษัทหรือผู้บริหารสักเท่าไรนักหรอก เพียงหมั่นศึกษาเอาจากข้อมูลทั่วไปที่คุณและผมสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันนี่แหล่ะ มันสามารถประสบความสำเร็จได้
สุดท้ายก็จงมีความรับผิดชอบ ทำงานประจำของคุณให้ดีที่สุด เพราะผลตอบแทนมันมีแต่บวก ทำงานไปเรื่อยๆ ลงทุนไปเรื่อยๆ เมื่อรายได้มากขึ้น คุณก็สามารถเก็บออมเงินได้มากขึ้น จากนั้นนำเงินรายได้จากการทำงานโยกย้ายมาเป็นรายได้จากการลงทุนให้มากขึ้นไปอีกต่อหนึ่ง “นี่คือพลังแห่งการทบต้นของผลตอบแทนอย่างแท้จริง”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอให้มีความสุขในการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 🙂
ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลบางส่วนจาก
- BLACK SWAN วันมืดมิด ในชีวิตการลงทุน EP.8 โดย ลงทุนแมน และสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
- THE CONVERSATION, a day bulletin, กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร
โฆษณา