Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
•
ติดตาม
31 ก.ค. 2022 เวลา 03:23 • การ์ตูน
EP : 876 (Repost)
อัศวินสีเลือด Le Chevlier D’Eon
การ์ตูนแนวต่อสู้ที่ใช้ฉากหลังแนวยุโรปนี่ผมเห็นมีเยอะไม่ใช่น้อยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นยุโรปแบบเต็มๆ หรือดึงมาเล่าในบางส่วน เพราะถือว่าโลเกชั่นที่ยุโรปและเนื้อหาที่อิงแถบนั้นมักได้รับความนิยมง่าย และดูแมสกว่าการใช้ฉากหลังเป็นญี่ปุ่นด้วยซ้ำในหลายๆกรณีนะครับ แต่มีไม่มากนักที่จะชี้ชัดและหยิบประเทศฝรั่งเศลมาเล่าอย่างชัดเจนในการ์ตูนแนวต่อสู้ ซึ่งผมว่ามีไม่เยอะนะ น่าจะน้อยมากๆ และนี่คือหนึ่งในเรื่องนั้นครับกับ “อัศวินสีเลือด”
เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้นอย่างมากมายหลายคดีต่อเนื่องในกรุงปารีส โดยเหยื่อมักเป็นหญิงสาวที่ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงและเหยื่อยังถูกสูบเลือดออกไปเพื่อจุดประสงค์บางอย่างของฆาตกร คดีที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและสยองขวัญแบบนี้ ทำให้ตำรวจในปารีสต้องปวดหัวหนัก เพราะยังไม่สามารถตามจับฆาตกรที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้เลย ซึ่งมันก็แน่นอน เพราะในความเป็นจริงแล้วนี่ไม่ใช่คดีที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ทั่วไป แต่แท้จริงแล้วเป็นคดีที่เกิดขึ้นจาก “นักกวี”
เพราะเลือดของหญิงสาวเป็นสิ่งจำเป็นของ “นักกวี” ผู้ต้องทำการ “แต่งโคลง” เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังบางอย่าง และเหล่า “นักกวี” เหล่านี้ก็มีพลังที่คนทั่วไปไม่อาจต่อสู้และต่อต้านได้ แน่นอนฝรั่งเศลไม่อาจปล่อยให้เรื่องแบบนี้ผ่านไป นั่นจึงเป็นหน้าที่ของ “เชอวาลิเยร์ สฟิงคช์” อัศวินหญิงแห่ง “พระเจ้าหลุยส์ที่ 15” ที่จะมาต่อสู้และไขปริศนาแห่ง “นักกวี” ที่กำลังปีนหอคอยแห่งชัยชนะ ใน “Le Chevlier D’Eon อัศวินสีเลือด”
เนื้อเรื่อง ...
ต้องบอกว่าเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับ เพราะเรื่องนี้สามารถนำเสนอ โลกของอัศวินสีเลือดเฉพาะของตัวเองได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังต้นเรื่องที่เป็นปัญหา เรื่องก็สร้างขึ้นมาใช้เอง โดยการอิงกับคำว่า “กวี” ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดพลังที่เฉพาะของตัวเองได้ แม้ตัวเนื้อหาจริงๆ มันอาจไม่ได้แตกต่างหรือดูพิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ แต่การสร้างคำว่า “กวี” ใช้ในเรื่องนี้สำหรับผม
ผมให้เป็นเครดิตนะครับ ในขณะเดียวกันก็สร้างลำดับชั้นที่เกิดจาก “หอคอยแห่งชัยชนะ” ขึ้นมาลองรับเนื้อหาอีก ซึ่งระบบในหอคอยแห่งนี้ ถือว่าสร้างออกมาได้ดี แม้จะไม่ได้มีจุดเด่นอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นรายละเอียดที่เขาสร้างไว้รับรองเหตุผลบางอย่างครับ
เนื้อหาที่เริ่มต้นด้วยเหล่า “กวี” ในเรื่องทำการเล่าเรื่องสามารถเล่าได้อย่างเป็นระบบแบบแผนของตัวเรื่องนี้เอง ผมถือว่าสร้างสิ่งที่เป็นฐานออกมาได้ดี แม้ในแง่พลังอย่างที่บอกว่าไม่ได้โดดเด่นหรือสร้างให้เป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวเองได้ก็ตาม เหล่าร้ายที่เห็นในเรื่องผมว่าสร้างสรรค์ออกมาได้น่าประทับใจนะครับ มีหลายตัวที่โดดเด่น น่าจดจำ พลังก็เช่นกัน หลายตัวแม้จะมีพลังซ้ำๆ กับเรื่องอื่นๆ แต่พอมาใช้ในเรื่องก็ดูไม่ขัดอะไรกับเนื้อหาที่กำลังนำเสนออยู่
ด้านความลึกและมิติของเนื้อหา ผมว่าก็ใช้ได้นะครับ เพราะเรื่องพยายามสร้างเนื้อหา ขยับไปเรื่อยๆ เมื่อเนื้อเรื่องเดินไป โดยสร้างเรื่องของเหล่าร้ายให้อิงกับเรื่องประเทศฝรั่งเศล การล้มราชบัลลังก์ ซึ่งล้อกับประวัติศาสตร์จริงๆบางส่วนด้วย เพราะหากใครติดตามประวัติศาสตร์แม้ตัวละครจะไม่ใช่ของจริงแต่ช่วงที่เน้นการปฎิวัติในหน้าประวัติศาสตร์จริงๆนั้น ผมว่าเขาเอามาใช้เล่าในเรื่องนี้ได้ ทำให้เนื้อหาดูไม่ลอยแม้จะไม่หนักมากก็ตามครับ
ในขณะเดียวกันเนื้อหาเมื่อเดินไปถึงจังหวะนึง ก็เริ่มมีการสร้างฐานของเหล่าตัวร้ายใหม่ โดยนำมาอิงกับเรื่องไพ่ทาโรต์ ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นทั้งดีและไม่ดีนะครับ ดีส่วนนึงก็ไพ่ทาโรต์นี้เป็นสิ่งที่หลายๆคนรู้จัก พอหยิบมาเล่น มันก็เลยเข้าใจง่ายๆ แต่ในแง่ร้ายก็คือ ด้วยลักษณะการนำมาใช้แบบนี้ หลายเรื่องใช้มาบ่อยแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็นำเสนอได้ไม่ได้โดดเด่นนักในการหยิบไพ่มาเล่นครับ ถือว่าจุดนี้ไม่ดีไม่แย่ แล้วแต่มุมมองครับ
หันมามองที่ฝั่งธรรมะของเลานะครับ ผมชอบนะครับกับการสร้างสรรค์เรื่องสองศรีพี่น้องอย่าง “เลออน” น้องชายที่ใช้ชีวิตหน้าฉากเป็นตำรวจปารีสที่ไม่เอาไหน ในขณะที่หลังฉากคืออัศวินลับที่ทำหน้าที่รับคำสั่งจากพระเจ้าหลุย์ที่ 15 โดยตรง แม้การนำเสนอแบบนี้จะซ้ำๆในหลายๆเรื่อง แต่ในเรื่องนี้ผมว่ามันก็ยังใช้งานได้ดีอยู่นะ ยิ่งเรื่องนี้ผูกกับการร่วมมือกับพี่สาวอย่าง “สฟิงคซ์(ลีอา)” พี่สาวของเลออน ซึ่งมีพลังในการต่อสู้กับเหล่ากวี ถือเป็นการใช้หน้าฉากและหลังฉากที่ผมชอบมากตอนเปิดเรื่องครับ
ในแง่นึงก็ถือเป็นเรื่องที่ใช้ตัวต่อสู้หลักเป็นผู้หญิงแม้โทนของเรื่องจะออกแนวยุโรปสมัยกลาง ที่ตอนนั้นผมคิดว่า “ผู้หญิง” คงไม่ได้ถูกนำเสนอบทบาทในเชิงสังคมมากนัก การหยิบมานำเสนอแบบนี้ผมว่ามันล้อเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และสร้างเนื้อหาเชิงความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวและน้องชายได้ดีครับ
และเมื่อมองกลับไปในแง่ตัวละคร เรื่องนี้สร้างจุดเด่นออกมาหลายอย่างนะครับ อย่างในเชิงความสำคัญ ก็ให้บทกับผู้หญิงเยอะมากในเรื่องนี้ ทั้งลีอา ทั้ง “โซเฟีย” ในฐานะตัวเชื่อมต่อระหว่างฝ่ายดีและร้าย(ต้องไปอ่านเอง) หรือแม้แต่ “มาดาม เดอ ปอมปาดัวร์” สตรีที่เป็นสนมเอกของพระเจ้าหลุย์ที่ 15 ที่มีหน้าที่ตัดสินใจในการบริหารประเทศ แทนพระเจ้าหลุย์ ผมเลยถือว่าเรื่องนี้ค่อนข้างนำเสนอหญิงสาวได้แตกต่างจากบริบทในช่วงเวลานั้น ในแง่มุมคนในยุคนี้ได้น่าสนใจครับ
การผูกเรื่อง
เรื่องพยายามผูกเรื่องราวต่างๆ ร้อยเรียงกันไว้หลายตลบนะครับ ถามว่าโอเคไหม ก็ต้องบอกว่ามีหลายอย่างโอเคนะ ผูกโยงกันไว้อย่างมีสิ่งที่รองรับกันเองภายในเรื่อง แม้บางอย่างที่ว่าอาจดูไม่ได้โดดเด่นหรือแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ แนวนี้ แต่ภาพรวมก็ยังบอกได้ว่าเรื่องนี้มีการนำเนื้อหาโยงกันไปมาได้มีน้ำหนัก ไม่ใช่เอะอะอยากจะเล่าอะไรก็เล่าครับ
การเล่าเรื่อง
ผมถือว่าเรื่องนี้พยายามหาวิธีการเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อนมานำเสนอนะครับ เพราะจะว่าไปแม้การเล่าเรื่องเรื่องนี้ภาพรวมจะเล่าไม่หนีจากเรื่องอื่นในแนวต่อสู้นี้มากก็ตาม แต่ด้วยดีเทล์และการพยายามเล่นกับความเป็น ฝรั่งเศลและความเป็นยุโรป ซึ่งตัวเรื่องได้เซ็ทเอาไว้เป็นธีมของเรื่องและผูกเรื่องไว้เพื่อเป็นจุดเด่นนั้น กลับสร้างปัญหาให้กับการอ่านของผมมากครับ
อย่างแรกที่เจอเลยก็ด้วยชื่อตัวละครเป็นคนฝรั่งเศล ซึ่งเราไม่คุ้นเคยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้มันมีรอยต่อในการอ่านครับ เพราะมันสะดุดด้วยความไม่คุ้นชินจากชื่อ และจากการเรียกสิ่งต่างๆด้วยคำพูดฝรั่งเศลครับถือเป็นอุปสรรค์ใหญ่ของการเล่าเรื่องในเรื่องนี้เลย
และอีกปัญหาใหญ่ที่เจอจังๆในเรื่องนี้ก็คือการใช้คำศัพท์ในเรื่องนี้ ที่ต้องบอกว่ามีการใช้เยอะมากๆ ในทุกๆจุด ทำให้เนื้อหาแทนที่เราจะอ่านได้อย่างราบลื่น กลับต้องมาจดจำหรือมาดูคำแปลจากศัพท์เหล่านั้น ซึ่งผมว่ามันมีมากเกินไป ตรงจุดนี้อาจเกี่ยวกับคำแปลของทางค่ายหนังสือด้วย
ที่หากคนแปลเลือกคำที่เข้าใจมาเลยก็อาจจะทำให้เราอ่านสนุกกว่านี้ครับ แต่พอเรายึดตามต้นฉบับมาแบบนี้ ผมว่ามันทำให้เกิดปัญหาในการอ่านอย่างที่ผมบอก ซึ่งตรงนี้ก็โทษทางค่ายในไทยไม่ได้เพราะมันอยู่ที่การตัดสินใจของคนจริงๆ ตัดสินแบบไหนก็อาจจะมีปัญหาตามมาได้ครับ
สิ่งที่เรื่องมองข้าม
สิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ใส่ลงมาให้อ่านกันและเป็นจุดที่สร้างความเข้าใจรวมถึงความผูกพันธ์ของตัวละครก็คือ “ภูมิหลังของตัวละคร” ครับ จะบอกว่ามีหลายตัวละครสำคัญที่เรื่องไม่ได้ใส่ให้เราเห็นว่าพวกเขาเป็นมาอย่างไร ถึงได้มาอยู่ในเส้นทางการต่อสู้ในครั้งนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะไม่ได้ใส่มา ตัวละครหลายตัวแม้จะมีบทสำคัญ
แต่เราแทบจะไม่รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครในเรื่องเลย เพราะหลายตัวที่มีบทเด่นๆ ก็ออกมาสู้แล้วจบ ต่อให้ตัวนั้นจะเก่งแค่ไหน แต่ก็เหมือนแค่เกริ่นมานิดหน่อยโดยไม่รู้จักพวกเขาเลย แล้วก็เอามาสู้ มาเน้นที่ฉากต่อสู้แต่ละฉากที่กินเนื้อหาและเวลานานพอสมควรครับ มันทำให้ตัวละครพวกนี้ขาดมิติหรือความผูกพันธ์กับคนอ่านอย่างผมเป็นอย่างมาก เพราะแม้แต่ตัวละครหลัก
ก็ยังไม่ใส่เรื่องนี้เข้ามาให้เห็นเลย ทั้งๆที่หากใส่มามันจะเพิ่มความเข้าใจหรือรู้สึกร่วมไปกับภารกิจเสี่ยงชีวิตปกป้องราชวงศ์และประเทศฝรั่งเศลได้อีกเยอะ โดยส่วนตัวผมว่าเรื่องนี้ไม่ควรพลาดจุดนี้ไปนะครับ
อีกสิ่งนึงที่ไม่เห็นในเรื่องนี้คงเป็นที่มาที่ไปของพลังของ “อัศวินสีเลือด” เรานี่แหล่ะครับที่ไม่เข้าใจว่าเก่งขนาดปราบทุกความสามารถได้แบบนี้ แท้จริงแล้วเป็นพลังจากที่ไหน มีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่มีให้เห็นครับ และเวลาต่อสู้ก็เหมือนมีพลังพิเศษที่ออกมาลอยๆไปซักหน่อย ไม่เหมือนฝั่งผู้ร้ายที่ยังให้เห็นอ้างอิงได้ครับ ทำให้ในส่วนของนางเอกเรามันดูไม่สมเหตุสมผลบ้างในส่วนนี้ครับ
ลายเส้น
ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวผมว่าเรื่องนี้วาดออกมาได้มีเอกลักษณ์นะครับ ด้วยการตัดขอบเส้นหนาๆ ถือว่าสร้างความแตกต่างได้ดี แม้จะทำให้รายละเอียดในแต่ละหน้าดูแน่นๆ ด้วยการตัดเส้นแบบนี้ก็ตาม ในขณะที่การดีไซน์ตัวละคร ผมถือว่านำเสนออกมาได้น่าประทับใจ ทำได้ตามเนื้อหาที่อยากจะนำเสนอ
ดูไม่ขัดแม้จะเป็นเรื่องราวในยุโรปครับ แม้หลายๆส่วนจะดูแข็งและดูไม่สมูธให้เห็นในบางฉากอยู่บ้าง อันนี้คงแล้วแต่คนชอบนะครับ โดนส่วนตัวผมชอบงานวาดในเรื่องนี้พอสมควรครับ
“Le Chevlier D’Eon อัศวินสีเลือด” เรื่องโดย อ.Tow Ubukata และงานภาพโดย อ. Kiriko Yumeji โดยภาคนี้มีทั้งหมด 8 เล่มจบ ออกโดย สนพ บงกช ครับ เป็นงานที่ออกมาตอนปี 2005 ครับ ซึ่งยังหาอ่านได้ในตลาดบ้านเราไม่ถือว่าหายากอะไรครับ
โดยส่วนตัวเรื่องนี้มีส่วนผสมที่หลายๆอย่างผมชอบนะครับ ตัวเนื้อหาเนื้อเรื่องพยายามสร้างออกมาให้เป็นแบบตัวเองมากที่สุด แม้จะมีหลายๆอย่างเลยที่มีกลิ่นอายของการ์ตูนเรื่องดังอย่าง โจโจ้ สำหรับการออกแบบตัวละครบางตัวและการเล่นกับเรื่องความสามารถกับไพ่ทาโรต์
ส่วนนึงคงเพราะโจโจ้เขาโดดเด่นในการนำเสนอออกมาได้จนเป็นที่จดจำเอามากๆ พอเรื่องไหนหยิบมาเล่าที่ใกล้เคียงกันก็ทำให้คนอ่านคิดถึงเรื่องโจโจ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ การเล่าเรื่องถือว่ามีความซับซ้อนและมีการใช้ความเป็นยุโรปในสมัยกลางมาใช้ได้อย่างดีครับ แต่ก็ติดปัญหาเรื่องภาษาฝรั่งเศลและคำศัทพ์ที่เรื่องนี้ใส่มาเยอะเกิน
หลายๆอย่างเหล่านี้ทำให้ความสนุกในการอ่านมันสะดุดลงในหลายๆจังหวะ ไม่ทำให้อ่านแล้วรู้สึกต่อเนื่องซักเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ขาดๆเกินๆ ในบางอย่าง แต่ภาพรวมก็ยังน่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านครับ ใครชอบแนวต่อสู้ ที่มีฉากหลังเป็นยุโรปเรื่องนี้ตอบโจทย์ครับ อยากให้ลองอ่านดูว่าจะชอบกันหรือเปล่า ใครได้อ่านบอกผมด้วยนะครับ
ภาพ 8/10
เรื่อง 7.8/10
ความประทับใจ 7.5/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #8เล่มจบ #Bongkoch #บงกช #การ์ตูนแนวย้อนยุค #การ์ตูนแนวดราม่า #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวต่อสู้ #7คะแนน #อัศวินสีเลือด #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #การ์ตูนแนวลึกลับ #การ์ตูนแนวแฟนตาซี #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย