1 ส.ค. 2022 เวลา 18:27 • ปรัชญา
คุณเข้าใจผิดน่ะ สิ่งที่คุณอธิบายมามันไม่ใช่วิญญาณออกจากร่าง แต่เป็นจิตดวงสุดท้ายที่ดับไปในภพเดิมและกําเนิดในภพภูมิใหม่ ธรรมชาติของจิตมนุษย์ปรกติตอนมีชีวิตก็มีการเกิด-ดับ (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) อย่างต่อเนื่องในรูปแบบพลังงานแบบ sine wave ปรกติจิตจะอยู่ในภวังค์ ชั่วเพียงกระพริบตาที่จิตออกมาทํางาน คือออกมารับอารมณ์ (จิตจะเกิดขึ้นเมื่อมีอารมณ์ให้จิตรู้เสมอ) ทางทวารทั้ง 6(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เมื่อมีผัสสะคือตามองเห็น จมูกได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส คิด ผัสสะจึงเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างจิตกับโลกภายนอก
เมื่อจิต ออกจากภวังค์เพื่อออกมารับอารมณ์ภายนอก (เรียกว่าขึ้นวิถีจากภวังค์) ผ่านอายตนะทั้ง6 การรับรู้อารมณ์ของจิต เราเรียกว่าวิญญาณ ถ้ารับรู้อารมณ์ทางตาหรือตามองเห็น เรียกจักขุวิญญาณ ..โสตวิญญาณ......ไปจนถึงความคิดเรียกมโนวิญญาณ จะเห็นว่ายังมีคนเข้าใจผิดเป็นจํานวนมาก เพราะจะเข้าใจว่าวิญญานเป็นภูติผีที่ออกจากร่างตอนเราตาย โอปปาติกะหรือวิญญาณที่เราเข้าใจคือชีวิตรูปแบบหนึ่งที่กําเนิดขึ้นมาแล้ว โดยจิตดวงสุดท้ายเป็นตัวกําเนิด มีกายละเอียดต่างจากมนุษย์ที่เป็นกายหยาบ
ในทางอภิธรรม วิญญาณคือการรับรู้ อะไรที่รับรู้ได้ก็มีวิญญาณ สัตว์ชั้นต่ำพวกไวรัส อมีบ้า ต้นไม้ก็มีวิญญาณแต่จะเป็นจิตหรือไม่นั้น อาจจะไม่เป็นก็ได้ เพราะจิตต้องมีส่วนประกอบอื่นไปอีก 4 ขันธ์ ทํางานร่วมด้วยรวมเป็น 5 ขันธ์ คือมี รูป สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ
จิตที่รับรู้โลกภายนอก จะเกิดวิญญาณขึ้นที่อายตนะทั้ง6 แต่การรับรู้ของจิต เป็นการรับรู้เฉยๆ ไม่รู้จักว่าคืออะไรหรือเป็นอะไร ไม่รู้สึกถึงทุกข์ สุข ชอบไม่ชอบ ส่วนประกอบอื่นของจิตจะทำหน้าที่ต่อคือ สัญญาจะทําให้จําได้หมายมั่น รู้ว่ามันคืออะไร ถ้าไม่รู้ก็จะเรียนรู้และเก็บไว้ในสัญญาเปรียบเสมือน memory ในคอมพิวเตอร์ เกิดความรู้สึกชอบไม่ชอบ สุข ทุกข์ เกิดจากเวทนา ความคิดปรุงแต่งต่อ
ยอดเป็น ความอยาก ความสุข ทุกข์ เกิดจากสังขาร
โดยรวมจิต จึงประกอบด้วย วิญญาณ สัญญา เวทนา สังขาร ประกอบกับรูปหรือร่างกายจึงเรียกว่าขันธ์5 เป็นการแยกส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตออกเป็นหน่วยเล็กที่สุดในทางศาสนา เหมือนที่เราแยกในทางวิทยาศาสตร์ว่าอะตอมประกอบด้วย นิวเคลียสและอิเล็กตรอนเป็นส่วนประกอบของสสาร
เมื่อตอนใกล้ตาย รูปหรือเซลของร่างกายจะค่อยๆดับไป( อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ) แต่จิตก็ยังเกิด-ดับ เกิด-ดับ เช่นเดิม แต่จะค่อยๆหยุดทํางานไปทีละขันธ์ วิญญาณก็จะค่อยดับไป เหลือเวทนาคือความเจ็บปวดจากการป่วยไข้และสัญญาในส่วนของวิบากของกรรมเริ่มทํางาน จะคิดย้อนไปถึงกรรมในอดีตที่เคยทำเอาไว้ และแสดงออกมาถ้าเป็นกุศลกรรม เวทนาที่เกิดก็จะมีมโนวิญญาณร่วมจะทำให้เกิดกรรมนิมิต เห็นสวรรค์วิมาน จะแสดงออกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอิ่มเอิบและจากไปอย่างสงบ จิตดวงสุดท้ายจะนำไปสู่สุขคติภูมิ
ต่างจากคนที่ทำอกุศลกรรมไว้เยอะ กรรมนิมิตที่เกิดจะเห็นแต่สิ่งไม่ดี จะเห็นสิ่งที่เคยทําในอดีต เห็นคนจะตามมาเอาชีวิต เห็นยมฑูต ร้องโหยหวนและจิตดวงสุดท้ายจะนําไปสู่อบายภูมิ
จิตจะทํางานเกิด-ดับ เกิด-ดับ อย่างต่อเนื่องเป็นสาย ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วเกิดใหม่ให้กําเนิดชีวิตในอีกภพจนตายไปอีกวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบสิ้น จิตก็ไม่ได้หายไปไหน สามารถถ่ายทอดคุณสมบัติจากจิตดวงเดิม ไปยังจิตดวงใหม่ และให้กําเนิดชีวิตในรูปแบบต่างๆตามภพภูมิ เช่น มนุษย์ เปรต อสุรกาย เทวดา พรหมโลก ไม่มีวิญญาณล่องลอยไปมา คําว่าจิต มโน วิญญาณ เป็นคําที่ใช้เรียกแทนจิต แต่แสดงออกในวาระที่ต่างๆกัน
โฆษณา