3 ส.ค. 2022 เวลา 01:33 • ปรัชญา
กรรมและผลของการกระทำ ๑๒ อย่าง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกกรรมไว้ ๑๒ อย่าง คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อโหสิกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ ครุกกรรม ๑ พหุลกรรม ๑ ยทาสันนกรรม ๑ กฏัตตาวาปนกรรม ๑ ชนกกรรม ๑ อุปัตถัมภกกรรม ๑ อุปปีฬกกรรม ๑ อุปฆาตกกรรม ๑
แยกเกี่ยวกับการให้ผล ดังนี้
กรรมกลุ่มที่ ๑
========
โดยปากกาล คือ จำแนกเวลาที่ให้ผล
๑.๑ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
บรรดากรรม ๑๑ อย่างนั้น (ไม่รวมอโหสิกรรม) ในบรรดา (ชวนะ) จิต ๗ ชวนะชวนเจตนาดวงแรก ที่เป็นกุศลหรืออกุศล ในชวนวิถีแรก ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ให้ผลในอัตภาพนี้ (ชาตินี้)เท่านั้น เช่น กรรมที่เป็นกุศลอำนวยผลในชาตินี้ เหมือนกรรมของกากวฬิยเศรษฐีและปุณณกเศรษฐี เป็นต้น ส่วนที่เป็นอกุศล (อำนวยผลในอัตภาพนี้) และกรรมที่เป็นอกุศลเหมือนกรรมของนันทยักษ์ นันทมาณพ นันทโคฆาต ภิกษุโกกาลิกะ พระเจ้าสุปปพุทธะ พระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา เป็นต้น แต่เมื่อไม่สามารถให้ผลอย่างนั้น
๑.๒ อโหสิกรรม
คือ ถึงความเป็นกรรมที่ไม่มีผลกรรมนั้น พึงสาธกด้วยข้อเปรียบกับพรานเนื้อ อุปมาด้วยนายพรานเนื้อ เปรียบเหมือนลูกศรที่นายพรานเนื้อ เห็นเนื้อแล้วโก่งธนูยิงไป ถ้าไม่พลาด ก็จะทำให้เนื้อนั้นล้มลงในที่นั้นเอง ลำดับนั้น นายพรานเนื้อก็จะถลกหนังเนื้อนั้นออก เฉือนให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ถือเอาเนื้อไปเลี้ยงลูกเมีย แต่ถ้าพลาดเนื้อจะหนีไป ไม่หันกลับมาดูทิศนั้นอีก ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ ก็พึงทราบฉันนั้น
อธิบายว่า การกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เหมือนกับลูกศรที่ยิงถูกเนื้อโดยไม่พลาด การกลับกลายเป็นกรรมที่ไม่มีผล เหมือนลูกศรที่ยิงพลาดฉะนั้น ฉะนี้แล
๑.๓ อุปปัชชเวทนียกรรม
ส่วนชวนเจตนาดวงที่ ๗ ที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม
อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น อำนวยผลในอัตภาพ (ชาติ)ต่อไป แต่ในบรรดากุศลอกุศลทั้งสองฝ่ายนี้ อุปปัชชเวทนียกรรมในฝ่ายที่เป็นกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งสมาบัติ ๘ ในฝ่ายที่เป็นอกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งอนันตริยกรรม ๕ บรรดากรรมทั้งสองฝ่ายนั้น ผู้ที่ได้สมาบัติ ๘ จะเกิดในพรหมโลก ด้วยสมาบัติอย่างหนึ่ง ฝ่ายผู้กระทำอนันตริยกรรม ๕ จะบังเกิดในนรกด้วยกรรมอย่างหนึ่ง สมาบัติที่เหลือ และกรรม (ที่เหลือ) จะถึงความเป็นอโหสิกรรมไปหมด คือ เป็นกรรมที่ไม่มีวิบาก แม้ความข้อนี้ พึงทราบตามข้อเปรียบเทียบข้อแรกเทอญ
๑.๔ อปรปริยายเวทนียกรรม
ก็ชวนเจตนา ๕ ดวงที่เกิดขึ้นในระหว่างแห่งชวนะ ๒ ดวง(ชวนเจตนาดวงที่ ๑ และชวนเจตนาดวงที่ ๗ )ชื่อว่า อปรปริยายเวทนียกรรม
อปรปริยายเวทนียกรรมนั้น ได้โอกาสเมื่อใดในอนาคตกาล เมื่อนั้นจะให้ผลเมื่อความเป็นไปแห่งสังสารวัฏฏะยังมีอยู่ กรรมนั้นจะชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมย่อมไม่มี กรรมทั้งหมดนั้นควรแสดงด้วย(เรื่อง)พรานสุนัข เปรียบเหมือนสุนัขที่นายพรานเนื้อปล่อยไป เพราะเห็นเนื้อ จึงวิ่งตามเนื้อไปทันเข้าในที่ใดก็จะกัดเอาในที่นั้นแหละ ฉันใด
กรรมนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้โอกาสในที่ใดก็จะอำนวยผลในที่นั้นทันที ขึ้นชื่อว่าสัตว์จะรอดพ้นไปจากกรรมนั้น เป็นไม่มี
กรรมกลุ่มที่ ๒
=========
โดยกิจ คือ จำแนกผลให้ตามหน้าที่
๒.๕ ชนกกรรม
กรรมที่ให้เกิดปฏิสนธิอย่างเดียว หรือกรรมที่นำให้เกิด ไม่ให้เกิดปวัตติกาล(ขณะปัจจุบัน) กรรมอื่นย่อมให้เกิดวิบากในปวัตติกาล ชื่อว่า ชนกกรรม
อุปมาเสมือนหนึ่งว่า มารดาให้กำเนิดอย่างเดียว ส่วนพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมฉันใด ชนกกรรมก็เช่นนั้นเหมือนกัน ให้เกิดปฏิสนธิเหมือนมารดา (ส่วน)กรรมที่มาประจวบเข้าในปวัตติกาล เหมือนพี่เลี้ยงนางนม
๒.๖ อุปัตถัมภกรรม
ธรรมดาอุปัตถัมภกรรม มีได้ทั้งในกุศลทั้งในอกุศล เพราะว่าลางคนกระทำกุศลกรรมแล้วเกิดในสุคติภพ เขาดำรงอยู่ในสุคติภพนั้นแล้ว บำเพ็ญกุศลบ่อย ๆ สนับสนุนกรรมนั้น ย่อมท่องเที่ยวไปในสุคติภพนั่นแหละตลอดเวลาหลายพันปี ลางคนกระทำอกุศลกรรมแล้วเกิดในทุคติภพ เขาดำรงอยู่ในทุคตินั้น กระทำอกุศลกรรมบ่อย ๆ สนับสนุนกรรมนั้นแล้ว จะท่องเที่ยวไปในทุคติภพนั้นแหละ สิ้นเวลาหลายพันปี
อีกนัยหนึ่งควรทราบดังนี้ ทั้งกุศลกรรมทั้งอกุศลกรรม ชื่อว่าเป็นชนกกรรม
ชนกกรรมนั้นให้เกิดวิบากขันธ์ทั้งที่เป็นรูปและอรูป ทั้งในปฏิสนธิกาลทั้งในปวัตติกาล
ส่วนอุปัตถัมภกกรรม ไม่สามารถให้เกิดวิบากได้ แต่จะสนับสนุนสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบาก ที่ไม่เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว ย่อมเป็นไปตลอดกาลนาน
๒.๗ อุปปีฬกกรรม
กรรมที่เบียดเบียน บีบคั้นสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบากที่ให้เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว จะไม่ให้(สุขหรือทุกข์นั้น) เป็นไปตลอดกาลนาน ชื่อว่า อุปปีฬกกรรม
ในอุปปีฬกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้ เมื่อกุศลกรรมกำลังให้ผล อกุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้(โอกาส)กุศลกรรมนั้นให้ผล แม้เมื่ออกุศลกรรมนั้นกำลังให้ผลอยู่ กุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้(โอกาส)อกุศลกรรมนั้นให้ผล ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์ที่กำลังเจริญงอกงามใครคนใดคนหนึ่งเอาไม้มาทุบ หรือเอาศาสตรามาตัด เมื่อเป็นเช่นนั้นต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์นั้นจะต้องไม่เจริญงอกงามขึ้นฉันใด กุศลกรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อกำลังให้ผล(แต่ถูก)อกุศลกรรมเบียดเบียน หรือว่าอกุศลกรรมกำลังให้ผล(แต่ถูก)กุศลกรรมบีบคั้นจะไม่สามารถให้ผลได้ ในสองอย่างนั้น สำหรับนายสุนักขัตตะ อกุศลกรรม(ชื่อว่า) เบียดเบียนกุศลกรรม สำหรับกรณีนายโจรฆาตกะ กุศลกรรม(ชื่อว่า)เบียดเบียนอกุศลกรรม
[ เรื่องเพชฌฆาต ชื่อตาวกาฬกะ ]
เล่ากันว่า ในกรุงราชคฤห์ นายตาวกาฬกะ กระทำโจรฆาตกรรม(ประหารชีวิตโจร)มาเป็นเวลา ๕๐ ปี ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายได้กราบทูลเขาต่อพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายตาวกาฬกะแก่แล้ว ไม่สามารถจะประหารชีวิตโจรได้ พระราชารับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงปลดเขาออกจากตำแหน่งนั้น อำมาตย์ทั้งหลายปลดเขาออกแล้ว แต่งตั้งคนอื่นแทน ฝ่ายนายตาวกาฬกะ
ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น(เป็นเพชฌฆาต)ไม่เคยนุ่งผ้าใหม่ ไม่ได้ทัดทรงของหอมและดอกไม้ ไม่ได้บริโภคข้าวปายาสไม่ได้รับการอบอาบ เขาคิดว่า เราอยู่โดยเพศของผู้เศร้าหมองมานานแล้ว จึงสั่งภรรยาให้หุงข้าวปายาส ให้นำเครื่องสัมภาระสำหรับอาบไปยังท่าน้ำดำเกล้าและนุ่งผ้าใหม่ ลูบไล้ของหอม ทัดดอกไม้ กำลังเดินมาบ้าน เห็นพระสารีบุตรเถระ ดีใจว่า เราจะได้พ้นจากกรรมที่เศร้าหมอง และได้พบพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย จึงนำพระเถระไปยังเรือน แล้ว
อังคาส(ประเคน)ด้วยข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส เนยข้น และผงน้ำตาลกรวด พระเถระได้อนุโมทนาของเขา เขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ ตามส่งพระเถระแล้วเดินกลับในระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิด ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วไปเกิดในดาวดึงสพิภพ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระตถาคตว่า พระพุทธเจ้าข้า วันนี้เอง นายโจรฆาตอันพระสารีบุตรเถระ ช่วยนำออกจากกรรมที่เศร้าหมอง ถึงแก่กรรมแล้วในวันนี้ เหมือนกัน เขาเกิดในที่ไหนหนอ
พ. ในดาวดึงสพิภพ ภิกษุทั้งหลาย.
ภิ. พระพุทธเจ้าข้า นายโจรฆาตฆ่าคนมาเป็นเวลานาน และพระองค์ก็ตรัสสอนไว้อย่างนี้ บาปกรรมไม่มีผลหรืออย่างไรหนอ
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวเช่นนั้น นายโจรฆาตได้กัลยาณมิตรผู้มีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย ถวายบิณฑบาตแก่พระธรรมเสนาบดีฟังอนุโมทนากถาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ จึงได้บังเกิดในที่นั้น นายโจรฆาต ได้ฟังคำเป็นสุภาษิตในเมืองแล้วได้ อนุโลมขันติบันเทิงใจ ไปเกิดในไตรเทพ
๒.๘ อุปฆาตกกรรม
ส่วนอุปฆาตกกรรม ที่เป็นกุศลบ้าง ที่เป็นอกุศลบ้าง มีอยู่เองจะตัดรอนกรรมอื่นที่มีกำลังเพลากว่า ห้ามวิบากของกรรมนั้นไว้แล้วทำโอกาสแก่วิบากของตน ก็เมื่อกรรมทำ(ให้)โอกาสอย่างนี้แล้ว กรรมนั้นเรียกว่า เผล็ดผลแล้ว อุปฆาตกกรรมนี้นั่นแหละ มีชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรมบ้าง
อธิบายอุปัจเฉทกกรรม ในอุปัจเฉทกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้ ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผล อกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผล กุศลกรรมอย่างหนึ่งก็จะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป นี้ชื่อว่า อุปัจเฉทกกรรม
บรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทั้งสองอย่างนั้น
กรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้เป็นกรรมที่ตัดรอนกุศล ส่วนกรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศลด้วยประการ ดังกล่าวมานี้
๓.๙ ครุกกรรม
ส่วนในบรรดากรรมหนักและกรรมไม่หนัก ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลกรรมใดหนัก กรรมนั้นชื่อว่า ครุกกรรม
ครุกกรรมนี้นั้น ในฝ่ายกุศลพึงทราบว่าได้แก่ มหัคคตกรรม ในฝ่ายอกุศล พึงทราบว่า
ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕
เมื่อครุกรรมนั้นมีอยู่ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่เหลือจะไม่สามารถให้ผลได้ ครุกรรมแม้ทั้งสองอย่างนั้นแหละจะให้ปฏิสนธิ อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ก้อนกรวดหรือก้อนเหล็ก แม้ประมาณเท่า
เมล็ดพันธุ์ผักกาดที่โยนลงห้วงน้ำ ย่อมไม่สามารถจะลอยขึ้นเหนือน้ำได้ จะจมลงใต้น้ำอย่างเดียว ฉันใด ในกุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรม
ก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กรรมฝ่ายใดหนัก เขาจะถือเอากรรมฝ่ายนั้นแหละไป
๓.๑๐ พหุลกรรม (อาจิณณกรรม)
ส่วนในกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดมาก กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรม
พหุลกรรมนั้น พึงทราบด้วยอำนาจอาเสวนะที่ได้แล้วตลอดกาลนาน
อีกอย่างหนึ่ง ในฝ่ายกุศลกรรม กรรมใดที่มีกำลังสร้างโสมนัสให้ ในฝ่ายอกุศลกรรมสร้างความเดือดร้อนให้ กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรมอุปมาเสมือนหนึ่งว่า เมื่อนักมวยปล้ำ ๒ คนขึ้นเวที คนใดมีกำลังมาก คนนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม(แพ้)ไป ฉันใด พหุลกรรมนี้นั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทับถมกรรมพวกนี้ที่มีกำลังน้อย (ชนะ) ไป
กรรมใดมากโดยการเสพจนคุ้นหรือมีกำลังโดยอำนาจ ทำให้เดือดร้อนมาก กรรมนั้นจะให้ผล เหมือนกรรมของพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ฉะนั้น
[ เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ]
เล่ากันมาว่า พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้น รบพ่ายแพ้ในจูฬังคณิยยุทธ์ ทรงควบม้าหนีไป มหาดเล็กชื่อว่า ติสสอำมาตย์ของพระองค์ ตามเสด็จไปได้คนเดียวเท่านั้น
ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ดงแห่งหนึ่ง ประทับนั่งแล้ว เมื่อถูกความหิวเบียดเบียน จึงรับสั่งว่า พี่ติสสะ เราสองคนหิวเหลือเกิน จะทำอย่างไร? มีอาหารพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้นำพระกระยาหาร ใส่ขันทองใบหนึ่ง ซ่อนไว้ในระหว่างผ้าสาฎกมาด้วยพระเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นจงนำมา เขาจึงนำพระกระยาหารออกมาวางตรงพระพักตร์พระราชา ท้าวเธอทรงเห็นแล้วตรัสว่า จงแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน ซิพ่อคุณ
เขาทูลถามว่าพวกเรามี ๓ คน เหตุไฉน พระองค์จึงให้จัดเป็น ๔ ส่วน
พี่ติสสะ เวลาที่เรานึกถึงตัวเราไม่เคยบริโภคอาหาร ที่ยังไม่ได้ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าก่อนเลย ถึงวันนี้ เราก็จักไม่ยอมบริโภค โดยยังไม่ได้ถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงจัดแบ่งอาหารออกเป็น ๔ ส่วน
พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านจงประกาศเวลา ในป่าร้าง เราจักได้พระคุณเจ้าที่ไหนพระพุทธเจ้าข้า
ข้อนี้ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน ถ้าศรัทธาของเรายังมี เราจักได้พระคุณเจ้าเอง ท่านจงวางใจ แล้วประกาศเวลาเถิด
เขาจึงประกาศถึง ๓ ครั้งว่า ได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้าได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้า
ลำดับนั้น พระโพธิยมาลกมหาติสสเถระ ได้ยินเสียงนั้นด้วยทิพพโสตธาตุรำพึงว่า เสียงนี้ที่ไหน?
จึงรู้ว่า วันนี้พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย แพ้สงครามเสด็จเข้าสู่ดงดิบ ประทับนั่งแล้ว ให้แบ่งข้าวขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน
ทรงรำพึงว่าเราจักบริโภคเพียงส่วนเดียว จึงให้ประกาศเวลา(ภัตร) คิดว่า วันนี้เราควรทำการสงเคราะห์พระราชา แล้วมาโดยมโนคติ ได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระราชา
พระราชาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงมีพระทัยเลื่อมใส รับสั่งว่า เห็นไหมเล่าพี่ติสสะ ดังนี้ ไหว้พระเถระแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้บาตร
พระเถระนำบาตรออกแล้ว พระราชาทรงเทอาหารส่วนของพระเถระ พร้อมส่วนของพระองค์
ลงในบาตรแล้วตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญขึ้นชื่อว่า ความลำบากด้วยอาหาร จงอย่ามีในกาลไหน ๆ ทรงไว้แล้วประทับยืนอยู่
ฝ่ายติสสอมาตย์ คิดว่า เมื่อพระลูกเจ้าของเราทอดพระเนตรอยู่ เราจักไม่สามารถบริโภคได้ จึงได้เทส่วนของตนลงไปในบาตรพระเถระเหมือนกัน ถึงม้าคิดว่า ถึงเราก็ควรถวายส่วนของเราแก่พระเถระ พระราชาทอดพระเนตรดูม้าแล้วทรงทราบว่า ถึงม้านี้ ก็ประสงค์จะใส่ส่วนของตนลงในบาตรของพระเถระเหมือนกัน จึงได้เทส่วนแม้นั้นลงในบาตรนั้นเหมือนกัน ไหว้แล้วส่งพระเถระไป
พระเถระถือเอาภัตรนั้นไป แล้วได้ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ต้น โดยแบ่งปั้นเป็นคำ ๆ
แม้พระราชาทรงพระดำริว่า พวกเราหิวเหลือเกินแล้ว จะพึงเป็นการดีมาก ถ้าหากพระเถระจะส่งอาหารที่เหลือมาให้
พระเถระรู้พระราชดำริของพระราชาแล้ว จึงทำภัตรที่เหลือให้พอเพียงแก่คนเหล่านั้น จะดำรงชีวิตอยู่ได้จึงโยนบาตรไปในอากาศ
บาตรมาวางอยู่ที่พระหัตถ์ของพระราชาแล้ว
แม้อาหารก็พอที่คนทั้ง ๓ จะดำรงชีพอยู่ได้
ลำดับนั้น พระราชาทรงล้างบาตรแล้ว ทรงดำริว่า
เราจักไม่ส่งบาตรเปล่าไป จึงทรงเปลื้องพระภูษาชุบน้ำแล้ววางผ้าไว้ในบาตร ทรงอธิษฐานว่า ขอบาตรจงประดิษฐานอยู่ในมือแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา แล้วทรงโยนบาตรไปในอากาศ
บาตรไปประดิษฐานอยู่ในมือพระเถระแล้ว
ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชาให้ทรงสร้างมหาเจดีย์ สูง ๑๒๐ ศอก บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่ ๘ แห่งพระตถาคตเจ้าไว้ เมื่อพระเจดีย์ยังไม่ทันเสร็จ ก็ได้เวลาใกล้สวรรคต
ลำดับนั้น เมื่อพระภิกษุสงฆ์สาธยายโดยนิกายทั้ง ๕ ถวายพระองค์ผู้บรรทมอยู่ข้างด้านทิศใต้แห่งมหาเจดีย์ รถ ๖ คัน จากเทวโลก ๖ ชั้น จอดเรียงรายอยู่ในอากาศ เบื้องพระพักตร์ของพระราชา
พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงนำสมุดบันทึกการทำบุญมาแล้วรับสั่งให้อ่านสมุดนั้นมาแต่ต้น ครั้นไม่มีกรรมอะไรที่จะให้พระองค์ประทับพระทัย จึงตรัสสั่งว่า จงอ่านต่อไปอีก คนอ่าน อ่านต่อไปว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ผู้ปราชัยในจุลลังคณิยยุทธสงคราม เสด็จเข้าดงประทับนั่ง ถวายภิกษาแก่ท่านพระโพธิมาลก
มหาติสสเถระ โดยทรงแบ่งพระกระยาหารขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน พระราชารับสั่งให้หยุดอ่าน แล้วซักถามภิกษุสงฆ์ว่า พระคุณเจ้าข้า เทวโลกชั้นไหนเป็นรมณียสถาน ภิกษุสงฆ์ถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ดุสิตพิภพ เป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ พระราชาสวรรคตแล้ว ประทับนั่งบนราชรถที่มาแล้วจากดุสิตพิภพนั่นแหละ ได้เสด็จถึงดุสิตพิภพแล้ว
นี้เป็นเรื่อง (แสดงให้เห็น)ในการให้วิบากของกรรมที่มีกำลัง
๓.๑๑ ยทาสันนกรรม (อาสันนกรรม)
ส่วนในบรรดากุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดสามารถเพื่อจะให้ระลึกถึงในเวลาใกล้ตาย กรรมนั้น ชื่อว่า ยทาสันนกรรม (อาสันนกรรม)
ยทาสันนกรรม(อาสันนกรรม) นั่นแหละ เมื่อกุศลกรรมและอกุศลกรรมเหล่าอื่น ถึงจะมีอยู่ก็ให้ผล (ก่อน) เพราะอยู่ใกล้มรณกาล เหมือนเมื่อเปิดประตูคอก ที่มีฝูงโคเต็มคอก บรรดาโคฝึกและโคมีกำลัง ถึงจะอยู่ในส่วนอื่น (ไกลปากคอก) โคตัวใดอยู่ใกล้ประตูคอก โดยที่สุด จะเป็นโคแก่ถอยกำลังก็ตาม โคตัวนั้นก็ย่อมออกได้ก่อนอยู่นั่นเอง ฉะนั้น ในข้อนั้นมีเรื่องดังต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง
[ เรื่องคนเฝ้าประตูชาวทมิฬ ]
เล่ากันมาว่า ในบ้านมธุอังคณะ มีนายประตูชาวทมิฬคนหนึ่ง ถือเอาเบ็ดไปแต่เช้า ตกปลาได้แล้วแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งเอาแลกข้าวสาร ส่วนหนึ่งแลกนม ส่วนหนึ่งต้มแกงกิน โดยทำนองนี้ เขาทำปาณาติบาตอยู่ถึง ๕๐ ปี ต่อมาแก่ตัวลง ล้มหมอนนอนเสื่อ
ในขณะนั้น พระจุลลปิณฑปาติกติสสเถระ ชาวคิรีวิหาร รำพึงว่า คนผู้นี้ เมื่อเรายังเห็นอยู่อย่าพินาศเสียเลย แล้วไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเขา ขณะนั้นภริยาของเขาจึงบอกว่า นี่ ! พระเถระมาโปรดแล้ว เขาตอบว่า ตลอดเวลา ๕๐ ปี เราไม่เคยไปสำนักของพระเถระเลย ถ้าคุณความดีอะไรของเรา ท่านจึงต้องมา เธอจงไปนิมนต์ให้ท่านไปเสียเถิด
นางบอกพระเถระว่า นิมนต์ไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า
พระเถระถามว่า อุบาสกมีพฤติการทางร่างกายอย่างไร
นางตอบว่า อ่อนแรงแล้ว เจ้าข้า.
พระเถระเข้าไปยังเรือนให้สติ แล้วกล่าวว่า โยมรับศีล (ไหม)
เขาตอบว่า รับขอรับพระคุณเจ้า นิมนต์ให้ศีลเถิด
พระเถระให้สรณะ ๓ แล้ว เริ่มจะให้ศีล ๕
ในขณะที่อุบาสกนั้นว่า ปญฺจสีลานิ นั่นแหละ ลิ้นแข็งเสียแล้ว
พระเถระคิดว่า เท่านี้ก็พอควร แล้วออกไป
ส่วนเขาตายแล้วไปเกิดในภพจาตุมหาราชิกะ
ก็ในขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ รำลึกว่า เราทำกรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ รู้ว่าได้เพราะอาศัยพระเถระ จึงมาจากเทวโลก ไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อพระเถระถามว่า นั่นใคร ตอบว่า กระผม (คือ) คนเฝ้าประตูชาวทมิฬครับพระคุณเจ้า
พระเถระถามว่า ท่านไปเกิดที่ไหน
ตอบว่า ผมเกิดที่ชั้นจาตุมหาราชิกภพ ครับพระคุณเจ้า ถ้าหากพระคุณเจ้าได้ให้ศีล ๕ แล้วไซร้ ผมคงได้เกิดในชั้นสูงขึ้นไป ผมจักทำอย่างไร
พระเถระตอบว่า ดูก่อน(เทพ)บุตร ท่านไม่สามารถจะรับเอาได้เอง เทพบุตรไหว้พระเถระแล้ว กลับไปยังเทวโลก
นี้เป็นเรื่อง (ตัวอย่าง)ในกุศลกรรมก่อน
[ เรื่องมหาวาตกาลอุบาสก ]
ในระหว่างแม่น้ำคงคา ได้มีอุบาสกชื่อว่า มหาวาตกาละ เขาสาธยายอาการ ๓๒ เพื่อมุ่งโสดาปัตติมรรคถึง ๓๐ ปี ถึงทิฏฐิวิปลาสว่า เราสาธยายอาการ ๓๒ อยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้เกิดแม้เพียงโอภาสได้ ชะรอยพระพุทธศาสนา
จักไม่เป็นศาสนาเครื่องนำสัตว์ออกจากภพ (เป็นแน่) กระทำกาลกิริยาแล้วได้ไปเกิดเป็นลูกจรเข้ยาว ๙ อุสภะ ที่แม่น้ำมหาคงคา คราวหนึ่ง เกวียนบรรทุกเสาหิน ๖๐ เล่ม เดินทางไปตามท่ากัจฉปะ จรเข้นั้นฮุบกินทั้งโคทั้งหินเหล่านั้นจนหมดสิ้น
นี้เป็นเรื่อง (ตัวอย่าง) ในอกุศลกรรม
๓.๑๒ กฏัตตาวาปนกรรม
ส่วนกรรมนอกเหนือจากกรรม ๓ ดังกล่าวมาแล้วนี้ ทำไปโดยไม่รู้หรือสักว่าทำ ชื่อว่า กฏัตตาวาปนกรรม
กฏัตตาวาปนกรรมนั้น อำนวยวิบากได้ในกาลบางครั้ง เพราะไม่มีกรรม ๓ อย่างเหล่านั้น
เหมือนท่อนไม้ที่คนบ้าขว้างไป จะตกไปในที่ๆ
ไม่มีจุดหมายฉะนั้น
— เป็นอันท่านจำแนกกรรม ๑๒ อย่าง ตามสุตตันติกปริยาย.
# ๑. องฺ.อ. ๑/๓/๑๒๑-๑๓๓. ๒. วิสุทธิ. ๓/๒๒๓
โฆษณา