3 ส.ค. 2022 เวลา 02:58 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ส่องอนาคต 3 หุ้น Tech Consult เมื่อกำไรจะเติบโตอย่างโดดเด่น
3 หุ้น Tech Consult ถือเป็นกลุ่มที่บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินเป็นหนึ่งในกลุ่ม High Growth ที่หุ้นผ่านการปรับฐานมาแล้ว อาทิ JMT, JMART, KCE, IIG, TIDLOR, BE8, BBIK อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ดังกล่าวได้ออกมาประเมินหุ้นกลุ่มนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
ทั้งนี้ระบุว่า หุ้นในกลุ่ม Digital Tech Consult (BE8, IIG, BBIK) ประเมินโซนปัจจุบันยังเป็นโอกาสลงทุนจากเหตุผลหลักๆดังนี้ 1.แรงกดดันภาพใหญ่ลดลง หลังจาก Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามตลาดคาดที่ 75 bps ในรอบประชุมล่าสุด และน่าจะเป็นการปรับขึ้นในระดับที่เร่งตัวสุดแล้วเช่นเดียวกับแรงกดดันในส่วนเงินเฟ้อที่เข้าใกล้ระดับสูงสุด
2.ภาพรวมพื้นฐานธุรกิจกลุ่ม Digital Tech Consult ยังมีความแข็งแกร่งอย่างมาก สะท้อนจากคาดการณ์กำไรงวดไตรมาส 2/65 ทั้งกลุ่มที่ทำ New High ต่อเนื่อง โดยประเมิน BE8 จะรายงานกำไรไตรมาส 2/65 เพิ่มขึ้น 34%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25%จากไตรมาสก่อน ส่วน IIG คาดกำไรเพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน
และ BBIK ทีมกลยุทธ์อยู่ระหว่างประเมิน แต่เบื้องต้นคาดว่าขึ้นทำ New High เพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3%จากไตรมาสก่อนเช่นเดียวกับกลุ่ม ขณะที่คาดการณ์กำไรปี 65-66 ของทุกบริษัทจะอยู่ในระดับเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 35%-40%
3.Valuation หุ้นในกลุ่ม BBIK IIG และ BE8 ปัจจุบัน ถ้าอิง EPS’23 จะมี PER’23 ราว 40.6, 43.5 และ 26.8 เท่าไม่แพงเทียบกับศักยภาพการเติบโตอีกหลายเท่าตัวในระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม ทีมกลยุทธ์แนะนำ IIG (ราคาเป้าหมาย 52 บาท) ที่ยังมี Valuation ถูกกว่ากลุ่ม และ BE8 (ราคาเป้าหมาย70 บาท) ที่แม้ Valuation แพงกว่ากลุ่ม แต่เหมาะสมภายใต้ภาพการทยอยขยายธุรกิจช่วงที่ผ่านมาช่วยให้มีโครงสร้างพร้อมหนุนศักยภาพเติบโตระยะกลางได้สูงกว่ากลุ่ม
BE8 แนะ ซื้อ รับการเติบโตระยะยาว
BE8 โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ระยะสั้นคาดกำไรไตรมาส 2/65 ที่ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อน เป็น new high ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกระแสการทำ Digital transformation และการทยอยทำงานโครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทได้รับมาในช่วงก่อนหน้า (ทั้งงาน ไปรษณีย์ไทยและการท่าเรือ)
โดยคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 70 บาท รับการเติบโตในระยะยาว ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 63% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังมีโอกาสเห็น JV, M&A เพิ่มเติม หลังจากช่วงก่อนหน้านี้ที่มีดีลและต่อจิ๊กซอว์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งX10 ซึ่งมาเสริมศักยภาพด้านบุคลากร การไปร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยพัฒนาระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร และล่าสุดการลงทุนในวานิล ลา แอนด์ เฟรนด์ เพื่อเพิ่มความสามารถในด้านการทำ Digital marketing
ทั้งนี้ประเมินกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น 64%จากปีก่อน มาที่ระดับที่ 135 ล้านบาท เติบโตตามตามความต้องการด้าน Digital transformation ในตลาดมีเพิ่มมากขึ้น การรุกตลาดภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และดีล X10 ที่จะมาช่วยเสริมรายได้อย่างมีนัยฯตั้งแต่ไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป (สมมติฐานเริ่มรวมรายได้ X10 ตั้งแต่ ก.ย.65) ซึ่งจะช่วยสร้าง synergy และเพิ่มศักยภาพในการรับงานของบริษัท ส่วนภาพระยะกลางคาดกำไรปีในช่วง3 ปีข้างหน้าเติบโตสูงต่อเนื่องเฉลี่ยี่ 63%CAGR ในช่วงปี 65-67
IIG รายได้ประจำสูง
IIG โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดกำไรไตรมาส 2/65 ที่ 29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน ทำ new high ต่อเนื่องตามการทยอยรับรู้งานจาก backlog และคาดกำไรปีนี้ที่ 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อนส่วนภาพระยะกลางประเมินกำไรปี 65-67 โตสูงต่อเนื่องเฉลี่ย 36%CAGR ตามรายได้ที่คาดเติบโต 32% CAGR และ backlog ของบริษัทเมื่อรวมกับ recurring revenue จะsecure รายได้เกือบทั้งหมดของประมาณการปี 65 ของฝ่ายวิจัยแล้ว
ขณะที่ Valuation แม้เติบโตต่ำกว่ากลุ่ม แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงที่ 36%CAGR และราคาซื้อขายบน PER22F ที่ 35 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ ที่ระดับ 50-80 เท่า คงคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 52 บาท ส่วน bond yield ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เป็น sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มเทคฯ รวมทั้งมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญจากการที่บริษัทต่างๆหันมาใช้ระบบ Cloud มากขึ้น ซึ่งเป็น New S curve ของงาน ERP ลดความกังวลตลาดที่เดิมมอง ERP เติบโตช้า และ recurring income สูง 45% รวมทั้งมีโอกาสเห็น JV, M&A
BBIK กำไรโตไม่หยุด
สุดท้าย BBIK โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าคาดกำไรปกติของ BBIK ในไตรมาส 2/65 ที่ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 67%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากรายได้ที่เติบโตเด่น ตาม Backlogs ณ สิ้นไตรมาส 1/65 ที่แข็งแกร่ง 459 ล้านบาท ดังนี้
1.คาดรายได้ในไตรมาส 2/65 ที่ 118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 53%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจาก Backlogs ที่แข็งแกร่ง ตามมูลค่าตลาดด้าน Digital transformation ที่ขยายตัวขึ้น และเป็นผลบวกจากการที่ BBIKลงทุนผ่านการซื้อกิจการอื่นเพื่อต่อยอดการให้บริการให้ครบวงจรมากขึ้น
2.คาด GPM ที่ 60% ทรงตัวจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเป็นธุรกิจด้านที่ปรึกษาทำให้มีอัตราการทำกำไรที่สม่ำเสมอไม่ได้ผันแปรตามต้นทุน Raw Material เหมือนธุรกิจการผลิตอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยมหภาค 3.SG&A คาดที่ 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 77%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เติบโตตามการเพิ่มจำนวนพนักงาน แต่รายได้ยังเติบโตมากกว่า
และ 4.ส่วนแบ่งกำไรจาก Orbit คาดที่ 6 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ทำได้ในไตรมาส 1/65 หากกำไรออกมาตามคาด กำไรครึ่งแรกปี 65 จะคิดเป็น 52% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2565 ที่ 112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น71%จากปีก่อน
ขณะที่ในไตรมาส 2/65 BBIK ชนะงานเพิ่มเติมราว 100 ล้านบาท หนุนให้แม้มีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/65 ไปแล้วBacklogs ก็ยังแข็งแกร่งที่ระดับ 459 ล้านบาท โดยตัวเลข Backlogs ไม่ได้รวมรายได้จาก Orbit ซึ่งผู้บริหารคาด Orbit จะมีรายได้รวมทั้งปี 2565 ราว 150 ล้านบาท
การเติบโตภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนด้าน Digital Transformation ที่ยังเป็นที่ต้องการอีกมากในระยะยาว ในภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น Post COVID-19 เชื่อว่าผู้ประกอบการจะจำเป็นต้องเร่งลงทุนด้าน Digital Transformation มากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้แผนการเติบโตของ BBIK มีความชัดเจน โดยต้องการจะเปลี่ยนลูกค้าเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะเติบโตไปด้วยกัน ความสำเร็จจากกรณีของ Orbit (BBIK จับมือกับ PTTOR) ทำให้ BBIK พร้อมต่อยอดในโมเดลธุรกิจในลักษณะเดียวกันนี้กับคู่ค้ารายอื่นๆ ขณะที่การเสริมศักยภาพด้านอื่นๆ เช่น Cybersecurity หรือ บริการ HR เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่ฝ่ายวิจัยคาดหวังได้ว่าจะเกิดขึ้นในระยะถัดไป
คงประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ 112 ล้านบาท เติบโต 71%จากปีก่อน และปี 2566 ที่ 173 ล้านบาท เติบโตต่อ 55% แนะนำประมาณการปี 2567 เป็นครั้งแรกคาดกำไรปกติที่ 268 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 55% โดยคาดการณ์กำไรที่สูงมาจากสมมติฐานสำคัญว่าการเติบโตของ Digital Transformation ของประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ขณะที่ผู้ชำนาญที่มีศักยภาพมีจำ กัด ส่วนฐานรายได้และกำไรของ BBIK ยังเล็กและมีงบดุลที่ดีเมื่อบวกกับศักยภาพของผู้บริหารเชื่อว่าจะสามารถที่จะเติบโตต่อยอดได้อีกมาก
ดังนั้นปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 95.25 บาทต่อหุ้น อิง PER เท่าเดิมที่ 55 เท่า ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโต คงแนะ “ซื้อ ” และให้ BBIK เป็นตัวเลือกเด่นของกลุ่ม ICT Small Cap
อย่างไรก็ตามบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมิน BBIK และ BE8 จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 วันที่ 11 ส.ค.65 ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมิน IIG จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 วันที่ 11 ส.ค.65 เช่นกัน
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา