Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Stocker Day
•
ติดตาม
5 ส.ค. 2022 เวลา 11:54 • คริปโทเคอร์เรนซี
รู้จัก Recession ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะทำให้ผู้คนหลายล้านคนต้องตกงาน !
เชื่อมั้ยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้โลกของเราได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก ๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 ที่ทำให้ธุรกิจทั่วทั้งโลกหยุดชะงัก สงครามรัสเซียและยูเครนที่เดือดปะทุมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือภาวะเงินเฟ้อที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก
ซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้มันกำลังซ้ำซ้อนกันจนทำให้เราอาจจะต้องเจอกับ “Recession” หรือ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” อย่างไม่รู้ตัว แน่นอนว่า ผลกระทบมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเราในเร็ววันนี้ แต่มันจะค่อย ๆ เผยให้เห็นปัญหาที่ใกล้ชิดตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ การเลิกจ้างงานของบริษัทต่าง ๆ หรือการขาดแคลนทรัพยากร (Supply Shock) ที่หลายประเทศกำลังพบเจอ เป็นต้น
โดยในที่สุดแล้วเมื่อทั่วโลกต้องเจอ ประเทศไทยเองก็มีโอกาสสูงที่จะเจอกับปัญหาเหล่านี้เช่นกัน และถ้าหากเราไม่สามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้ ธุรกิจทั้งหลายอาจจะต้องล้มละลายและผู้คนอีกหลายล้านคนต้องตกงานไปอีกหลายปีก็เป็นได้..
.
ซึ่งถ้าใครไม่อยากเจอกับเหตุการณ์แบบนี้และอยากเตรียมตัวให้มากขึ้นละก็ ไปรู้จัก Recession กันให้ลึกขึ้นกันดีกว่าค่า
นี่ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลด้วยตนเองก่อนทุกครั้ง
==========================
ถ้าชอบคอนเทนต์แบบนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดติดตามเพจไว้นะคะ จะได้ไม่พลาดสาระดี ๆ จากเพจของเรา
ที่มา :
https://www.facebook.com/stockerday/posts/456752283017089
Recession คืออะไร
.
หลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหลายต่อหลายครั้ง เราก็มักจะเริ่มได้ยินคนพูดถึงคำว่า “Recession” หรือ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” มากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งมันก็หมายถึง ภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมที่มีการเติบโตน้อยลง เนื่องด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่ลดลงไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอยเงินของผู้คน การลงทุนภาครัฐหรือเอกชน รวมไปถึงการส่งออกและนำเข้าสินค้า หรือที่เราเรียกง่าย ๆ ว่า “ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว” และเมื่อไรก็ตามที่มีการชะลอตัวอย่างน้อย 2 ไตรมาส หรืออย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป เราจะเรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย”
ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐนี่แหละ ที่จะทำให้เงินไหลออกจากภาคการลงทุนของรัฐและเอกชนเยอะขึ้น จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะเร่งให้เกิด “Recession” อย่างที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ในช่วงนี้นั่นเอง
จะได้รู้ได้ยังไงว่าเกิด Recession
.
อย่างที่แอดเกริ่นไป ปัจจัยที่ทำให้เกิด Recession นั้นมีหลากหลายอย่างมาก ๆ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์เราสามารถเรียกปัจจัยเหล่านี้รวมกันได้ว่า “ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” หรือที่เพื่อน ๆ คุ้นหูกันในคำว่า Gross Domestic Product หรือค่า “GDP”
.
และค่า GDP นี่แหละที่จะทำให้เราคำนวณได้ว่าเมื่อไรจะเกิด Recession จากสมการดังนี้
GDP = C+I+G+(X-M)
C = Consumption การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน
I = Investment การลงทุนจากภาคเอกชน
G = Government Spending การลงทุนหรือค่าใช้จ่ายของรัฐบาล
X = Export การส่งออก
M = Import การนำเข้า
ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่ค่า GDP เป็นบวกจะหมายถึง เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ กำลังเติบโต แต่ถ้าหาก GDP ติดลบจะหมายถึง เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ กำลังชะลอตัว และหากติดลบอย่างน้อย 2 ไตรมาส เราก็จะรู้ได้ทันทีว่า “Recession” หรือ “ช่วงขาลงของเศรษฐกิจ” ได้เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
รูปแบบของ Recession
.
เมื่อเกิด Recession ขึ้น เราสามารถแบ่งรูปแบบของ Recession ออกได้เป็น 4 แบบด้วยกันคือ
1.เกิดภาวะถดถอยแล้วฟื้นตัว อย่างรวดเร็ว (V-Shaped)
2.เกิดภาวะถดถอยช่วงสั้น ๆ แล้วฟื้นตัว (U-Shaped)
3.เกิดภาวะถดถอยแล้วฟื้นตัว แต่กลับไปถดถอยใหม่ก่อนที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง (W-Shaped or Double-dip recessions)
4.เกิดภาวะถดถอยแล้ว ใช้เวลานานในการฟื้นตัว (L-Shaped)
ซึ่งแต่ละแบบก็จะเกิดขึ้นกันไปตามแต่วิธีแก้ และปัจจัยต่าง ๆ ของช่วงเวลานั้น ๆ แต่ที่แน่ ๆ ไม่ว่าจะแบบไหนย่อมส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจแน่นอน
Recession มีผลกระทบกับเรายังไงบ้าง
.
ผลกระทบของ Recession ก็ต้องบอกเลยว่า ร้ายแรงมาก ๆ เพราะมันจะทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องตกงาน และเมื่อไรก็ตามที่มีการว่างงานมากขึ้น ผู้คนก็จะจับจ่ายใช้สอยสินค้าหรือใช้เงินซื้อสินค้าน้อยลง ส่งผลให้เศรษฐกิจซบเซา และธุรกิจต่าง ๆ ไม่เกิดรายได้หรือกำไร ทำให้ต้องปิดตัวลงในที่สุด
นอกจากนี้ใครก็ตามที่กู้เงินมาลงทุนหรือใช้สอยอยู่ อาจจะต้องลำบากมากขึ้น เนื่องจากต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยที่สูงมากขึ้นตามไปด้วย เรียกได้ว่า กระทบกันเป็นวงกว้างเลยทีเดียว
โดยในปัจจุบันตัวเลข GDP ของประเทศไทยนั้นอาจจะยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก แต่อย่าลืมว่า ตอนนี้ทั่วโลกกำลังเจอกับปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ภาวะเงินเฟ้อ หรือการขาดแคลนอาหารและทรัพยากร ซึ่งความลำบากเหล่านี้จะค่อย ๆ ส่งผ่านและสะท้อนออกมาเป็นตัวเลขเศรษฐกิจในที่สุดเอง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะปรากฎให้เห็น
ดังนั้นถ้าใครลงทุนอะไรอยู่ก็พยายามบริหารความเสี่ยงกันให้ดี อย่าให้สภาพคล่องต้องติดขัดในช่วงนี้ ไม่งั้นอาจจะต้องลำบากเอาดาบหน้าได้ และถ้าเป็นไปได้พยายามมีเงินสำรองเผื่อไว้สัก 6 เดือน - 1 ปีจะดีที่สุดค่ะ ^^
cryptocurrency
stockerday
3 บันทึก
5
1
3
5
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย