6 ส.ค. 2022 เวลา 14:26
ธรรมะของพระพุทธเจ้า
มีเหตุมีผลทุกอย่าง
เราจะพูดลอยๆ ทำลอยๆได้ยังไง
ทำลงให้มันถึงใจอย่างที่ว่านี้
คำพูดเหล่านี้จะออกมาเองจากจิตดวงนั้นแหละ
ที่ว่าตายแล้ว อย่านิมนต์พระมากุสลาหนา
ทำไมจึงว่าไม่ต้องกุสลา
จะกุสลาหาอะไร ก็พอตัวแล้ว
กุสลาหาอะไร ไปเอามาจากไหน
ก็พอแล้วนี่ เอาจิตให้พอซี
จิตถึงเมืองพอแล้ว ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น
สรรเสริญก็ไม่ต้องการ
นินทาก็ไม่ต้องการ
ทุกสิ่งทุกอย่าง พอ
ตกมาปั๊บมันไหลออกหมด
มันพอแล้วนั่น ไม่ว่าดีว่าชั่ว
ตำหนิติฉินนินทา อะไรก็เท่านั้นแหละ
เมื่ออันนี้พอแล้ว นั่นละมันฉลาดพอตัว
แม้แต่มหาสติมหาปัญญา
ที่เคยใช้ช่วยกันเสียเต็มเหนี่ยว
จนจะเป็นจะตายแล้ว
บทเวลาน้ำเต็มตุ่มแล้ว
มหาสติมหาปัญญาที่เทลงจั๊กๆๆอยู่
เหมือนน้ำ ก็หมดปัญหาไปเอง
เทไปหาอะไร
#เพราะฉะนั้น
#ท่านผู้บริสุทธิ์แล้ว
#ท่านจึงไม่นิยมว่าท่านมีสติ_ท่านขาดสติ
#ท่านไม่นิยมทั้งนั้นแหละ
#บริสุทธิ์แล้วเท่านั้นพอ เรียกว่าพอแล้ว
น้ำอะไรก็มาเถอะ ไม่ต้องการทั้งนั้น
พอแล้ว..แน่ะ
เอาละหายสงสัยแล้วนะที่พูดให้ฟังนี่
อุทิศก็อุทิศไปซี่
นั่นก็เป็นกุศลของเราที่คิดไว้อยู่แล้วตั้งแต่บัดนี้
เราอุทิศร่างของเรานี้
ให้เป็นประโยชน์แก่โรงพยาบาล
ก็ออกจากความฉลาดของคุณอยู่แล้วนี่ จะว่าอะไรอีก
(แต่คิดว่าไม่มีธรรมเนียมอะไรแบบนี้ค่ะ)
ธรรมเนียมไม่ธรรมเนียมก็ช่างเถอะ
กิเลสตัณหาก็ดี บุญก็ดี
ไม่ต้องหาธรรมเนียมแหละ
ทำผิดมันผิดไปทันที
ทำถูก ถูกไปทันที
ไปหาธรรมเนียมมาจากไหน
ศาสนาไม่ใช่ศาสนาธรรมเนียม
ศาสนาคือศาสนาของจริง
บุญบาปไม่ใช่ธรรมเนียม
เป็นของจริงทั้งสองอย่าง
ทำลงไปตรงไหนผิด มันก็เป็นบาป
ถูกมันก็เป็นบุญ นี่ความจริง
ส่วนที่เราใช้เป็นบทเป็นบาท
เป็นกฏเป็นข้อบังคับอย่างนั้น
ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ทีนี้เวลาใช้ไปนานๆก็เป็นขนบธรรมเนียม
เพียงขนบธรรมเนียมเฉยๆ
เราอยากทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ จะเป็นไรไป
เข้าใจแล้วเหรอ
สำคัญอยู่ที่ว่าความจริงนั่นละเป็นหลักใหญ่...
+++++
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน
หนุ่ย
โฆษณา