8 ส.ค. 2022 เวลา 16:42 • ความคิดเห็น
สงสัยแล้วทําไมไม่ลองนั่งทดสอบดูล่ะครับ ว่ามันจริงดังเขาว่ารึปล่าว เหมือนเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คิดว่าเรื่องนี้เหลวไหล ไร้สาระ เป็นอุปทาน ก็ลองทดสอบแบบทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง แต่ต้องนั่งให้ถูกวิธี มิใช่นั่งหลับตาแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หรือนั่งหลับจนน้ำลายย้อย การนั่งให้ถูกวิธีต้องเป็นไปตามขั้นตอนของฌาน คือ มีวิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกกัตคตา ถึงจะได้ฌาน 1,2,3,4 เขาเรียกการนั่งแบบนี้ว่า สมถะภาวนา ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ ฤษี ชีไพรสมัยก่อนพุทธกาล เมื่อนั่งแล้วจิตจะเดินไปตามขั้นตอนของณาน
1
เมื่อมีวิตก วิจารณ์ คือการเอาอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่งให้จิตยึดเกาะ แล้วตามรู้ เช่น ลมหายใจเข้าออก หรือคําบริกรรม พุทธ-โธ เมื่อเผลอไปคิดเรื่องอื่น ก็มีสติดึงกลับมาตามลมหายใจ หรือพุทโธต่อ ส่วนใหญ่ตอนฝึกใหม่ๆมักจะท้อเพราะ นิวรณ์( กิเลสชนิดหนึ่ง) มันคอยกระซิบข้างหู บอกขี้เกียจ น่าเบื่อ ง่วงนอน ไปนอนดีกว่า หรือไปดู Netflix กันเถอะ แต่ถ้ามีความมุ่งมั่นไม่ท้อ ทําต่อได้เรื่อยๆ จะรู้สึกถึงลมหายใจร่างกายจะหายไป
จิตจะรวมเป็นหนึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของณานคือเกิด ปิติ สุข ขนลุกซู่ รู้สึกอิ่มเอิบ อิ่มใจ ตัวพองยาวใหญ่ขึ้น บางคนเห็นแสงสี เห็นภาพนิมิตร เห็น นรก สวรรค์ เห็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเขาเรียกว่าได้อภิญญา ฤษีบางคนแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ได้ และคนที่เห็นอะไรต่างๆนานาก็จะเข้าใจว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว บางคนก็ตั้งตัวเป็นสํานักร่างทรง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ส่วนหนึ่งถ้าไม่คิดไปเองหรือจิตหลอน ก็เกิดจากความเข้าใจผิดที่ได้ณานจากสมถะภาวนา
ตรงนี้สำคัญมาก เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะทําให้คนนั่งสมาธิเป็นบ้าหรือ หากรู้เท่าทันในนิมิตที่จิตมันปรุงแต่งอะไรสารพัดออกมา เดินจิตต่อด้วยเอาภาพนิมิตเป็นอารมณ์ให้จิตรู้ คือตามรู้เฉยๆ ซักพักมันจะหายไปเกิด ปิติ สุข และจิตจะรวมเป็นหนึ่งอยู่ในความสงบ มีแต่ความว่างเรียกว่าเอกกัตคตา คนนั่งก็จะนั่งนิ่งสงบอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานเพราะติดในความสุขจากความสงบ
การนั่งสมาธิแบบนี้มีมาก่อน พุทธกาล ก่อนศาสนาพุทธกําเนิดเสียอีก ศาสนาพุทธเราก็เอาหลักสมถะมาใข้ในการเดินจิตเข่นกันแต่ไม่ได้เป็นไปเพื่อณาน แบบฤษีชีไพร แต่ทําไปเพื่อเดินจิตเข้าสู่โหมดวิปัสสนา เพราะจิตในความสงบมันไม่ทําให้เกิดปัญญาหรือความรู้แจ้ง สมถะจึงเป็นเพียงกําลังของสมาธิที่ได้จากการเข้าณาน บางคนเดินจิตเข้าสู่วิปัสสนาโดยตรงก็ได้ ก็ไม่ได้ผิดอะไร เหตุที่สมถะมันได้แต่ความสงบกับกําลังของสมาธิที่้เพิ่มขึ้น แต่มันไม่ได้ทําลายกิเลสในดวงจิต อย่างสิ้นเชิง เปรียบเสมือนหินทับหญ้า ไม่ใช่ยาฆ่าหญ้า
กิเลสมันก็จะงอกงาม ยามที่ออกจากสมาธิ นี่เป็นเหตุที่เห็นคนนั่งสมาธิทุกวัน แต่ทําไมยังมีโกรธ โมโห ด่าคนอื่น เพราะกิเลสมันไม่ได้ดับไปด้วย มันผลุบโผล่ตอนออกจากสมาธิแบบสมถะ
หมายเหตุ : ส่วนตัวที่ผมเคยนั่งมา เห็นแต่แสงสว่าง อยู่เฉยๆ ไม่เคยเห็นเทวดา นางฟ้า และไม่อยากจะเห็นด้วย ตอนนี้ต้องการความสงบขั่วคราว ยังไม่ต้องการหลุดพ้นไปจริงๆ จึงนั่งแบบสมถะไปก่อน
และที่คุณสงสัยว่ามันเห็นภาพได้อย่างไร ก็เพราะจิตมันปรุงแต่งอารมณ์เป็นภาพขึ้นมาในสมาธิ ปรกติมันก็ปรุงแต่งของมันอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่เราใช้คํากล่าวที่ว่าคิดเป็นภาพ หรือแม้แต่ในความฝันก็ฝันเป็นภาพออกมา
โฆษณา