11 ส.ค. 2022 เวลา 08:30 • ไลฟ์สไตล์
ทำไมน้ำมันหอมระเหยจากมะลิถึงแพงที่สุดในโลก?
10
หลายร้อยปีมาแล้วที่อินเดียนิยมใช้ดอกมะลิในงานพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงการนำมาใช้ทำพวงมาลัย หรือเครื่องสวมหัวในโอกาสสำคัญต่างๆ แต่ที่เป็นการสร้างมูลค่าในกับดอกไม้ชนิดนี้คือการนำไปไปสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบหลักในน้ำหอม โดยน้ำมันหอมระเหยดอกมะลิเพียงแค่ 1 กิโลกรัม มีมูลค่าถึง 5,000  ดอลลาร์สหรัฐ
9
สาเหตุที่ทำให้น้ำมันหอมระเหยจากมะลิเป็น 1 ในน้ำมันสกัดที่แพงที่สุดในโลก เพราะต้องใช้ดอกมะลิถึง 7,500,000 ดอก เพื่อนำไปสกัดเป็นน้ำมันให้ได้ 1 กิโลกรัม และยังไม่รวมถึงขั้นตอนการเก็บที่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญ รวมทั้งความยากในการกะช่วงเวลาในการสกัดน้ำมันเพื่อให้ได้กลิ่นที่หอมที่สุด
8
อินเดียปลูกมะลิหลากหลายกว่า 80 สายพันธุ์ แต่มีอยู่ 2 สายพันธุ์ที่ขายได้ราคาดี คือพันธุ์ Jasmine Grandiflorum และ Sambac โดยปลูกได้งอกงามที่เมืองมทุไร (Madurai)
8
ทั้งนี้ การจะออกไปเก็บดอกมะลินั้นต้องไปแต่เช้ามืด โดยต้องเด็ดด้วยมือเท่านั้นเพื่อให้ได้คุณภาพดีที่สุด และต้องทำอย่างเบามือ เพื่อให้ดอกมะลิไม่ช้ำหรือเหี่ยว นอกจากนี้ ยังต้องเก็บเฉพาะดอกที่ตูมอยู่เท่านั้น หากเป็นดอกที่บานแล้วจะใช้ไม่ได้ เพราะกลิ่นหอมจะอยู่ไม่นาน ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเพื่อดูว่าดอกไหนที่พร้อมเก็บได้แล้ว หรือควรต้องรอให้พร้อมอีก 2-3 วัน โดยงานดังกล่าวนี้ ถือเป็นงานที่แสนเหน็ดเหนื่อย เพราะการจะเก็บดอกมะลิให้ได้ 1 กิโลกรัมนั้น จำเป็นต้องเก็บกว่า 5,000 ดอก
10
นอกจากนี้ ระหว่างเก็บดอกมะลิ คนเก็บจะใส่ดอกตูมที่เด็ดแล้วไว้ในส่าหรีเพื่อไม่ให้ช้ำ และคงกลิ่นไว้ได้นาน เนื่องจากส่าหรีจะช่วยควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม ต่างจากการใส่ไว้ในกระสอบ ซึ่งจะโดนความร้อน ทำให้ตัวดอกเหี่ยวก่อนจะนำไปขายที่ตลาด
8
หลังจากดอกมะลิตูมถูกนำไปขายที่ตลาดท้องถิ่นแล้ว จะมีตัวกลางนำไปขายต่อให้บริษัทผลิตน้ำมันหอมระเหย โดยก่อนซื้อจะต้องประเมินว่าขนาดของดอกสมกับราคาหรือไม่ โดยบางดอกมีขนาดเล็กไป กลิ่นหอมก็จะน้อยตามไปด้วย ทำให้ไม่เหมาะกับการนำไปสกัดเป็นน้ำมัน จากนั้น เมื่อนำมาส่งที่โรงงานผลิต คนงานจะใช้คราดกระจายดอกมะลิไปบนพื้นให้ทั่วๆ โดยการกระทำดังกล่าวนี้จะช่วยคงความสดของดอกไม้เอาไว้ หากปล่อยไว้ให้รวมอยู่เป็นกอง จะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งทำให้ดอกไม้เหี่ยวได้
9
เมื่อดอกที่ตูมอยู่เริ่มบานแล้ว จะเริ่มส่งกลิ่นหอมออกมา ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพื่อเริ่มกระบวนการสกัด แต่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพราะหลังจากนั้นกลิ่นหอมของมันจะเริ่มเปลี่ยนไป ซึ่งดอกมะลิพวกนี้จะถูกนำไปใส่ในเครื่องสกัดขนาด 5,000 ลิตร โดยจะถูกแช่ในสารทำละลาย จนกระทั่งสารนี้ดูดซับกลิ่นจากดอกไม้ไว้หมดแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการกำจัดของเหลว ให้เหลือแค่สารที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง จากนั้นเติมแอลกอฮอลล์ลงไป และกรองเอาแต่ตัวน้ำมันออกมา จะได้เป็นน้ำมันสกัดเข้มข้น
9
ปัจจุบัน อินเดียส่งน้ำมันหอมระเหยชนิดนี้ไปยังปารีส โดยจะถูกใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในน้ำหอมแบรนด์ดังมากมาย ทั้ง Guerlain, Dior's J'Adore และ Chanel No. 5. ซึ่งให้กลิ่นหวานคล้ายผลไม้และดอกไม้ เข้ากันได้ดีมากกับกลิ่นอื่นๆ
10
ที่มา
โฆษณา