12 ส.ค. 2022 เวลา 10:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ
“Evergrande” จุดเริ่มต้นการกวางล้างครั้งใหม่ในจีน
ระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกลุ่มบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีนอย่าง Evergrande Group ที่ประสบปัญหาทางการเงินถึงขั้นล้มละลายนั้นยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นไปตามแผน ซึ่งเดิมทีนั้นบริษัท Evergrande จะต้องส่งมอบแผนปรับปรุงโครงสร้างเบื้องต้นภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ซึ่งรัฐบาลจีนก็ได้เข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว
โดยรัฐบาลปักกิ่งได้สั่งการให้ผู้บริหารระดับสูงของ Evergrande ได้แก่ CEO และ CFO ลาออก จากนั้นก็ดำเนินคดีกับทั้งสองในฐานความผิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายทุจริตของบริษัท
ชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับ 2 ผู้บริหาร Evergrande นั้น ยังเกิดขึ้นกับบรรดาผู้บริหารของบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งเล็กและใหญ่ในประเทศจีนอีกหลายต่อหลายแห่ง และยังมีหลักฐานว่าการปราบปรามตามที่รัฐบาลจีนกล่าวอ้างได้แพร่ขยายไปยังกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีแล้ว สัญญาณเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจีนกำลังดำเนินการกวาดล้างจัดระเบียบภาคธุรกิจครั้งใหม่ทั่วประเทศแล้ว ซึ่งก็เป็นเวลาที่เหมาะเจาะกับการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนพฤศจิกายน และการกลับมาเจรจาระหว่างรัฐบาลจีนกับสหรัฐฯ
การเข้าไปกวาดล้าง จัดระเบียบภาคธุรกิจในจีนรอบนี้ ส่งผลประโยชน์โดยตรงกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และการควบคุมภาคธุรกิจของจีนเพื่อการเจรจากับรัฐบาลชาติตะวันตก
การที่รัฐบาลจีนเข้าไปแทรกแซงบริษัท Evergrande ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่าจะมีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างไร เพราะกลุ่ม Evergrande นั้นล้มละลายไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 พร้อมกับหนี้สินจำนวนมหาศาลกว่า 3 แสนล้านเหรียญฯ หรือราว 10 ล้านล้านบาท แต่การปรับโครงสร้างหนี้นั้นยังไม่มีความคืบหน้าใดใด ซึ่งด้วยขนาดของกลุ่ม Evergrande สามารถส่งผลโดยตรงกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนประมาณ 0.4% ต่อปี
และนั่นเป็นเพียงแค่ด้านเศรษฐกิจ ยังมีเรื่องของการเมืองอีกด้วย เพราะผู้บริหาร Evergrande ระดับสูง 2 คนที่ถูกจับกุมนั้นถูกมองว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับธนาคารขนาดใหญ่ในเซี่ยงไฮ้และบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับประธานาธิบดีสี แต่พวกเขาก็ไม่ใช่นักการเมือง พูดกันตามตรงพวกเขาเป็นเพียงแค่นักธุรกิจที่มีการทำธุรกิจกับต่างชาติ และมีรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างจากนโยบายของประธานาธิบดีสีเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของผู้นำจีนภายใต้ข้อหาคอรัปชั่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตั้งแต่ปี 2012-2017 ประธานาธิบดีสี ก็ได้จัดการกับบรรดาบุคคลที่เขามองว่าเป็นภัยคุกคามต่อตัวเขาเองไปแล้วกว่า 150 คนด้วยข้อหานี้ ซึ่งบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายในอดีตนั้นส่วนใหญ่จะเป็นนักการเมือง ซึ่งก็อยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์เป็นหลัก ไม่ว่าจะตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่ถูกละเว้น แม้แต่คนสนิทของอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา หรือนายทหารระดับสูงก็โดนมาแล้ว ปัจจุบันการดำเนินการดังกล่าวก็เข้ามายังภาคธุรกิจมากขึ้น
โดยเป้าหมายสำคัญก็เพื่อควบคุมบริษัทต่างๆ ที่เติบโตอย่างมากภายในจีนให้อยู่ในกรอบที่รัฐบาลวางเอาไว้ นอกจากนี้ยังพุ่งเป้าไปที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี และสถาบันการเงิน เนื่องจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจนี้มีความเหมือนกัน 2 ประการ ได้แก่ มีความเกี่ยวข้องกับเงินลงทุนจากตะวันตกจำนวนมหาศาล และมีส่วนเกี่ยวพันกับหนี้สินมูลค่ามหาศาล
เฉพาะแค่กลุ่ม Evergrande อย่างเดียวก็มีส่วนเกี่ยวพันกับมูลหนี้จำนวนมากกว่า 20,000 ล้านเหรียญฯ จากพันธบัตรและหุ้นกู้ต่างประเทศ การเข้ามาจัดการเรื่องหนี้ในระบบธุรกิจ และความเชื่อมั่นในระบบการเงินจึงเป็นปัญหาสำคัญของจีน
อย่างไรก็ตามโมเดลเศรษฐกิจของจีนนั้นก็ยังต้องพึ่งพาการส่งออกอย่างมากมายมหาศาล การสร้างความร่วมมือและข้อตกลงกับสหรัฐฯ และนานาประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญ แน่นอนว่าประธานาธิบดีสีนั้นมีความชัดเจนแล้วว่าต้องการปรับโครงสร้างและจัดระเบียบไปในทิศทางใด
แต่ทุกการตัดสินใจย่อมมีความเสี่ยง การกวาดล้างและจัดระเบียบครั้งใหม่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ยังไม่มีใครรู้ว่าจะส่งผลกระทบไปถึงไหน และยาวนานจนถึงเมื่อไร อีกเรื่องที่น่าจับตามองก็คือการแต่งตั้งคณะกรรมการรุ่นใหม่เข้าไปในพรรคคอมมิวนิสต์ในการประชุมพรรคฯครั้งหน้า ที่อาจเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในการเมืองจีน
โฆษณา