16 ส.ค. 2022 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา TCL แบรนด์ทีวีจีน ที่ขายดีกว่า SONY
1
หากพูดถึงแบรนด์ผู้ผลิตทีวี หลายคนก็น่าจะนึกถึง Samsung และ LG จากเกาหลีใต้
หรือ SONY จากประเทศญี่ปุ่น
1
ในปีที่ผ่านมา Samsung มีส่วนแบ่งการตลาดทีวีทั่วโลก มากถึง 19.8%
ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง LG ที่ 12.8%
พูดง่าย ๆ ก็คือ เกือบ 1 ใน 3 ของยอดขายทีวีทั่วโลก มาจากประเทศเกาหลีใต้
แต่ที่น่าสนใจก็คือ แบรนด์ทีวีขายดีอันดับ 3 ของโลก กลับเป็นแบรนด์จากประเทศจีน
ชื่อว่า TCL ที่มีส่วนแบ่งการตลาด มากถึง 11.5%
มากกว่าแบรนด์ญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง SONY เสียอีก
1
เรามาดูกันว่า TCL ทำอย่างไร
จึงสามารถขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ทีวี ที่ขายดีที่สุดในโลก ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
จุดเริ่มต้นของบริษัท TCL เกิดขึ้นในปี 1981 หรือราว 41 ปีก่อน ที่เมืองฮุ่ยโจว ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
โดยเริ่มดำเนินธุรกิจผลิตเทปแคสเซ็ต ต่อมาได้หันมาผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและทีวีขายภายในประเทศ
TCL กลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว ในฐานะแบรนด์คุณภาพดี ราคาถูก
ทางบริษัทจึงได้เริ่มนำจุดแข็งตรงนี้ ไปขยายกิจการในตลาดต่างประเทศ ในปี 2000
อย่างไรก็ตาม บริษัทจากประเทศจีนที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน จะแข่งขันในตลาดโลก
ที่มีแบรนด์เจ้าตลาด อย่าง Samsung, LG และ SONY อยู่ คงไม่ใช่เรื่องง่าย
1
TCL จึงเลือกใช้กลยุทธ์ ก่อตั้งบริษัทร่วมทุนกับแบรนด์ในต่างประเทศ
หลัก ๆ ก็คือ เลือกจากแบรนด์ที่คนท้องถิ่นคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
1
ในช่วงที่รุกตลาดประเทศฝรั่งเศส
TCL เลือกที่จะเข้าไปร่วมทุนกับ Thomson SA เป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี แต่ประสบปัญหาขาดทุนอยู่
3
การร่วมทุนครั้งนี้ ทำให้ TCL ไม่ต้องทำการตลาด เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ หรือหาช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยตัวเองเลย แถมได้สิทธิ์ในการผลิตทีวี โดยใช้ชื่อแบรนด์ Thomson ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปของชาวยุโรปอยู่แล้ว
3
พอไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการบุกตลาดใหม่สูง
บริษัทจึงสามารถกระหน่ำทำแคมเปญ และจัดโปรโมชันได้อย่างเต็มที่
โดยในขณะนั้น ก็คือการขายทีวีพร้อมกับเครื่องเล่น DVD ในราคาถูกกว่าราคาตลาด
ตั้งแต่นั้นมา TCL จึงเริ่มกลายมาเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันในกลุ่มชาวยุโรป ในวงกว้าง
2
หลังจากประสบความสำเร็จในยุโรปแล้ว
TCL ก็ได้ตัดสินใจบุกตลาดอเมริกาเหนือ ในปี 2014
โดยบริษัทก็ได้เลือกร่วมทุนกับ Roku เจ้าของธุรกิจกล่องทีวีดิจิทัล ในสหรัฐอเมริกา
4
สำหรับความร่วมมือในสหรัฐอเมริกานั้น แตกต่างจากเมื่อครั้งที่บุกตลาดยุโรป
คราวนี้ TCL มองว่า “Pain Point” ของผู้ใช้งานทีวี คือซื้อมาแล้ว
ต้องมานั่งเลือกว่า จะไปเลือกใช้เคเบิลเจ้าไหนดี
2
ทั้ง TCL และ Roku จึงร่วมกันพัฒนาทีวีดิจิทัลแบบ 2 in 1 หรือก็คือเป็นสมาร์ตทีวีที่ยัดบริการสตรีมมิง และหนังเอาไว้ในเครื่องเดียวเลย ชื่อว่า Roku TV มีแอปพลิเคชัน อย่าง YouTube, Netflix ในตัว รวมไปถึงอีกกว่า 5,000 รายการ และภาพยนตร์ถึง 500,000 เรื่อง
6
บวกกับจุดขายเรือธงของบริษัท ที่ขายผลิตภัณฑ์ในราคาถูกเป็นทุนเดิม
Roku TV จึงกลายมาเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว โดยหากเรามาดูส่วนแบ่งการตลาดทีวี ในปีที่ผ่านมา
Samsung 19.8%
LG 12.8%
TCL 11.5%
Hisense 8.7%
Xiaomi 6.1%
2
จะเห็นได้ว่า TCL กลายมาเป็นแบรนด์ทีวีขายดี อันดับ 3 ของโลกแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ หากย้อนกลับไปดูส่วนแบ่งการตลาดทีวี ในปี 2008
3
Samsung 19.7%
SONY 13.7%
LG 10.0%
Sharp 9.0%
Toshiba 6.4%
2
จะเห็นได้ว่าแบรนด์ทีวีจากประเทศจีนอย่าง TCL สามารถขึ้นมาเบียดเจ้าตลาดเดิม
อย่าง SONY, Sharp, Toshiba และขึ้นมาแทนที่ได้สำเร็จ ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ในปี 2021 TCL มีรายได้ 8.8 แสนล้านบาท
กำไร 5.3 หมื่นล้านบาท
โดย TCL ก็ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศจีน
ปัจจุบัน มีมูลค่าบริษัทราว 3.3 แสนล้านบาท
3
เรื่องราวของ TCL ถือเป็นกรณีศึกษา การขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ได้ดี
ในบางครั้ง การเลือกหาพันธมิตรท้องถิ่น และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมา
ก็ถือเป็นทางลัด ทำให้เราไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
3
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรที่เราเลือก ก็ต้องสามารถสร้าง Synergy ระหว่างกันได้ด้วย
อย่างในกรณีของ TCL ที่เลือก Thomson ในฝรั่งเศส เพราะมีแบรนด์ และช่องทางการจัดจำหน่าย
หรือที่เลือก Roku ในสหรัฐอเมริกา ที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกันได้
2
บวกกับจุดขายเรือธงตั้งแต่ยุคบุกเบิกก็คือ คุณภาพดี ราคาถูก
ทั้งหมดนี้ ก็ได้ทำให้แบรนด์จีนนอกสายตาอย่าง TCL กลายมาเป็นแบรนด์ทีวีขายดีอันดับ 3 ของโลก เลยทีเดียว..
3
หนังสือ BRANDING THE NATION หนังสือที่เล่าถึงการสร้างแบรนด์ของแต่ละประเทศที่ทำให้ แต่ละประเทศเป็นแบบทุกวันนี้
เช่น ทำไมเยอรมนีเป็นประเทศแห่งรถยนต์ ทำไมฝรั่งเศสเป็นประเทศแห่งแบรนด์หรู สั่งซื้อเลยที่
1
โฆษณา