18 ส.ค. 2022 เวลา 08:39 • หนังสือ
📖13 เทคนิคการเขียนนิยายของ #สตีเวนคิง
.
📍1 #ใช้ความล้มเหลวเป็นเชื้อเพลิง
.
“เมื่อตอนที่ผมอายุสิบสี่ (และต้องโกนหนวดสัปดาห์ละสองครั้งไม่ว่าจะจำเป็นหรือไม่ก็ตาม) ตะปูที่ผนังของผมไม่สามารถรองรับน้ำหนักของใบปฏิเสธต้นฉบับอีกต่อไป ผมเปลี่ยนตะปูเป็นเดือยเเทนและเขียนต่อไป” -สตีเวน คิง
.
คิงตอกตะปูบนกำแพงเพื่อแขวนใบปฏิเสธจากผู้จัดพิมพ์ ใบปฏิเสธแต่ละครั้งเป็นเครื่องเตือนใจว่าเขาเข้าใกล้ความก้าวหน้ามากขึ้น
.
เราทุกคนล้วนประสบความล้มเหลว ความล้มเหลวแต่ละครั้งเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่แยกถนนออกเป็นสองเส้นทาง ล้มเลิก...หรือพยายามต่อไป
.
คนส่วนใหญ่จะไม่ก้าวข้ามความล้มเหลวครั้งแรกอย่างไรก็ตาม เราควรขอบคุณสำหรับความล้มเหลว เพราะมันช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เรา ผู้แข็งแกร่งจะอยู่รอดโดยธรรมชาติ เพราะพวกเขาเลือกความพากเพียรและก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้
3
📍 2 #ลบทุกอย่างที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรื่องราว
.
“เมื่อคุณเขียนเรื่องราว คุณกำลังเล่าเรื่องให้ตัวเองฟัง เมื่อคุณเรียบเรียงใหม่เพื่อเขียน งานหลักของคุณคือการเอาทุกสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องราวออกไป” - คำแนะนำของ จอห์น กูลด์ (นักปักษาชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19)
.
ผมเป็น "โรค shiny thing syndrome" (โรคที่ทำให้เราเลิกทำสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วไปทำสิ่งใหม่ ที่น่าสนใจมากกว่า) เมื่อผมเขียน ผมเริ่มเขียนด้วยหัวข้อเดียวที่จากนั้นปรับเปลี่ยนเป็นแนวคิดอื่นๆ แล้วฉันก็โน้มน้าวตัวเองว่าหัวข้ออื่นๆ เหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกันมากพอที่จะใส่เข้าไปในเรื่องราวได้ ดังนั้นผมจึงยัดเยียดหัวข้อเหล่านั้นในที่ที่ไม่เข้าพวกไปด้วย
.
นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาในโลกของการเขียนเท่านั้น มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งในธุรกิจด้วย ผู้จัดการผลิตภัณฑ์มีคำว่า “ฟีเจอร์คืบ" (การขยายตัวมากเกินไป) สำหรับปัญหานี้
.
คุณกำลังตั้งคุณสมบัติซอฟต์แวร์ใหม่ที่จำเป็นต้องมี แต่คุณเพิ่มคุณสมบัติขึ้นเรื่อย ๆ จนผลลัพธ์ที่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์แบบแฟรงเกนสไตน์ที่มีคุณลักษณะแบบมั่ว ๆ
.
เราสามารถหลีกเลี่ยง "ฟีเจอร์คืบ" ในการเขียนของเราได้โดยกำจัดทุกสิ่งที่ไม่ได้ขับเคลื่อนการดำเนินเรื่องไปในทางที่มีความหมายสำคัญเท่านั้น
📍 3 #เขียนโดยปิดประตูเรียบเรียงใหม่โดยเปิดประตู
.
“เรื่องของคุณเริ่มต้นด้วยการเป็นเรื่องราวสำหรับคุณเท่านั้น แต่แล้วมันก็เผยแพร่ออกไป ดังนั้นเมื่อคุณรู้แล้วว่าเรื่องราวคืออะไรและเขียนมันอย่างถูกวิธี — อย่างถูกต้องที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ — มันก็จะกลายเป็นของใครก็ตามที่ต้องการอ่านมัน” -สตีเวน คิง
.
ผมมักจะถูกล่อลวงให้เปิดเผยเรื่องราวที่ยังไม่เสร็จของผมให้เพื่อนดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมตื่นเต้นกับบางสิ่งบางอย่าง มันยากมากที่จะไม่แบ่งปันกับคนทั้งโลก แต่แล้วผมก็จำคำแนะนำอันชาญฉลาดของคิงได้ "เขียนโดยที่ประตูปิดอยู่"
.
สำหรับผม คำพูดนั้นหมายความว่าฉันต้องทำงานหนักเพื่อผลิตอะไรบางอย่างก่อนที่จะพูดเพ้อเจ้อกับคนอื่น
.
หลังจากนี้ผมจะพูดคุยกับคนอื่นเมื่อเขียนร่างฉบับเเรกเสร็จเเล้วเท่านั้น
- ไรอัน ฮอลิเดย์ (Ryan Holiday) นักเขียนดังชาวอเมริกา
📌4 #อย่าตกแต่งคำศัพท์ของคุณ
.
“สิ่งหนึ่งที่แย่ที่สุดที่คุณสามารถทำกับงานเขียนของคุณคือการตกแต่งคำศัพท์ มองหาคำยาวๆ เพราะคุณอาจจะละอายใจเล็กน้อยที่จะใช้คำสั้นๆ มันเหมือนกับการแต่งตัวสัตว์เลี้ยงในบ้านด้วยชุดราตรี สัตว์เลี้ยงจะอับอาย แต่คนที่พยายามสร้างความน่ารักนี้ควรจะอับอายมากกว่า” -สตีเวน คิง
.
บางครั้งสิ่งแรกที่ผมเขียนออกมาก็ดูน่าเบื่อและไม่สัมพันธ์กัน ผมพยายามมากเกินไปและบังคับสิ่งที่ฉันพยายามจะพูดแทนที่จะเขียนอย่างเป็นธรรมชาติ
.
เมื่อผมพบว่าตัวเองใช้ข้อความที่ฟังดูเป็นมืออาชีพ ผมหยุดและคิดถึงคำพูดที่ฉันใช้อธิบายในชีวิต
วลีที่ตลกขบขันอย่าง “ความปรารถนาอันชั่วร้ายของผมที่ต้องการจะพูดจาดูแก่เรียน” จะถูกแปลงเป็น “ผมอยากฟังดูฉลาด”
.
คนที่ฉลาดที่สุดหลายคนที่ฉันรู้จักมักไม่ค่อยพูดคำใหญ่โต พวกเขาใช้คำสั้น ๆ อย่างทรงพลังแทน เราก็ควรทำเช่นเดียวกัน
📍5 #หลีกเลี่ยงคำวิเศษณ์
.
“ผมเชื่อว่าถนนสู่หายนะปูด้วยคำวิเศษณ์ และผมจะตะโกนมันจากหลังคาบ้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกมันเหมือนดอกแดนดิไลออน หากคุณมีอยู่บนสนามหญ้าก็ดูสวยและไม่เหมือนใคร ทว่าหากคุณไม่ถอนรากออก คุณจะพบว่าห้าวันถัดไป…ห้าสิบวันหลังจากนั้น… สนามหญ้าของคุณก็เต็มไปด้วยดอกแดนดิไลออนโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อถึงตอนนั้นคุณก็จะเห็นพวกมันเป็นแค่วัชพืชที่น่ารำคาญเท่านั้น " -สตีเวน คิง
.
การพูดจาโผงผางที่ตลกขบขันของ คิง ต่อคำวิเศษณ์ช่วยให้ตระหนักว่าเราไม่เพียงแค่ใช้คำวิเศษณ์บ่อยเกินไป แต่เรามักใช้คำเหล่านี้ในลักษณะที่เบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งที่เราพยายามจะพูด
.
ตัวอย่างเช่น อะไรฟังดูโน้มน้าวใจมากกว่า: “ฉันเชื่อคุณ” หรือ “ฉันเชื่อคุณโดยสิ้นเชิง” ?
.
คนที่อ่านวลี "ฉันเชื่อคุณโดยสิ้นเชิง" อาจสงสัยว่าเรากำลังประชดประชันหรือไม่ หรือพวกเขาอาจสงสัยว่าเหตุใดเราจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกเป็นนัยว่าความเชื่อมาตรฐานไม่เพียงพอ
.
คำวิเศษณ์ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป แต่เราควรใช้เฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องเพิ่มความชัดเจนเท่านั้น
📍6 #ย่อหน้าเป็นแผนที่แสดงเจตจำนง
.
“คุณสามารถบอกได้โดยไม่ต้องอ่านด้วยซ้ำว่าหนังสือที่คุณเลือกนั้นง่ายหรือยากใช่ไหม? หนังสือง่าย ๆ ประกอบด้วยย่อหน้าสั้น ๆ มากมาย รวมถึงย่อหน้าบทสนทนาที่อาจมีความยาวเพียงหนึ่งหรือสองคำเท่านั้น และพื้นที่สีขาวจำนวนมาก… ย่อหน้านั้นมีความสำคัญต่อรูปลักษณ์และสิ่งที่พวกเขาพูด เป็นเหมือนแผนที่แสดงเจตจำนง” -สตีเวน คิง
.
หลักการนี้เป็นจริงอย่างยิ่งกับการเขียนออนไลน์ เช่น การเขียนในเว็บไซต์ ย่อหน้าสั้น ๆ หัวข้อย่อย ชื่อบทความขนาดใหญ่ และคำพูดแบบบล็อกบอกเหล่าผู้อ่านที่ชอบอ่านคร่าวๆ ว่า งานของเราคุ้มค่าที่จะอ่านอย่างละเอียด
.
ย่อหน้าสั้น ๆ เป็นเหมือนป้ายบอกว่า “เข้ามาเลย ตรงนี้ดีนะ!”
📍7 #การเขียนตามความจริงมักทำให้คนไม่พอใจ
.
“ถ้าคุณตั้งใจจะเขียนอย่างตรงไปตรงมาที่สุด เวลาของคุณในฐานะนักเขียนที่ดีจะลดลง” -สตีเวน คิง
การเขียนที่ดีที่สุดคือมาจากเรื่องจริงและเรื่องส่วนตัว ผู้อ่านต้องการเรื่องราวจากคนจริง ๆ
.
เรื่องจริงในที่นี้หมายความว่า เราจะเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตจริง และ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นซึ่งอาจมีความสุข เศร้า ผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง
.
ยกตัวอย่างเช่น ผมได้เขียนเกี่ยวกับคนที่ผมเคยไล่ออก คนที่ผมเคยปฏิเสธงาน และคนที่ผมเคยควบคุม และนั่นเป็นเพียงเรื่องราวเกี่ยวกับงานของผม
.
ซึ่งเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นไม่มีความสุขที่ได้อยู่ในเรื่องราวเหล่านี้ แม้ว่าฉันจะเปลี่ยนชื่อคนในเรื่องแล้วก็ตาม
.
การพูดความจริงเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่ยาก และอย่าคาดหวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับสิ่งที่คุณเขียน
📍8 #หลักตลอดกาลของการอ่านและการเขียน
“ถ้าคุณต้องการเป็นนักเขียน คุณต้องทำสองสิ่ง: อ่านและเขียนให้มาก ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสองสิ่งนี้ ไม่มีทางลัด” -สตีเวน คิง
.
รู้สึกอ่อนแอเล็กน้อยในการเขียน? เพิ่มพลังด้วยการอ่านงานของ เฮมมิ่งเวย์ , ดิกคินส์,แกลดเวล, แอตวูด งานของพวกเขาจะช่วยให้คุณเขียนเป็นรูปเป็นร่าง
.
การอ่านงานเขียนที่ดีจะช่วยให้คุณฝึกการเขียนได้ สตีเวน คิง กล่าวว่าคุณสามารถเรียนรู้จากงานเขียนที่ไม่ดีได้เช่นกัน: “หนังสือทุกเล่มที่คุณหยิบขึ้นมามีบทเรียน และบ่อยครั้งที่หนังสือที่ไม่ดีมักจะสอนมากกว่าหนังสือที่ดี”
.
อยากเขียนต้องอ่าน!
📍9 #เรื่องราวที่ดีถูกค้นพบไม่ได้สร้างขึ้น
“เรื่องราวคือวัตถุโบราณ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีอยู่ก่อนแล้วแต่ยังไม่ถูกค้นพบ งานของนักเขียนคือการใช้เครื่องมือในกล่องเครื่องมือของเขาหรือเธอเพื่อเอาเรื่องราวออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” -สตีเวน คิง
.
คิงอธิบายว่าเขา "เฝ้ามอง" ตัวละครของเขาและจดสิ่งที่พวกเขาทำ คิงบอกว่าเขามักจะแปลกใจกับทางเลือกของตัวละคร
.
เพราะเขาเป็นแค่คนที่บรรยายเรื่องราวเท่านั้น กระบวนการของคิงทำให้นึกถึงไมเคิล แองเจโลที่กล่าวว่ารูปปั้นของเขาอยู่ในหินแล้ว เป็นหน้าที่ของเขาที่จะแกะออกเพื่อเปิดเผยรูปปั้น
.
“หินทุกก้อนมีรูปปั้นอยู่ข้างใน และเป็นหน้าที่ของประติมากรที่จะค้นพบมัน” -ไมเคิล แองเจโล
กระบวนการของไมเคิล แองเจโลในการ "ทำให้ประติมากรรมเป็นอิสระ" จากหินแต่ละก้อน จะเห็นได้ชัดที่สุดจากรูปปั้น "นักโทษ" (Prisoners or Slaves) ของเขา
.
ในฐานะนักเขียนนวนิยาย งานของเราคือการค้นหาเรื่องราวที่เราต้องการจะบอกเล่า สำหรับนักเขียนนิยาย กระบวนการนั้นเกี่ยวข้องกับการเข้าไปอยู่ในจิตใจของตัวละครของเราเพื่อให้พวกเขาบอกเล่าเรื่องราว สำหรับนักเขียนที่ไม่ได้เขียนเรื่องแต่ง มันหมายถึงการค้นหาเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในทุกเหตุการณ์ชีวิต ทุกการต่อสู้ และทุกความสำเร็จที่เราประสบ
📍10 #หลังจากร่างแรกจงตกผลึกประเด็นของเรื่องราวของคุณ
.
“เมื่อคุณเขียนหนังสือ คุณใช้เวลาทุกวันในการตรวจสอบและศึกษาเพิ่มราวกับมันคือต้นไม้ และเมื่อเสร็จแล้ว คุณต้องย้อนกลับไปดูป่าทั้งผืนอีกที… ผมคิดว่าหนังสือทุกเล่ม ที่ควรค่าแก่การอ่าน ล้วนเกี่ยวกับบางสิ่ง งานของคุณในระหว่างเขียนหรือหลังจากร่างฉบับแรก คือการตัดสินใจว่าหัวใจของมันเกี่ยวกับอะไร งานของ
คุณในร่างฉบับที่สองคือทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขครั้งใหญ่ เพื่อเรื่องราวที่เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น หลักการนี้แทบไม่เคยเสียเปล่า” -สตีเวน คิง
.
คิงไม่เชื่อในพล็อตเรื่องที่ตายตัว ดังนั้นเรื่องราวของเขาจึงพาเขาไปยังที่ที่คาดไม่ถึง หลังจากที่ร่างฉบับแรกเสร็จแล้ว เขามองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาสร้างขึ้นเพื่อแยกแยะประเด็นที่เขาพยายามจะสื่อ
.
สิ่งนี้แตกต่างไปจากที่พวกเราส่วนใหญ่คิดเกี่ยวกับการเขียน เราคิดว่าเราจำเป็นต้องวางแผนให้ชัดเจนว่าเรื่องของเราจะไปที่ไหน เราตกเป็นเหยื่อของคำแนะนำว่า "ต้องคิดตอนจบก่อนเท่านั้น"
.
คิงสนับสนุนให้เราทำลายความเชื่อนั้นและดูว่าฝีมือจะพาเราไปที่ไหน ท้ายที่สุด บางทีวิธีเดียวที่จะค้นพบสิ่งที่เราต้องการจะเล่าก็คือ...การเริ่มเล่ามัน
📍11 #ร่างที่2=ร่างที่ 1 — 10%
.
“คุณต้องแก้ไขเรื่องยาว สูตร: ร่างที่ 2 = ร่างที่ 1 — 10%” บรรณาธิการ เขียนถึง สตีเวนคิง
การแก้ไขเป็นกระบวนการบวกด้วยการลบทุกครั้งที่ผมอ่านงานซ้ำ ผมจะพบเนื้อหาที่ไม่จำเป็น
นี่คือตัวอย่างข้อผิดพลาดของผม“ -สตีเวน คิง
.
“เพื่อที่จะ” → “เพื่อ”
“เพื่อจุดประสงค์” → “เพื่อ”
“เป็นประจำทุกวัน” → “ทุกวัน”
.
ละเว้นคำที่ไม่จำเป็น หาคำที่ใช้แทนวลียาวๆ และผู้อ่านจะขอบคุณเรา
📍12 #ระบุผู้อ่านในอุดมคติของคุณ
.
“ผมคิดว่านักประพันธ์ทุกคนมีผู้อ่านในอุดมคติเพียงคนเดียว ระหว่างการเขียน นักเขียนมักคิดว่า 'ผู้อ่านของเขาจะคิดอย่างไรเมื่ออ่านส่วนนี้'” - สตีเวน คิง
.
นักอ่านในอุดมคติของคิง (ซึ่งเขาเรียกว่า “ผู้อ่านคนแรก”) คือ ทาบิธา คิง (Tabitha King) ภรรยาของเขา คิงเขียนกับเธอในความคิดและขอความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือตั้งแต่เนิ่นๆ
.
จินตนาการผู้อ่านในอุดมคติทำให้งานเขียนของเราเข้าถึงง่ายขึ้น ผมใช้กลยุทธ์นี้กับเรื่องราวในอดีตจนได้ผลดี
.
โดยทั่วไป หากเรื่องราวนั้นโดนใจผู้อ่านในอุดมคติของคุณ เรื่องราวนั้นจะโดนใจผู้คนอีกหลายร้อยคนเช่นกัน
📍 13 #พยายามเขียนทุกวัน
.
“ผมชอบเขียนวันละ 10 หน้า คิดเป็น 2,000 คำ นั่นคือ 180,000 คำในช่วงสามเดือน ซึ่งเป็นความยาวที่ดีสำหรับหนังสือ” -สตีเวน คิง
.
นักเขียนที่แข็งแกร่งทุกคนมีเทคนิคการเขียนที่ชัดเจน เทคนิคของคิงคือการเขียนในตอนเช้า เขาใช้เวลาช่วงบ่ายไปงีบและเขียนจดหมาย จากนั้นอ่านหนังสือและออกไปเที่ยวกับครอบครัวในตอนเย็น
.
“ผมเขียนตอนกลางคืนหลังจากที่ภรรยาและทั้งเมืองหลับใหล เมื่อนั้นผมถึงจะมีสมาธิกับงานได้เต็มที่
สิ่งที่สำคัญคือการใช้เวลาในการเขียน คิงแนะนำว่านักเขียนใหม่ควรพยายามเขียนให้ได้ 1,000 คำต่อวัน จากนั้นค่อยพัฒนาต่อ”
.
หากคุณยังไม่ได้อ่าน On Writing (แปลไทยโดย สำนักพิมพ์ แมร์รี่โกราวด์) เราขอแนะนำให้คุณอ่าน มันคุ้มค่ากับเวลา และก่อนหน้าที่จะอ่านนั้น ผมหวังว่าคุณจะชอบบทสรุปที่เข้าใจง่ายนี้
.
ขอให้มีทุกคนความสุขกับการเขียน!
.
.
#เเพรวสำนักพิมพ์
โฆษณา