19 ส.ค. 2022 เวลา 06:00 • สุขภาพ
7 ข้อสรุป "โควิดรีบาวด์" 🦠 การเป็นกลับซ้ำ ไม่ใช่ ติดเชื้อซ้ำ เกิดขึ้นได้ทั้งในคนที่ติดเชื้อแล้ว #กินยาต้านไวรัส หรือไม่ได้กินยาต้านไวรัส
🔻1. ความหมายของ #Rebound
Rebound ในที่นี้แปลว่า "การเป็นกลับซ้ำ หรือปะทุกลับขึ้นมา" ไม่ใช่ "ติดเชื้อซ้ำ (Reinfection)" ดังนั้นต้องไม่สับสน ระหว่าง Rebound กับ Reinfection
 
Rebound หรือการเป็นกลับซ้ำนั้น เกิดขึ้นได้ทั้งในคนที่ติดเชื้อแล้วกินยาต้านไวรัส หรือไม่ได้กินยาต้านไวรัส
 
🔻2. ลักษณะของการเป็นกลับซ้ำ
การเป็นกลับซ้ำ เกิดได้ 2 รูปแบบ จะเกิดพร้อมกันหรือเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ได้แก่
หนึ่ง ปริมาณไวรัสในร่างกายปะทุสูงขึ้นมา หลังจากที่ติดเชื้อแล้วได้ ยาต้านไวรัส จนปริมาณไวรัสลดลง หรือเวลาผ่านไปแล้วดีขึ้นจนไวรัสลดลง จนตรวจได้ผลเป็นลบ แต่กลับมีปริมาณไวรัสเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จนตรวจพบผลบวกกลับมาใหม่ เรียกว่า "Viral rebound"
สอง อาการกลับเป็นซ้ำ กล่าวคือ ติดเชื้อแล้วมีอาการป่วย ต่อมาได้รับยาจนดีขึ้นหรือหายป่วย หรือเวลาผ่านไปแล้วอาการดีขึ้นหรืออาการหมดไป แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมีอาการกำเริบขึ้นมาใหม่หรือแย่ลง เรียกว่า "Symptom rebound"
โอกาสเกิด Rebound นั้นมีประมาณ 5-10% ในคนที่ติดเชื้อแล้วได้รับยาต้านไวรัส
ในขณะที่คนที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัสนั้น งานวิจัยของทีม Harvard Medical School พบว่ามีโอกาสเกิด Viral rebound 12%, (ราว 1 ใน 8 ) และ Symptom rebound ได้มากถึง 27% (ราว 1 ใน 4)
 
🔻3. ช่วงเวลาที่พบการเป็นกลับซ้ำ
โดยเฉลี่ยแล้ว การเป็นกลับซ้ำเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 2-8 วัน หลังจากตรวจได้ผลลบ หรือหลังจากอาการทุเลาหรือหมดไป
🔻4. ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเป็นกลับซ้ำ
จากข้อมูลที่มีอยู่นั้น ไม่ว่าจะตรวจแล้วพบว่าผลบวกกลับมาซ้ำ (ขึ้น 2 ขีด) หรือมีอาการกลับซ้ำขึ้นมา ก็มักสะท้อนว่าคนคนนั้นยังมีภาวะติดเชื้ออยู่และมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
 
ดังนั้นเราจึงเห็นกรณีผู้ป่วยที่เกิด Rebound ในต่างประเทศ ที่ต้องเริ่มแยกตัวใหม่อีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
🔻5. การปฏิบัติตัวกรณีเกิดเป็นกลับซ้ำ
แม้จะยังไม่มีงงานวิจัยจำเพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ระยะเวลาที่ควรแยกตัวนั้น ควรเป็นไปดังความรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อสายพันธุ์ โอไมครอน ว่า ดีที่สุดคือ การแยกตัวจากคนอื่น 2 สัปดาห์ แต่หากจำเป็นต้องกลับไปทำงานหรือศึกษาเล่าเรียน การแยกตัวควรทำอย่างน้อย 10 วัน และต้องแน่ใจว่าไม่มีอาการป่วยและตรวจ ATK ซ้ำแล้วได้ผลลบ
แต่หากแยกตัวเพียง 5 วัน หรือ 7 วัน โอกาสที่ผู้ป่วยจะยังมีเชื้อและแพร่ต่อผู้อื่น อาจมีได้ถึง 50% และ 25% ตามลำดับ จึงไม่แนะนำให้แยกตัวช่วงเวลาสั้นเช่นนี้ เพราะจะมีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อในชุมชน
🔻6. ความรุนแรงจากการเป็นกลับซ้ำ
ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผู้ป่วยที่ Rebound มีแนวโน้มที่จะไม่รุนแรงจนต้องทำให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต
🔻7. การรักษา
หากพบว่าเกิด Rebound ให้รักษาตามอาการ ประคับประคองจนผ่านพ้นระยะเวลาแยกตัว ส่วนใหญ่จะดีขึ้นเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ ยาต้านไวรัส ซ้ำ แต่หากมีปัญหาเจ็บป่วยรุนแรง การให้ยาต้านไวรัสและอื่นๆ ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแลรักษา
เหล่านี้คือความรู้ที่พยายามสรุปมาให้อ่าน ทำความเข้าใจ จะได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ครับ สำคัญที่สุดคือ การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ
หากไม่ติดเชื้อ ก็ไม่เสี่ยงที่จะป่วยและเสียชีวิต ไม่เสี่ยงต่อการเกิดเป็นกลับซ้ำ และไม่เสี่ยงต่อ Long COVID "ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ...คือหัวใจสำคัญ"
📍ขอบคุณข้อมูลจาก FB : Thira Woratanarat รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
#โควิดรีบาวด์
#LetTheTrustedBeYourFriend
#TheTrusted
#mcot
โฆษณา