26 ส.ค. 2022 เวลา 07:57 • ไลฟ์สไตล์
#ของขวัญชิ้นสำคัญสำหรับปลายทางแห่งชีวิต
ช่วงต้นเดือน ผมรับสายเพื่อนสมัยเรียน ปวช. ช่างศิลป น่าจะไม่ได้เจอกันนานเกือบ 30 ปี แล้ว มันยังใช้เบอร์เก่าที่ผมเคยเมมไว้ พอชื่อโชว์ขึ้นมา ผมเลยกดรับทันที **เดี๋ยวนี้ยอมรับเลยครับว่า หากเจอเบอร์แปลกๆ โทรเข้า ที่ไม่เคยเมมไว้ จะไม่ค่อยรับแล้ว เพราะ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ รบกวนหนักมาก ยุคนี้หากใครไม่เคยเจอแก๊งนรกพวกนี้เลย...คงประหลาดแท้ จนต้องติดตั้งแอพ Whoscall (เวอร์ชั่นฟรี) จะได้ช่วยกรองออกได้บ้าง
มันบอกคิดถึงเพื่อน เลยค้นหาเบอร์เก่าๆ แล้วลองโทรดู...... หลังพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ถึงทราบว่ามันเลิกกับเมียนานแล้วและไม่มีลูกด้วยกัน ตอนนี้เลยหวนกลับมาเป็นหนุ่มโสดอีกครั้ง แถมพ่อแม่ก็เสียไปหมดแล้วด้วยสิ บ้านไม้ยกพื้นสูงหลังเก่า ที่ผมเคยไปเที่ยวสมัยอายุ 16 - 17 ปี ที่ จ.ราชบุรี ตอนนี้เหลือมันอาศัยอยู่คนเดียว อ้าว.ว.ว....เหรอ?
ผมถามถึงญาติพี่น้อง มันบอกว่าอยู่ห่างๆ กันคนละที่ ทุกวันนี้ประกอบอาชีพออกแบบกราฟิกงานป้ายต่างๆ ลองแวะเข้าไปดูผลงานของมันในเพจ ถือว่า...ออกแบบได้สวยทีเดียว รายได้...ก็โอเค ดูแลตัวเองได้สบายๆ อีกทั้งค่าครองชีพที่บ้านนอกยังถูกกว่าใน กทม. ประกอบกับช่วงนี้ ยังมีงานเข้ามาจนล้นมือ **มันเล่าให้ฟังอีกว่า ช่วง โควิด-19 ระบาดหนักๆ หลายระลอก ก็กระทบอยู่นะ เพราะงาน event ต่างๆ จัดไม่ได้ ทำให้ความต้องการใช้ป้ายลดลงไปเยอะตามไปด้วย
มันเล่าไลฟ์สไตล์หนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจดี คือ หลังจากตื่นเช้าจัดแจงธุระเสร็จเรียบร้อย มันจะขับ Caribian คู่ใจ (รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ แนว off road ขนาดเล็ก สมัยก่อนใครมีรุ่นนี้ถือว่า...โคตรเท่ ปัจจุบัน Suzuki เลิกผลิตไปแล้วตั้งแต่ปี 2005) เข้ามาหาที่นั่งภายในร้านกาแฟในตัวเมือง (อ่อ...ลืมเล่าไปว่า บ้านมันอยู่ในอำเภอเล็กๆ แต่ไม่ไกลจากตัวเมืองราชบุรี มากนัก) เปิด Notebook นั่งทำงานอยู่ที่ร้านจนเย็น ถึงจะกลับบ้าน
ชีวิตจะวนเวียนไปแบบนี้แทบทุกวัน ผมถึงกับอ้าปากเหวอ! เหรอวะ? แล้วทำไมมึงไม่ทำงานที่บ้าน มันบอกเหตุผลง่ายๆ คือ “เบื่อ” ถ้าได้เข้ามาในตัวเมืองได้เปิดหูเปิดตาดูโน่นดูนี่ สบายใจกว่า...ซะงั้น!
ผมถามมันว่า ตอนนี้มึงมีมองๆ ใครไว้บ้างมั้ย? มันบอกก็พอมีเข้ามาบ้าง แต่ดูเหมือนมันไม่ค่อยคิดจริงจังสักเท่าไหร่ อารมณ์ประมาณ “กูอยู่แบบนี้ กูก็สบายใจดีอยู่แล้ว”....ว่าซั่น! ......แต่ไม่ได้ถามลึกลงไปว่า...ชอบความสัมพันธ์แบบ one night stand รึเปล่า?....อิอิ
แน่นอนว่าอายุปูนนี้กันแล้ว ผมเลยวกถามเรื่องสุขภาพบ้าง มันบอกว่าเป็น “โรคไตระยะที่ 2” ทุกวันนี้กินยาประคองตัวเองอยู่ กับดูแลเรื่องอาหาร ผมก็ว่า เฮ้ย! มึงชวนเพื่อนบ้านหรือญาติๆ คุยกันเรื่อยๆ มั่งนะ เพราะกูไม่อยากได้ยินข่าว...มึงล้ม แล้วกว่าเพื่อนบ้านจะรู้ ก็ได้กลิ่นเน่าแล้ว มันก็เออๆ หัวร่อ...แซวกันขำๆ ไป
จริงๆ ผมมีเพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกัน ที่ใช้ชีวิตแบบนี้กันหลายคน คือเป็นหนุ่มใหญ่ที่เลือกจะอยู่ตัวคนเดียว และไม่ค่อย worry เรื่องจะต้องมีลูกมีเมียตามค่านิยมคนยุคเก่า แต่...คุณก็ต้องรู้จักวางแผนดูแลตัวเองให้ดีพอสมควรด้วยนะ...... ผมยังเคยคิดเล่นๆ เลยว่า อาจจะชวนเพื่อนๆ แก๊งหนุ่มโสด (สาวโสดก็มี) แต่ไม่สดพวกนี้ มาอยู่ด้วยกัน เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยดูแลกันแบบ #บ้านพักคนชรา ฮาเฮ...ของวัยรุ่นยุค ‘90s อะไรทำนองนี้ 555+
คุณทราบมั้ยครับว่า....ปีนี้ พ.ศ. 2565 ประเทศไทยได้เข้าสู่ #สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าในปี พ.ศ. 2576 (อีกเพียง 11 ปีข้างหน้า ถ้ายังอยู่ถึง ผมจะมีอายุ 61 ปี) ไทยจะเข้าสู่ #สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด คือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 28% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ในขณะที่สวัสดิการต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุในบ้านเรา ยังอยู่ระหว่างผลักดันเพื่อแก้ไขข้อกฎหมาย ให้รองรับได้ดีขึ้นมากกว่านี้ แต่...ไม่รู้ว่าจะสำเร็จลุล่วงเมื่อไหร่ ผมแนะนำว่า...อย่าไปหวังอะไรลมๆ แล้งๆ แบบนั้นจะดีกว่า ทางที่ดี...ให้เตรียมวางแผนชีวิตตัวเองเสียเนิ่นๆ ตั้งแต่วันนี้ เพื่อรองรับชีวิตในช่วงบั้นปลาย น่าจะปลอดภัยกว่า
เมื่อ 4 - 5 วันก่อน ผมนัดเจอเพื่อนอีก 3 คน คนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ (จริงๆ รู้จักกันครั้งแรกในฐานะลูกค้าครับ หลังจากนั้นเลยสนิทกัน) แต่ผมมักมีปัญหาเพราะ My poor English! นี่แหละ ทำให้คุยกันรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง 555+ ปกติเพื่อนฝรั่งท่านนี้มักจะบินมาเที่ยวเมืองไทยปีละครั้ง มาทีไร..ก็อยู่นานหลายอาทิตย์แบบ long weekend แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บินมาไทยไม่ได้ถึง 2 ปีเต็ม พอสถานการณ์ในไทยคลี่คลายถึงมาเที่ยวได้ คราวนี้หอบลูกเมียมาเที่ยวด้วยครับ
อีกคนเป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่า 10 ปีแล้ว สำคัญคือเคยผิดใจกัน เพราะเรื่องเข้าใจผิดในสมัยนู้น พอได้เจอกันวันนี้ เลยถือโอกาสขอโทษและอธิบายสาเหตุที่ทำให้เข้าใจผิด แต่...เรื่องตลกคือ รุ่นพี่ท่านนี้ลืมไปแล้วว่า “เคยทะเลาะกันเรื่องอะไร?” เพราะมันนานมากนั่นเอง (ฮา)
อีกคนเป็นเพื่อนรุ่นคุณน้าครับ speak English ดีมาก ทำให้ผมได้ล่ามชั้นดีเลย แต่...เพิ่งทราบข่าวร้ายว่า เพิ่งเสียน้องสาวไปจาก COVID-19: DELTA พอรู้ก็...งง และตกใจพอสมควร เพราะช่วงต้นปี 2021 ผมแวะไปหาที่บ้าน แล้วได้เจอกัน ยังคุยกันสนุกอยู่เลย ไม่คิดว่าพอจะไป...ก็ไปแบบปุบปับแบบนี้
จริงๆ เราเห็นข่าวคนตายผ่านสื่ออยู่ทุกวัน กลับไม่ค่อยรู้สึก แต่พอเป็นเรื่องคนใกล้ตัวเรามากๆ ทีไร กลับรู้สึกสลดขึ้นมาทันที เรื่องนี้....สอนให้รู้ว่า ใดๆ ก็ไม่แน่นอน “เพราะความแน่นอนที่สุด ก็คือ...ความไม่แน่นอนนั่นเอง” มีอะไรก็ควรรีบๆ ทำ จัดการสะสางให้เรียบร้อย ก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำ สำคัญคือไม่ควรติดค้างอะไรกับใคร หากขอโทษกันได้ ให้อภัยกันได้...ก็สมควร จริงมั้ยครับ?
พอคิดได้อย่างงี้ ผมเลยตัดสินใจส่ง sms ถึงเพื่อนอีกคน ที่รู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนที่วิทยาลัยช่างศิลป แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีปากเสียงกัน ผมทั้งลบ LINE มันทิ้ง และไม่คิดจะคุยกะมันอีก เพราะรู้สึกรำคาญที่มันปากไม่ตรงกับใจ มึงจะโลกสวยอะไรปานนั้นฟร่ะ? (ตรงนี้...ผมอาจไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของมันก็ได้นะครับ) ผมเลย #โยนกล้วย ใส่มันโครมใหญ่ แถมปศุสัตว์อีกหนึ่งโขยง (จริงๆ เห็นอย่างงี้ ผมเป็นคนพูดตรง ภาษาชาวบ้านคือ #ปากหมา) ทำให้มันโมโหหนัก หลังจากนั้นก็ไม่ติดต่อกันอีกเลย
ครั้นจะโทรหามันตรงๆ (ดีว่ายังไม่ได้ลบเบอร์ทิ้ง) มันคงไม่รับ เอาวะ! ข้อความสั้นนี่แหละ...น่าจะ work สุด ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่คิดว่า...เผื่อพรุ่งนี้ผมเกิดตายกะทันหัน จะได้ไม่รู้สึกติดค้างอะไรกับใคร ผมต้องการแค่กล่าวคำ “ขอโทษ” โดยไม่ต้องการให้มันยกโทษให้แต่อย่างใด แค่...ให้มันรับรู้ความตั้งใจจริงของผมก็พอ
22 กรกฎาคม 2562 ผมทำเรื่องอุทิศบริจาคร่างกาย ให้กับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ และยังได้บริจาคดวงตาอีกด้วย ถ้าท่านใดสนใจ สามารถกรอกข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาลแล้ว คลิกอ่านรายละเอียดและกรอกข้อมูล โดยสามารถเลือกได้ว่าสนใจจะ
  • 1.
    #บริจาคอวัยวะ (1 ผู้ให้ ช่วยได้ 8 ชีวิต)
  • 2.
    #บริจาคดวงตา
  • 3.
    #บริจาคร่างกาย (เป็นอาจารย์ใหญ่)
ผู้บริจาคร่างกายควรแจ้งญาติพี่น้อง หรือเพื่อนใกล้ชิดให้รับทราบทั่วๆ กันด้วยนะครับ เผื่อเราเสียชีวิตเมื่อใด ญาติหรือคนใกล้ชิดจะได้จัดการให้ ตามที่เราต้องการ ล่าสุดผมคุยเรื่องนี้กับแม่ (ก็ไม่รู้ว่า...ใครจะไปก่อนนิ) บอกว่า...หากผมตายตามปกติ ให้ติดต่อโรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย ได้เลย เพราะทำเรื่องบริจาคไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่หากตายไม่ปกติ เช่น ประสบอุบัติเหตุ หัวกระเด็นไปทาง แขนขาไปทางแบบนี้ คงบริจาคไม่ได้ อันนี้คือ..สุดแท้แต่ครับ.... เพราะถึงแม้เราจะตั้งใจบริจาคไว้ก็จริง แต่การตายในบางสถานการณ์ อาจทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้..ก็ได้
อีกเรื่องที่ควรทราบคือ #โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ #สภากาชาดไทย สามารถรับร่างผู้บริจาคร่างกายที่เสียชีวิตในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คือ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรสาคร เท่านั้น หรือ โรงพยาบาลที่เป็นศูนย์เครือข่ายอีก 4 แห่ง ดังนี้
  • 1.
    โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี จ.ราชบุรี
  • 2.
    โรงพยาบาลพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา
  • 3.
    โรงพยาบาลสมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี
  • 4.
    โรงพยาบาลศูนย์ชลบุรี จ.ชลบุรี
หากผู้บริจาคร่างกายเสียชีวิตอยู่ต่างจังหวัด (นอกเหนือจากจังหวัดที่กล่าวมา) ให้ญาตินำส่งโดยบรรจุในตู้แช่ศพ (โลงเย็น) หากไม่มี ให้เอาถุงน้ำแข็งอย่างน้อย 2 ถุง วางบนหน้าท้อง คลุมด้วยผ้าห่ม แล้วรีบนำส่ง ฝ่ายกายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ภายใน 20 ชั่วโมง (หากเกินกว่า 24 ชม. ศพอาจเสียสภาพจนไม่เหมาะกับการเรียน) **สำคัญคือ ก่อนนำส่งห้ามฉีดน้ำยารักษาศพ (ฟอร์มาลีน) โดยเด็ดขาด
ติดต่อศูนย์รับร่างฯ โทร. 02 256 4281, 02 256 4737 (เวลาราชการ) หรือ โทร. 083 829 9917 (ตลอด 24 ขั่วโมง)
นอกจากโรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย แล้ว ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ #มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ก็รับบริจาคร่างกายเพื่อเป็น #อาจารย์ใหญ่ เช่นกันครับ (คณะแพทย์ฯ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ก็น่าจะมีนะครับ) เงื่อนไขต่างกันนิดหน่อย และไม่มีแบบให้กรอกข้อมูลผ่านออนไลน์ มีแต่ให้ดาวน์โหลดเอกสารไฟล์ PDF หลังกรอกข้อมูลเสร็จ ให้ส่งกลับทางไปรษณีย์ พร้อมแนบหลักฐาน เช่น รูปถ่าย สำเนาบัตรประชาชน และรอทางมหาวิทยาลัยตอบกลับ
พอผมคุยเรื่องนี้กับ สว. วัย 75 ที่หลานๆ เรียก “อาม่า” อย่างแม่ผมทีไร แกจะชอบเบี่ยงประเด็น พาลไม่อยากฟังซะงั้น อ้าวว....ทำให้สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า ดูท่าทางแกน่าจะยังรับไม่ได้ ในขณะที่ผมเห็นเป็นเรื่องธรรมดามากๆ กับการวางแผนจัดการชีวิตของตัวเองหลังจากตายไปแล้ว ผมมองว่านอกจากจะได้ทำบุญ ให้เกิดประโยชน์ครั้งสุดท้าย แทนที่จะเผาทิ้งไปเปล่าๆ ยังประหยัดไม่ต้องจัดงานศพให้สิ้นเปลืองวุ่นวายอีกด้วย (หลังเสร็จสิ้นกระบวนการเป็นอาจารย์ใหญ่แล้ว ทางมหาวิทยาลัยจะทำพิธีฌาปนกิจหมู่ให้ด้วยครับ)
อีกเรื่องที่ผมสนใจมากเช่นกันคือ #พินัยกรรมชีวิต (Living Will) หากจะอธิบายให้ฟังง่ายๆ คือ ผู้ป่วยได้เขียนหนังสือแสดงความตั้งใจทิ้งไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่า ต้องการปฏิเสธการรักษาเพื่อการยื้อชีวิตที่ไร้ประโยชน์ (ง่ายๆ คือ เมื่อคุณกลายเป็น เจ้าชายผัก หรือ เจ้าหญิงผัก) ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ตอบโต้ก็ไม่ได้ แต่ไม่ตายสักที
ที่มาภาพ : https://peacefuldeath.co/กรมคุ้มครองสิทธิฯ-เสนอ/
เหตุเพราะการแพทย์เจริญก้าวหน้า ทำให้สามารถต่อท่อต่างๆ เช่น เจาะคอ ใส่ท่อช่วยหายใจ ต่อสายยางให้อาหารและน้ำ ฯลฯ จุดประสงค์เพื่อจะรักษาร่างกายนี้เอาไว้ แต่กลับกลายเป็นการทรมานผู้ป่วยหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ยอมให้ตายตามธรรมชาติ เป็นการยื้อที่ไม่เกิดประโยชน์และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
พินัยกรรมชีวิตแบบนี้ ส่งผลดีที่เห็นได้ชัดคือ ผู้ป่วยได้แสดงความต้องการไว้แล้วล่วงหน้า ก่อนที่จะไม่รับรู้หรือพูดอะไรไม่ได้อีก (กรณีกลายเป็นผัก) ญาติๆ ไม่ต้องกลัวจะรู้สึกผิด เพราะเป็นการตัดสินใจของผู้ป่วยเองโดยตรง หมอเองก็ไม่ผิด หากจะยุติการรักษา เพราะพินัยกรรมชีวิตเป็นเอกสารที่รัฐไทย ให้การยอมรับตาม มาตรา 12 พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยพินัยกรรมชีวิตนี้ จะแตกต่างจาก #การุณยฆาต (Mercy killing) ซึ่งกฎหมายในบ้านเรายังไม่ยอมรับนะครับ
ท่านใดสนใจ สามารถดาวน์โหลดเอกสาร PDF ตัวอย่างหนังสือแสดงเจตจำนงปฏิเสธการรักษา หรือ พินัยกรรมชีวิต ได้ที่นี่ครับ : https://www.thailivingwill.in.th/sites/default/files/024_livingwill.pdf
ผมได้เขียนอธิบายเรื่องพินัยกรรมชีวิตนี้ ไว้ค่อนข้างละเอียดใน #บ่นทุกวันเกิด ในวาระที่ผมมีอายุครบ 45 ปีบริบูรณ์ คลิกอ่านได้ครับ :
เข้าใจว่าหลายท่านทราบและรู้ดี ว่า..เราไม่สามารถปฏิเสธความตายได้ ตราบใดที่ยังต้องเกิด ปลายทางก็ต้องคู่กับความตายอยู่ดี หลายคนยอมรับเรื่องนี้ แต่....ก็ ขอได้มั้ยอะ? คือ...ไม่อยากทรมานจ้ะ รู้แหละ...ว่าต้องตาย แต่ก็ไม่อยากเจ็บป่วยทรมานไปนานๆ กว่าจะตายอะไรแบบนี้ อยากหลับปุ๊บแล้วตายไปเลย หือ?....เหรอ? แบบนี้ถือว่า...ตายอย่างมีบุญได้มั้ยอะ?
แต่...ถ้าเอากันตามความเป็นจริง (No! โลกสวยนะครับ) ไม่มีใครสามารถทราบ หรือรู้ได้ล่วงหน้าหรอกครับว่า คุณจะตายแบบไหน ไปแบบสบาย หรือแบบทรมาน และจะตายเมื่อไหร่ ยังไง ก็ไม่มีใครรู้ แต่.........อยากชวน (ป้ายยาของแท้ 555+) ให้คิดว่า #ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กลับเป็นเรื่องปกติที่เป็นธรรมชาติมากๆ เหมือนเราเดินไปจนสุดทางของชีวิตหนึ่งๆ แล้ว
ไปๆ มาๆ #การตายแบบธรรมชาติ อาจเป็นของขวัญชิ้นสำคัญ ที่ได้มอบให้กับคุณในวาระสุดท้ายของชีวิตก็เป็นได้ จริงมั้ยครับ?
จิด.ตระ.ธานี : #เล่าสู่กันฟังนะครับ
#Jitdrathanee
ป.ล. เขียนทีไร ยาวทู้ก..ที ใครอ่านจนจบ ต้องขอขอบคุณมั่กๆ นะคร้าบ.บ.บ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา