28 ส.ค. 2022 เวลา 07:13 • หุ้น & เศรษฐกิจ
"วิกฤต" หลายๆท่านคงได้ยินคำๆ นี้มาก่อน
หลายๆ ท่านที่เป็นนักลงทุนก็คงได้ยินว่าเมื่อเกิดวิกฤต ตลาดหุ้น ตลาดอสังหาฯ ตลาดการเงินต่างๆ จะดิ่งลง ยิ่งกว่าดิ่งลงเหว เราจึงควรลงทุนหลังจากที่เกิดวิกฤต แล้วเพื่อป้องกันการสูญเสียเงินลงทุน
1
Fig 1. S&P500 index
ถ้าเราสามารถคาดการณ์หรือรู้แน่นอนว่าจะเกิดวิกฤต หรือ ตลาดหุ้นในประเทศใดๆ จะพัง แน่นอนว่าเราก็ควรจะถอนการลงทุนออกมา (market timing) เพื่อให้เงินทุนของเราไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ตลาดหุ้นผันผวนหรือตกต่ำในช่วงวิกฤต
แต่ในความเป็นจริงนั้น เราไม่มีทางทราบแน่นอนได้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ไหนขึ้นมา หรือต่อให้มีข่าวออกมาค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว แต่หลายครั้งที่สภาพตลาดหุ้น-ตลาดเงิน ไม่สอดคล้องกับข่าวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 📉 เช่นดังภาพที่ 1 (Fig 1.) ครอบคลุมทั้งช่วงที่เกิด โควิท-19 และช่วงขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก FED ทุกท่านคงได้เห็นว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้ม (Trend) เป็นขาขึ้น และกลับเป็นขาลงในช่วงที่กระแสหุ้นเทคโนโลยีมาแรง หลายๆ บริษัทฯ ในสหรัฐ ปรับลดลงมากกว่า 30-50%
คำถามส่วนมากที่ผมพบเจอจากนักลงทุน จะเป็น "ควรลงทุนช่วงนี้ดีไหม?" หรือ "ถอยออกจากจีน/หุ้นเทค ก่อนไหม?" ซึ่งผมมักจะตอบไปเสมอๆว่า ตอนที่เราเลือกซื้อหุ้น-กองทุนที่เกี่ยวข้องนั้น
1
  • 1.
    เราซื้อเพราะอะไร
  • 2.
    พื้นฐานของสินทรัพย์เปลี่ยนไหม
  • 3.
    ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือคาดการณ์
  • 4.
    สัดส่วนสินทรัพย์ลงทุนที่เลือกมา คิดไว้ดีแล้วไหม
  • 5.
    สภาพจิตใจยังสามารถรับรู้ขาดทุน (ทางบัญชี) ได้อีกแค่ไหน
ถ้าเราสามารถตอบคำถามข้อ 1-4 ได้ ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยน เป็นเพียงแค่ข่าวหรือการวิเคราะห์จากสภาพเศรษฐกิจทั่วไป ถ้าการปรับพอร์ทสามารถช่วยให้สุขภาพจิตเราดีขึ้นได้ ผมก็จะแนะนำให้ปรับพอร์ต (แต่ไม่ใช่ว่าปรับลด 100% หรือ All-in ทั้งหมด)
แต่สำหรับคำถามข้อ 5 ถ้าสภาพจิตใจไม่สามารถรับรู้ (เป็นทุกข์เวลาติดลบ) แสดงว่าพอร์ทที่เราจัดในตอนแรกนั้นอาจจะไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ซึ่งในกรณีนี้ ผมคงแนะนำให้มาร่วมกันจัดพอร์ทอีกรอบ
คำแนะนำเบื้องต้น ผมแนะนำให้ดำเนินการ 3 แบบคือ
  • 1.
    Overweight (เพิ่มน้ำหนักการลงทุน)
  • 2.
    Underweight (ลดน้ำหนักการลงทุน)
  • 3.
    Neutral (คงน้ำหนักการลงทุน)
ซึ่ง 3 วิธีที่กล่าวมานั้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีการจัดพอร์ท (มีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์เป็นเปอร์เซ็น และควรกำหนดตามความเสี่ยงหรือความสูญเสียที่เรายอมรับได้)
เราสามารถเพิ่มน้ำหนัก 5-15% กับสินทรัพย์ที่เราอยากลงทุนเพิ่ม ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมีข่าวดี ประกาศงบการเงินออกมาสวย เศรษฐกิจของประเทศกำลังโต
หรือ
เราสามารถลดน้ำหนักการลงทุนได้ 5-15% กับสินทรัพย์ที่เรากังวล เราไม่อยากลงทุนเพราะข่าวสาร ประกาศงบการเงินออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ ข่าววิกฤตการเมืองในประเทศ หรือวิกฤตของสถาบันการเงิน
เนื่องจากการเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุน นั้นก็จะคิดจากสัดส่วนที่เราได้มีการกำหนดไว้ (ไม่ได้เป็นการลงทุนทั้ง 100% หรือขายสินทรัพย์ 100% เพราะเรายังให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงและความแน่นอนที่ว่าเราไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้)
แต่อย่างไรก็ตาม บางข่าวที่เกิดขึ้นจริงและมีผลต่อสภาพของตลาดโดยรวม เช่น การควบคุมบริษัทฯเทค ของประเทศจีนที่จดทะเบียนในต่างประเทศ อาจส่งต่อบริษัทฯ ที่เราเข้าไปลงทุนโดยตรงหรือผ่านกองทุน
หลายบริษัท ถึงกับกำไรหาย ไม่สามารถขยายฐานลูกค้าได้เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามกฏระเบียนที่รัฐบาลกลางกำหนด (Regulation risk: ซึ่งผมจะมาอธิบายในครั้งหน้าต่อไปถึงเรื่องความเสี่ยง)
6
Fig 2. Hang Seng Index
จากรูปภาพที่ 2 แสดงให้เห็นว่าดัชนีไม่สามารถขยับเพิ่มขึ้นได้และตกกลับลงมาเกือบเท่าจุดต่ำสุดในรอบ 8 ปี การลดพอร์ทการลงทุนสามารถช่วยให้เราลดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับเหตุการณ์ประเภทที่เปลี่ยนแปลงพื้นฐานของตลาดนั้นๆ แสดงว่าพื้นฐานของสินทรัพย์เปลี่ยน
ดังนั้นถ้าเราหมั่นติดตามข่าวสาร ก็อาจจะคิดได้ว่า "ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนกลุ่มหรือสินทรัพย์การลงทุน?"
1
โฆษณา