31 ส.ค. 2022 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
5 เรื่องควรรู้ ก่อนเปิดบัญชีลงทุนหุ้นต่างประเทศ
หนึ่งในคำถามที่ผู้สนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศอยากรู้กันมากที่สุด คือ เปิดบัญชีลงทุนหุ้นต่างประเทศกับโบรกเกอร์ไหนดี ? แต่ละที่มีความต่างกันยังไง ?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องรู้อะไรบ้างล่ะ โพสต์นี้มีคำตอบครับ
🔎 1. ค่าใช้จ่ายในการลงทุนหุ้นต่างประเทศ
ค่าใช้จ่าย คือ เรื่องที่สำคัญมากที่สุด เพราะโบรกเกอร์แต่ละที่คิดค่าคอมมิชชันไม่เท่ากัน แน่นอนว่ามีผลกระทบต่อผลตอบแทนในการลงทุนของเราอย่างมากก
ส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนรายย่อย คือ ค่าคอมมิชชันขั้นต่ำที่เก็บทันทีเมื่อซื้อหุ้นต่างประเทศ ทำให้เงินลงทุนยังไม่ทันเติบโตก็โดนค่าคอมกินหมดแล้ว (โบรกเกอร์บางรายคิดค่าคอมขั้นต่ำหลายร้อยบาท)
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นอีก เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าออกต่างประเทศ ซึ่งปกติเราคงไม่ได้โอนเงินเข้าออกกันบ่อย ๆ แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยโอนเงินครั้งนึงก็อาจจุกกันเลยทีเดียว (โบรกเกอร์บางรายเก็บแพงถึงหลักพันบาท)
ดังนั้นก่อนเปิดบัญชีลงทุนหุ้นต่างประเทศ จึงต้องเลือกโบรกเกอร์ให้ดี เพราะโบรกเกอร์บางรายก็ไม่มีค่าคอมมิชชันขั้นต่ำ แถมยังมีโปรโมชันไม่คิดค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศด้วยครับ 👍
🔎 2. จำนวนเงินลงทุนเริ่มต้น
โดยปกติการลงทุนหุ้นไทยต้องซื้อขั้นต่ำครั้งละ 100 หุ้น ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ต้องซื้อขั้นต่ำครั้งละ 1 หุ้น ทำให้ผู้ลงทุนต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
แต่โบรกเกอร์ที่ซื้อขายหุ้นแบบเศษส่วนหุ้น (Fractional Share) จะทำให้เราซื้อหุ้นสหรัฐฯ จำนวน 0.001 หุ้นก็ได้ แปลว่าเราไม่ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นก้อนใหญ่ และกำหนดเงินลงทุนเองได้ เพียงแค่ 50 บาทก็ซื้อหุ้นได้แล้ว
🔎 3. ระยะเวลาการแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
ปกติการซื้อหุ้นต่างประเทศ ผู้ลงทุนต้องแลกสกุลเงินต่างประเทศก่อน ซึ่งโดยมากเราต้องรอนานราว 2 วันทำการ โบรกเกอร์ถึงจะโอนเงินเข้าบัญชีลงทุนให้เราเริ่มซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้
ทีนี้ถ้าเราไม่เหลือเงินในบัญชีลงทุนเลย แต่อยากซื้อหุ้นตอนเปิดตลาดก็จะซื้อไม่ได้ แม้เราจะโอนเงินเข้าบัญชีลงทุนทันทีเลยก็ตาม แปลว่าเราอาจจะพลาดจังหวะเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ได้เปรียบ เพราะราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ที่เราจะเปิดบัญชีลงทุนด้วยจึงสำคัญมากนั่นเอง
🔎 4. ช่วงเวลาการซื้อขายหุ้น
หนึ่งในปัญหาการลงทุนหุ้นต่างประเทศ คือ ระยะเวลาเปิดปิดของตลาดหุ้น ซึ่งเปิดในช่วงที่คนส่วนใหญ่อยากจะนอนกันแล้ว ยกตัวอย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิด 20.30 - 03.00 น. (เวลาประเทศไทย)
จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราไม่ต้องเติมคาเฟอีนให้ตาตื่นตลอดทั้งคืน หากโบรกเกอร์นั้นมีบริการซื้อขายหุ้นนอกเวลาทำการ (Extended Hour Trading) หรือก็คือการซื้อขายในช่วงก่อนเปิดตลาดและหลังปิดตลาด (Pre-Market Trading และ After-Hours Trading)
ทำให้ระยะเวลาเปิดปิดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขยายเป็น 15.00 - 07.00 น. (เวลาประเทศไทย) ตื่นเช้ามาหรือหลังเลิกงานก็ซื้อขายหุ้นได้ทันที (แต่ต้องตื่นเช้าหน่อยนะครับ 😅)
🔎 5. จำนวนตลาดหุ้นต่างประเทศที่เปิดให้ลงทุน
การมีตลาดหุ้นหลายประเทศให้เลือกลงทุนถือว่าน่าสนใจ แต่ถ้าเราต้องการลงทุนแค่ในตลาดหุ้นหลักของโลก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เรื่องจำนวนตลาดหุ้นจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ต้องดูก่อนเปิดบัญชีลงทุนหุ้นต่างประเทศเลย เพราะโบรกเกอร์ส่วนใหญ่เปิดให้บริการครอบคลุมตลาดหุ้นหลักของโลกอยู่แล้ว
ยกเว้นว่าเราสนใจลงทุนในตลาดหุ้นพิเศษ เช่น ตลาดหุ้นกรีซ หรือ ตลาดหุ้นตุรกี ซึ่งบางโบรกเกอร์ก็ไม่ได้เปิดให้บริการ
🚨 ข้อสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น คือ การเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศที่แสนจะยุ่งยาก บางคนเริ่มสนใจอยากเปิดบัญชี แต่พอรู้ว่าขั้นตอนยุ่งยากวุ่นวายและต้องส่งเอกสารเยอะมาก แม้เราจะอยู่ในยุคดิจิทัลแล้วก็ตาม ทีนี้เลยไม่อยากเปิดบัญชีแล้ว
อยากบอกทุกคนว่าปัญหายุ่งยากแบบนี้จะไม่มีอีกต่อไป จบทุกเรื่องยากของการลงทุน ด้วย แอป Dime! ครบจบในที่เดียว
"เพราะการเงินเป็นเรื่องของทุกคน"
 
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
 
ติดตามเราเพิ่มเติมได้ที่
โฆษณา