3 ก.ย. 2022 เวลา 08:02 • กีฬา
“สับแหลก แหกหลังเกม ผี ตีหัวเข้าบ้าน บุกเฉือดเลสเตอร์ 1-0 "
(AFTER MATCH LEI 0-1 MUN)
“ยืด” คือลักษณะการกระทำของเหล่าแฟนบอล แมนฯยูไนเต็ด เมื่อได้ออกไปข้างนอกบ้าน ไม่ว่าจะไปเรียน ไปทำงาน หรือกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เมื่อได้พบเจอกับผู้คนภายนอก
ครั้นจะไปหมั่นไส้พวกเขาเหล่านั้น ก็คงจะรู้สึกได้ไม่เต็มฟัดเต็มเหนี่ยว เพราะนัดล่าสุด ทีมรักของพวกเค้าเพิ่ง “บุกเฉือด” จิ้งจอกสยาม มาได้หมาดๆ 1-0 สานต่อชัยชนะต่อเนื่องมาถึง 3 นัดติด เรียกได้ว่าฟอร์มของพวกพี่เขา “มาดีจริง”
การเก็บ 3 แต้มในเกมเยือนนัดนี้ได้ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นอันจะช่วยเพิ่ม “โมเมนตัมของทีม” ให้มากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะต้องกลับมาเล่นในบ้านพบกับ “ไอ้จ่าฝูง ปืนโต อาร์เซน่อล” ที่กำลังร้อนแรงสุดๆ
อย่างไรก็ตาม เราเริ่มจะได้เห็น “สิ่งที่เริ่มจะเป็นจุดแข็ง” และสิ่งที่ต้องปรับปรุง ของพลพรรค ปีศาจแดง อยู่พอสมควร และ “สับแหลก แหกหลังเกม” จะพามาแหกประเด็นต่างๆ สมควรแหก ในเกมกับเลสเตอร์ นัดนี้ ให้กระจ่างชัด
และนี่คือการ“สับแหลก แหกหลังเกม ผี ตีหัวเข้าบ้านบุกเฉือดเลสเตอร์1-0”
"ผี ตีหัวเข้าบ้าน บุกเฉือดเลสเตอร์1-0”
แหกหลังเกม ประเด็นที่ 1 | “ตีหัวเข้าบ้าน” สไตล์|
2 เกมแรกอันไม่น่าอภิรมย์ของ ยูไนเต็ด พบว่ามีการเสียประตูแบบชนิดที่ “ไหลเป็นน้ำ” และ “เสียแบบไม่น่าเสีย” อยู่หลายประตู
อันเป็นเหตุให้ เอริก เทนฮาก ถึงกับต้อง “สังคายนาเกมรับ” ด้วยการถีบส่ง กัปตันทีม “ตัวปั้นคอนเท้นต์” อย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ ลุค “อิหนักตูด” ชอว์ ให้ไปอยู่บนม้านั่งสำรอง
และได้มีการอัญเชิญ ราฟาเอล วาราน และ ไทเรล มาลาเซีย (คนบ้านเดียวกัน) ขึ้นมาแทนที่ ส่งผลให้ เกมรับ ของยูไนเต็ด รัดกุมและดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การที่แผงแบ็คโฟร์ รู้ขาเข้าใจกัน ช่วยกันเล่น ส่งพลังให้กันเมื่อสกัดบอลได้ อันเป็นการจะสร้างความมั่นใจให้กับทีม ให้กับแนวรุก เมื่อแนวรุกมั่นใจ ก็ทำประตูได้ โดยมีพื้นฐานมาจากเกมรับทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตาม “สันดานเดิม” ของยูไนเต็ด ก็ยังคงมีอยู่ คือการได้ประตูขึ้นนำแล้วไม่สามารถปิดเกมด้วยประตูที่ 2 ได้ ซึ่งถ้าเป็นฤดูกาลก่อน ก็คงจะโดน “ล่อซื้อ” ตีเสมอท้ายเกมไปแล้ว
แต่ด้วยการสังคายนาเกมรับใหม่ในครั้งนี้ ก็ยังพอที่จะยันคู่แข่งในช่วงกดดันท้ายเกม และสามารถคว้า 3 แต้มมาด้วยผลต่างประตูเพียงแค่ลูกเดียวได้
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา เรื่องเกมรับดี >>> ทำให้เกมรุกมั่นใจ >>> เกมรุกทำประตูได้ >>> ไม่ยิงลูกที่ 2 ปิดเกม >>> โดนกดดันท้ายเกม >>> เกมรับดี ยังเอาอยู่ >>> เก็บ 3 แต้มได้อย่างฉิวเฉียด ก็ไม่น่าจะติดใจอะไร หากจะมีคนกล่าวว่า
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ ตอนนี้ มีลักษณะวิธีการเล่นแบบ “ตีหัวเข้าบ้าน สไตล์” อย่างแท้จริง
ตีหัวเข้าบ้านสไตล์ ของยูไนเต็ด โดยมีพื้นฐานมากจากเกมรับ
แหกหลังเกม ประเด็นที่ 2 | เล่นบอลน้อยจังหวะ “เป็นซะที”|
เลสเตอร์ซิตี้ เป็นอีกหนึ่งทีมที่เล่นเกมเพรสซิ่งได้ดี ในเกมนี้ ก็เป็นอีกเกมหนึ่ง ที่พวกเขาก็กระทำเช่นนั้นกับยูไนเต็ด แต่ในบางจังหวะ ก็ไม่เป็นผล เพราะแมนฯยูไนเต็ด แก้เพรสซิ่งได้ ด้วยการเล่นบอลน้อยจังหวะ เป็นแล้ว!! และเป็นซะที!!
ถ้าเป็นในช่วงก่อนที่เอริก เทนฮาก จะมาคุมทีม การที่เลสเตอร์บุกเพรสซิ่งแบบนี้ ก็คงจะ “รุมกินโต๊ะ” แย่งบอลได้เป็นกอบเป็นกำ และนั่ง “ขำก๊าก” กับวิธีการป้องกันจังหวะเพรสซิ่งของผู้เล่น ยูไนเต็ดไปแล้ว
แต่หลังจากที่นายใหญ่ชาวฮอลแลนด์เข้ามากุมบังเหียน เขาเริ่มได้ติดตั้งวิธีการเล่นฟุตบอลแบบน้อยจังหวะให้กับผู้เล่นมากขึ้นในการซ้อม ราวกับได้มีการฝังไมโครชิพไว้ที่เท้าผู้เล่นปีศาจแดงอย่างไงอย่างงั้น
ทำให้ผู้เล่นที่เล่นบอลมากจังหวะอย่าง แม็คโทมิเนย์เตอร์ และ ดร.มาร์คัส แรชฟอร์ด ดูจะเล่นบอลน้อยจังหวะมากขึ้นในเกมนี้มีการ “จับ แล้วจ่าย” “ให้ แล้วไป” ทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นได้ง่าย
ผสมผสานกับการเติมผู้เล่นใหม่ที่เป็น “เท้าชั่งทอง” อย่าง คริสเตียน อิริกเซ่น และผู้เล่นที่ “เด็ดเดี่ยว” ตัดสินใจดีอย่าง ลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่ทั้งคู่ต่างเล่นบอลน้อยจังหวะได้ดี ตัดสินใจเด็ดขาด เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน
ส่งผลให้รูปเกมโดยรวมของทีมดู “ไหลลื่น” และดู “เล่นเข้าจังหวะ” กันระหว่างผู้เล่นมากขึ้น เห็นชัดเจนจากจังหวะที่ได้ประตู และจังหวะที่แก้เพรสซิ่งจากแดนหลังในเกมกับเลสเตอร์เกมนี้
จังหวะที่ได้ประตู เริ่มจาก ดาโลต์ จับบอลลง แล้วจ่ายทะลุไปที่ บรูโน่ ปล่อยบอลไหล แล้วแทงต่อให้ แรชฟอร์ด จับบอล 1 จังหวะแล้วปาดให้ซานโช่ แตะบอลหนีนายด่านเลสเตอร์ ก่อนที่จะยิงเข้าไป
“เป็นการประสานงานกันแบบไม่มีใช้เกิน 2 จังหวะเลยแม้แต่คนเดียว”
อีกจังหวะเป็นการแก้เพรสซิ่ง ของเลสเตอร์ เริ่มจาก อีลังก้าแย่งบอลได้ ให้ไปที่ ดาโลต์ จังหวะเดียวมาที่ อิริคเซ่น >> มาร์ติเนซ >> บรูโน่ดีดต่อ >> มาลาเซีย >> อิริกเซ่นอีกครั้ง >> มาร์ติเนซอีกครั้ง >> บรูโน่อีกครั้ง
“เป็นการเปลี่ยนเป็นจากรับเป็นรุกสุดสวยโดยใช้ฟุตบอล จังหวะเดียว”
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พลพรรคปีศาจแดงนั้น เริ่มที่จะใช้บอลน้อยจังหวะให้มากขึ้น และแฟนบอลก็รู้สึกโล่งใจ
ที่ผีแดงชุดนี้ “เล่นฟุตบอล น้อยจังหวะ เป็นเสียที”
แหกหลังเกม ประเด็นที่ 3 | แดนกลาง “ดีวัน ดีคืน”|
ใน 2 เกมแรกของการเปิดสนาม แดนกลางยูไนเต็ด ถือว่า “หลุดรุ่ย” กันเลยที่เดียว ทั้งการแก้เพรสซิ่งไม่ได้ จ่ายบอลไม่เข้าเป้า และผู้ที่กลายเป็น “โถขี้” ให้แฟนบอลยูไนเต็ดระบาย ก็คงจะหนีไม่พ้น 2 คู่หู “แม็คเฟร็ด” อย่างแน่นอน
แต่เมื่อ เทนฮาก ได้มีการปรับเปลี่ยนบทบาทในแดนกลาง จากที่ 2 นัดแรก เฟร็ด เป็นตัวยืนต่ำ คอยรับบอล ออกบอล แต่ทำได้ไม่ดี ทนการเพรสซิ่งไม่อยู่ จนโดนฝ่ายตรงข้าม “บดบี้” ซะไม่เหลือชิ้นดี
จึงมีปรับเปลี่ยนให้ แม็คโทมิเนย์ ที่ลงมาเป็นตัวจริงแทน เฟร็ด ยืนคู่กันกับ อิริกเซ่น ที่มีบทบาทเป็นตัวเชื่อมเกม จากหลังไปหน้าและการเปลี่ยนแกนเล่น ส่วน แม็คทอม เป็นลูกหาบ คอยช่วยปัดกวาด และตัดเกมให้กับอิริกเซ่น
เมื่อเจ้าฉายา แม็คโทมิเนย์เตอร์ ได้รับบทบาทที่ถนัดและเหมาะสมกับตัวเอง จึงไม่แปลก ที่ “อดีตโถขี้ไว้ระบาย” ของแฟนบอล จะโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้แต่ผู้เล่นใหม่ระดับเวิร์ดคลาสอย่าง คาเซมิโร่ ยังต้องนั่งเป็น “สำรอง”
แต่อย่างไรก็ตาม ยังอาจจะพอมีหนทางให้แฟนผีได้เห็น คาเซมิโร่ ได้อยู่บนสนามได้ จากการเปลี่ยนตัวของ เทนฮาก ที่ส่ง เจ้า “เกษม” คาเซมิโร่ ลงมาแทน อีแลงก้า ในนาทีที่ 60
ลงมายืนต่ำคู่กับ แม็คโทมิเนย์เตอร์ และดันอิริกเซ่น ขึ้นสูง เป็นกองกลางตัวรุก และขยับบรูโน่ ไปยืนปีกขวา แทน อีแลงก้า ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไป ซึ่งแผนนี้ “ดูน่าจะตอบโจทย์มากๆ” กับเกมที่ต้องใช้พละกำลังและการบดบี้ในแดนกลาง
โดยรวมแล้ว การเสริมทัพในตำแหน่งกองกลางของยูไนเต็ดในตลาดรอบนี้ ทำให้แดนกลางมีปริมาณตัวเลือกเยอะขึ้น การแข่งขันมากขึ้น คุณภาพมากขึ้น เล่นในบทบาทหลากหลายเพิ่มขึ้น ทำให้ทีมยืดหยุ่นและปรับแผนได้มากขึ้น
ส่งผลให้แดนกลางของยูไนเต็ด “ดีวัน ดีคืน” อย่างเห็นได้ชัด
แดนกลางของยูไนเต็ด ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ แม็คโทมิเนย์เตอร์
แหกหลังเกม ประเด็นที่ 4 | กองหลัง กองกลาง ฟอร์มมาแล้ว “แต่กองหน้า ยังไม่มา”|
แม้ว่ากองหลัง จะดูเข้าขา รู้ใจ ลงตัว รัดกุม กองกลาง จะดูยืดหยุ่น มีคุณภาพ ครองเกมได้ แต่ปัญหาจุดสำคัญของปีศาจแดงไม่น้อยเลยคือ “กองหน้า” ที่ดูจะยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร
แม้ว่าอนาคตของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้ว ว่าจะอยู่กับแมนฯยูไนเต็ดต่อไป แต่เมื่อดูบทบาทใน 3 เกมล่าสุดที่ชนะรวด เจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัย กลับทำได้แค่ “นั่งตูดด้าน” อยู่บนม้านั่งสำรองเท่านั้น
อีกทั้งกองหน้าตัวจริงที่โชว์ฟอร์มได้ดีในช่วงปรีซีซั่น อย่าง อองโตนี่ มาร์กซิยาล ก็ดันมาเจ็บ ออดๆแอดๆ พลาดการลงสนามไปแล้วหลายนัด และยังคงต้องลุ้นว่าเจ้าตัวนั้น จะกลับมาฟิตซ้อมได้ดีจนพร้อมลงสนามได้ในตอนไหน
เมื่อบทบาทและฟอร์มของโรนัลโด้ ยังไม่พร้อมที่จะเป็นตัวจริง และอาการบาดเจ็บของ มาร์กซิยาล ยังคงไม่เอาแน่เอานอน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เทนฮาก ต้องปรับใช้ปีกอย่าง ดร.มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นกองหน้าจำเป็น
การเก็บบอลไว้กับตัวมากเกินไปและ “ความอยากจะเลี้ยงตลอดเวลา” ของแรชฟอร์ด ยังคงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้แดนหน้าของยูไนเต็ด เสียบอลง่าย เมื่อฟุตบอลอยู่ในแดนบน
แม้เกมกับเลสเตอร์ แรชฟอร์ดจะเล่นมากจังหวะน้อยลง เล่นกับเพื่อนมากขึ้น จนมีส่วนร่วมกับประตูที่ทำได้ แต่ก็ยังมีอยู่หลายจังหวะ ที่ศูนย์หน้าผู้หลุดทีมชาติอังกฤษนั้น ทำเสียบอลในแดนบนบ่อยมาก ปิดโอกาสการเข้าทำของทีมไปหลายรอบ
อีก 1 ข้อสังเกตคือ ถึงแรชฟอร์ด จะทำประตูในเกมกับลิเวอร์พูลที่เขาลงเป็นกองหน้าได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงประตูเดียวที่ “ผู้มีพระคุณต่อเด็กยากไร้” นั้นทำได้ในฐานะศูนย์หน้าเบอร์ 9 นอกนั้นเป็นการทำประตูได้จากปีกและกองกลาง อย่างซานโช่ และบรูโน่
แมนฯยูไนเต็ด ยังคงต้องปรับปรุงในส่วนของกองหน้ากองหน้าตัวจริง ที่จะต้องยืนระยะยาวได้ พร้อมที่จะบดบี้ในทั้งฤดูกาล ครั้นว่าจะไปฝากความหวังไว้ที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด เพียงคนเดียว “ก็คงจะไม่ไหว”
แม้ว่าจะชนะเกมนี้ได้ แต่แนวรุกยูไนเต็ด ควรที่จะต้องปิดเกมให้เร็วกว่านี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงจะมีเรื่องที่ยังต้องปรับปรุงบ้าง แต่ก็ยังมีข้อดีมากมายที่เห็นอยู่ในเกมกับเลสเตอร์เกมนี้ และหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเก็บ 3 แต้มได้ และเป็น 3 นัดติดต่อกัน ช่วยเพิ่มโมเมนตัม ให้กับทีมไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้จะยังไม่พีคสุดขีด แต่ ณ ตอนนี้ พวกผม ยูไนเต็ด พร้อมพอตัวแล้วครับ!!
พร้อมที่จะ “ลากไอ้ปืนโต ลงมาจากบัลลังก์จ่าฝูง” วันอาทิตย์นี้แล้วครับ!!
เรียบเรียง : Mr.เอเวอร์ดีน
#MANUTD #LEIMUN
โฆษณา