14 ก.ย. 2022 เวลา 12:54 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Flowers on Earth - Blackbeans
[รีวิวอัลบั้ม] Flowers on Earth - Blackbeans
-ผมมอง 4 หนุ่มวง Blackbeans ไว้ว่า วงทำตัวอินดี้ที่ทำเพลงได้โคตรป็อปมากที่สุดวงนึง คำนิยามของป็อปในที่นี้ไม่ใช่แนวเพลงยืนพื้นอย่างเดียว แต่เป็นแนวคิดของพวกเขาที่ทำเพลงให้ย่อยง่าย ไม่ซับซ้อน และดูน่าจะถูกโฉลกกับคนฟังหมู่มาก ความอินดี้เป็นแค่สถานะของศิลปินไร้สังกัดเท่านั้น แต่ปัจจัยที่ทำให้วงเป็นที่จดจำอย่างมาก ต่อให้จะไม่มีเครื่องมือในการโปรโมทเพลงเท่าค่ายใหญ่มากมาย น่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนตั้งแต่การเลือกแม่สีประจำตัวที่เป็นสีเหลือง ซึ่งดันเข้ากับมู้ดแอนด์โทนผลงานเพลงของพวกเขาซะเหลือเกิน
-ความใส่ใจในการรังสรรค์เพลงที่ให้ความสำคัญกับความนุ่มนวล กลไกของวงดนตรีที่เป็นลูกเล่นไม่มีวันตาย ดนตรีจำพวกบีททำคอมล้ำๆก็ไม่สามารถแทนที่ความเต็มอิ่มทางความรู้สึกได้มากเท่า และความชัดเจนในบริบทเนื้อหาสุดทางใดทางนึง ซึ่งหากใครตามวงนี้จะต้องเจอกับเมโลดี้หวานๆ รับความโรแมนติกเข้าไปอย่างเต็มเปา ความสุดทางใดทางนึงเนี่ยแหละเป็นตัวหล่อหลอมเอกลักษณ์ของพวกเขาให้ชัดเจนจนเป็นภาพจำที่โดดเด่นโดยไม่ต้องสงสัย
-จากอัลบั้มชุดแรก You (are) Mean a Lot to Me ซื้อใจผู้ฟังได้ตั้งแต่แรกเริ่มด้วยเหตุผลข้างต้น จำได้เลยว่าแอพฟังเพลงสีเขียวเจ้านึงเคยสุ่มเพลงของพวกเขามาให้ได้ลิ้มลองกันด้วย มีหลายเพลงที่ผมค่อนข้างชอบ ต่อให้เพลงของพวกเขาหวานแหววเหลือเกิน แต่การรังสรรค์ดนตรีของพวกเขาแน่นเหลือเกิน มันคือเสน่ห์ของอัลเทอร์ป็อปที่ไม่อยากให้มองข้ามก็จริง แต่โดยส่วนตัวผมขอสารภาพว่า พึงพอใจที่จะฟังแบบแยกหรือให้มัน shuffle ปนๆกันกับเพลงของคนอื่นเฉยเลย พอเอาเพลงเหล่านั้นมากองเป็นอัลบั้มแรก ฟังรวมๆแล้วผมรู้สึกเลี่ยนเฉยเลย
-แน่นอนว่ามันจะมีเพลงบางเพลงที่ดีในตัวมันเป็นเอกเทศอยู่แล้ว แต่มันก็จะมีบางเคสที่เพลงดีๆเหล่านั้นไม่สามารถมาบรรจบรวมกันได้ และโชคร้ายที่เรามองอัลบั้มแรกของพวกเขาคือเคสนั้น ต่อมรับรสเราดันรับสัมผัสรสหวาน-มันอย่างเดียว นี่คือสิ่งที่ผมไม่ได้หยิบอัลบั้มนั้นขึ้นมาพูดเท่าไหร่ แต่ก็ยังติดตามพวกเค้าอยู่นะ
พีรวิทย์ จิตการุณ (บูม) นักร้องนำ, นฤเบศร์ พัวพันบุญ (ทาม) มือกีตาร์, นันทกร พันธ์วุ้น (เกม) มือเบส และนลธวัช บัวเผื่อน (พีท) มือกลอง
-สำหรับอัลบั้มที่สอง Flowers on Earth ถือว่าแก้เกมส์ในการตัดเลี่ยนได้ดีอยู่ เหมือนพวกเขาพยายามนำเสนอ perspective ที่แตกต่างจากเดิม ตั้งแต่หน้าปกอัลบั้มที่เล่นความ abstract ภาพวาดสีน้ำมันที่เริ่มมีสีอื่นแซมทับสีเหลืองโทนสีประจำวงด้วย ถ้าให้เดาน่าจะสื่อถึงความรู้สึกด้านอื่น นอกเหนือจากเยลโล่โรแมนติกของหนุ่มๆ
-มวลรวมความรู้สึกโดยรวมมันมีความ blossom สมชื่อแหละ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญน่าจะเป็นอารมณ์คิดถึงถวิลหา น้ำหนักความ nostalgia ที่มากกว่าเดิม เป็นความเหงาที่ตัดกับความโรแมนติกไม่ให้ดูเอ่อล้นจนเกินไป ในความ nostalgia นี้ก็มีบริบท tribute เพลงป็อปยุคคาสเซ็ตเทปที่ให้ความสำคัญในท่วงทำนองที่ประณีตเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเพลง You ท่วงทำนองช่างเคลิ้บเคลิ้ม แต่ก็แอบ sad ในบางที
-ก่อนหน้านั้นก็มีอีพี Halfway to Heaven ที่หน้าปกทุ่งดอกไม้สีน้ำมัน สวยงามมากๆ ประกอบไปด้วยกลุ่มเพลงที่เป็นส่วนนึงของอัลบั้มนี้แหละ เป็นการโปรโมทที่คล้ายๆกับ John Mayer ยุค The Search for Everything ที่ปล่อยเป็น installment กลุ่ม 2-3 เพลง ให้ทำงานต่อคนฟังก่อน แล้วค่อย reach ถึงอัลบั้มเต็มอีกทีนึง
-Blackbeans ก็น่าจะมีแพลนลักษณะเดียวกัน ซึ่งก็เป็นวิธีที่เพลย์เซฟประหนึ่งเป็นการหยั่งเชิง ซาวนด์เสียงแฟนเพลงด้วยส่วนนึง หากลองสังเกตเพลงเวอร์ชั่นอีพีกับอัลบั้มเวอร์ชั่น ทางวงมีการเปลี่ยนแปลงแค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ขยายสาสน์ เน้นการเติมเลเยอร์บางๆ
-เฉกเช่นเพลง We (Always) Lose Something To Get Something ก็คือสองแทร็ค Always เพลงร้องเมนหลักและ We Lose Something… instrument track มาสมาสรวมกันเนี่ยแหละ มีความอีโมป็อปที่ถูกเพิ่มเติมด้วยคอรัสบางๆซึ่งช่วยให้เพลงมีน้ำมีนวลขึ้นจริงๆ ลดความดรายจากเวอร์ชั่นเดิม Dara II เป็นป็อป night vibe ยามโพล้เพล้ อันที่จริงก็ไม่ได้สัมผัสความแตกต่างอย่างเป็นตุเป็นตะมากขนาดนั้น ไม่มีการขยาย length ไม่มีการเพิ่มพาร์ทดนตรีหรือเนื้อหาเสริมใดๆ
-Hold ออกแนวปลอบใจ คล้ายๆกับเพลง Heal เพียงแต่โทนเพลงอึมครึมกว่า Tonight (We Have Fun) เพลงโหมดคึกคักโดดเด้งกว่า Dance With Me ชนิดที่อีกนิดก็พังก์แล้ว แต่ติดที่หนุ่มๆน่าจะติดกรอบทางคอนเซ็ปต์ที่ปูไปทางโรแมนติกเกินกว่าที่จะตะโกนโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งเชิญสาวมาเต้นรำก็จะเคอะเขิน ต้อง keep look หน่อย
-มีเพลง unreleased track ที่น่าสนใจ ถ้าให้เดาแนวโน้มที่จะถูกตัดซิงเกิ้ลก็คงหนีไม่พ้น Pink ที่ดูยังไงก็เหลือง เป็นภาพทุ้มในมโนสำนึกอยู่ดี เสียงร้องของบูมที่มีทั้งคีย์ปกติและหลบเสียงสลับกัน มีสำเนียงกีตาร์เอื้อนๆ ช่วยให้เพลงแลดูไม่มุ้งมิ้งหลุดกรอบจนเกินไปนัก พาร์ทเพลงบรรเลง interlude สไตล์ theme song ที่บ่งบอกการเล่นความ abstract ใส่คนฟัง Waiting ที่เอื้อนเอ่ยพรรณนาอย่างแช่มช้า ชวนนึกถึงเพลงยุคคุณพ่อคุณแม่ที่อิทธิพลเพลงฝรั่งเข้ามาในบ้านเราพอดี
-ความหนักแน่นทางอารมณ์และภาคดนตรีที่เพิ่มขึ้นก็เป็นจุดแข็งที่ขบความเลี่ยนของอารมณ์โรแมนติกได้ดียิ่งยวด สามารถหยิบมาฟังได้ร่ำไป เฉกเช่น Me ที่ตอนแรกผมเฉยๆมาก แต่พอมารวมในอัลบั้มกลับทำให้ใจฟูมากเเป็นพิเศษ โดยเฉพาะท่อนคอรัสที่ช่างห้อมล้อมอบอุ่น เหมือนมีคนมาคอยโอบกอดเราจริงๆ Please คือตัวอย่างเพลงเว้าวอนที่แข็งแรงมากเพลงนึง เคยพูดถึงในเพจแล้วครั้งนึง ชื่นชมในความไดนามิกของเพลงที่ต่อเนื่องและเข้มข้นในเวลาเดียวกัน เป็นเพลงเหงาที่รีฟกีตาร์โยกๆโคตรเท่ห์ ชอบมากที่สุดในอัลบั้มนี้
-I miss you เพลงปิดท้ายอัลบั้มที่ emotional และน่าจะท้าทายสำหรับบูมในการร้องอย่างมาก หลบเสียงแทบทั้งเพลง ให้สอดคล้องกับคีย์สูงที่วาดลวดลายด้วยเครื่องสายไวโอลินอย่างจัดเต็ม ถ่ายทอดอารมณ์อาลัยอาวรณ์ของความคิดถึงที่ได้แต่คิดถึง ไม่สามารถนำพาใครบางคนกลับมาได้ หนึ่งเพลงที่บ่งบอกการเติบโตทางความคิดของพวกเขาอย่างที่บอกไว้ในเพลงเนี่ยแหละ
-เธอเป็นความสุขของชั้นก็จริง แต่การเติบโตจะทำให้เราไม่เป็นไรเอง แล้วตบด้วยวลีที่พวกเขาเพิ่งจะมาพร่ำบอกเรา หลังจากที่ทำตัวเองคลั่งรัก โลกสวยในความรัก ราวกับว่าตัวเองไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ตอนแรกที่ผมท่อนนี้ถึงกับขนลุกเลย
รักตัวเอง คือสิ่งที่เราต้องจำไว้
รักมากไป อาจทำให้ใจต้องวุ่นวาย
รักตัวเอง ในวันที่มันยังไม่สาย
ต้องรักตัวเอง รักตัวเอง รักตัวเอง
I miss you
-ได้ฟังสิ่งที่พวกเขาร้อยเรียงตั้งแต่ต้นอัลบั้มบวกกับประสบการณ์จากผลงานที่ผ่านๆมาของพวกเขา ผมมักจะรับรู้ความเป็นหนุ่มนักรักโรแมนติก มองอะไรก็สวยงามเสมอมา จนกระทั่งวลีนี้เพิ่งจะโผล่มาในเพลงสุดท้ายในอัลบั้มชุดที่สอง ราวกับว่าที่ผ่านมาพวกเขาน่าจะยอมรับจริงๆแหละว่า เพลงรักของพวกเขาเหมือนยึดติดกับความนิรันดรที่คนใดคนนึงอยู่เสมอ ต่อให้ไปนอนดูดาวที่ไหนคนเดียวก็มักจะนึกถึงคนๆนึงอยู่ตลอด
-ท่อนนี้ก็เป็นการยืดอกรับสภาพถึงการจากลาของใครซักคนที่สุดท้ายแล้วมีแต่เราที่จะต้องอยู่ให้ได้จนถึงวันสุดท้าย ถือว่าพวกเขาเลือกเวลาที่จะพร่ำบอกสิ่งที่ควรบอกได้ถูกเพลงถูกเวลา และสรุปใจความหลักได้อย่างไม่มากความ
-ปิดท้ายด้วย Outro Track ที่ชื่อว่า Flowers on Earth / We Must Die ที่เราได้เห็นซาวนด์ alert ใหม่ๆที่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาตั้งใจหยอดเพื่อเปิดประตูสู่บริบทใหม่ในผลงานอนาคตหรือไม่? ซึ่งผมแอบคาดหวังเหมือนกัน ที่แน่ๆการปิดด้วยท่วงทำนอง alert แบบนั้นก็เป็นการปลุกให้เรามองโลกตามความจริงตามบริบทชื่อเพลงเนี่ยแหละ
-ต่อให้โลกนี้จะมีมุมที่อโคจร ไม่สวยงามในความเสื่อมโทรมมากมาย แต่พวกเขาน่าจะยินดีที่จะทำหน้าที่เป็นกลุ่มดอกไม้ที่หลบจากเมืองใหญ่ สร้างความสวยงามให้กับโลกใบนี้ในมุมธรรมชาติ เหมือนสิ่งที่พวกเขาพยายามนำเสนอความสวยงามทางเมโลดี้และมุมมองทางความรักมาโดยตลอด นี่อาจจะเป็นเจตจำนงหลักในการตั้งชื่ออัลบั้มนี้ก็เป็นได้
-เคยมีความคิดที่อยากเห็น Blackbeans ในบริบทอื่นนอกเหนือจากพาร์ทโรแมนติกแว๊บอยู่ในหัวบ่อยๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่อยากไป force ให้พวกเขาเปลี่ยนอะไรตามที่เราต้องการ เอาเป็นว่าพวกเขารู้ตัวเองดีถึงแนวทางที่ชัดเจน แล้วยึดแนวทางนั้นเพื่อดึงคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกันมาเป็นด้อมที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าจะกระจัดกระจาย ใครชอบกรอบบริบทเพลงหวานๆแบบนี้ก็ถูกจุดที่จะเข้าหาหนุ่มๆได้อย่างสะดวกโยธิน
-นี่ก็เป็นบทพิสูจน์อีกอย่างว่า ความชัดเจนในแนวทางเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ แนวทางชัดแล้ว identity จะชัดตามเป็นลำดับ เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างความแตกต่างท่ามกลางศิลปินอินดี้เกิดใหม่มากมายที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างง่ายได้ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับการรักษาคุณภาพให้แนบเนียนจนเชื่อใจได้
สำหรับพวกเขาแล้ว โคตรทะนุถนอมเลยล่ะ
Give 7/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา